บทที่ 531 การสอบหน้าพระที่นั่ง

วันรุ่งขึ้น ทั้งถังหลี่และเว่ยฉิงตื่นแต่เช้า สวมเสื้อผ้ากินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินไปยังโถงนั่งเล่น ที่นี่มีเด็กๆ สามคน เว่ยจื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย และจั๋วชู แต่งตัวเรียบร้อยนั่งรอกันอยู่อย่างสุภาพ ทั้งสามคนดูกระปรี้กระเปร่าเต็มไปด้วยพลัง

“พวกเจ้าตื่นเต้นกันหรือไม่?” เว่ยจื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ยและจั๋วชูต่างส่ายหน้า ถังหลี่ยิ้มมองลูกๆ ของนางอีกครั้ง

ท่ามกลางสายตาจ้องมองของมารดา เว่ยจื่ออั๋งจึงยอมรับสารภาพว่า

“ท่านแม่ ข้าตื่นเต้นนิดหน่อยจริงๆ”

นี่เป็นการสอบหน้าพระที่นั่งโดยมีฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบันเป็นองค์ประธานในการคุมสอบ บัณฑิตที่เล่าเรียนทุ่มเทมาอย่างหนักตลอดหลายปีก็เพื่อวันนี้เพียงวันเดียวเท่านั้น

หากเขาสามารถฉายแววในการสอบหน้าพระที่นั่งได้ ก็ได้รับความสนพระทัยจากฝ่าบาท พวกเขาจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ต่อไปภายหน้า

เว่ยจื่ออั๋งครุ่นคิด เขาทั้งประหม่าทั้งตื่นเต้น สงสัยว่าฝ่าบาทจะตรัสถามอะไร? คำถามนั้นจะยิ่งใหญ่เหมือนกับที่เขาจินตนาการเอาไว้หรือไม่?

เมื่อคืนเขาเฝ้าแต่ครุ่นคิดจนกว่าจะหลับได้ก็ดึกมากแล้ว

หลังจากตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเห็นสวี่เจวี๋ยมีอาการสงบ เขาก็ยังรู้สึกว่าตนเองตื่นเต้นเกินไป

“ที่จริง ข้าก็ตื่นเต้นเช่นกัน” สวี่เจวี๋ยยอมรับออกมา

ไม่ว่าพวกเขาจะโตขึ้นมากแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นเท่านั้น พวกเขาย่อมตื่นเต้นและประหม่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่เป็นปกติไม่ได้แสดงอาการกังวลมากนัก

จั๋วชูพยักหน้าอย่างแรง

เขาตื่นเต้นมาก! แต่เมื่อเห็นทั้งเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยต่างพูดว่าพวกเขาก็ตื่นเต้นเช่นกัน เขาจึงไม่อายที่จะพูดออกมา…

“เป็นเรื่องปกติที่พวกเจ้าจะกังวลกับการสอบครั้งใหญ่ที่สำคัญเช่นนี้” ถังหลี่พูดขึ้น

“เวลาที่แม่ตื่นเต้นมากๆ แม่จะสูดลมหายใจเข้าสักสองสามครั้ง”

“เวลาพ่อตื่นเต้นจะออกไปเดินสักสองสามรอบ” เว่ยฉิงเสริมขึ้นมา

เว่ยจื่ออั๋งคิดว่าวิธีแก้ความตื่นเต้นของมารดาดูน่าเชื่อถือมากกว่า

“อย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไป ทำตัวให้เป็นปกติ” ถังหลี่ปลอบเด็กๆ

หลังจากนั้นไม่นานนัก เถ้าแก่เนี้ยฮวา และเฉาจีก็มาถึง พวกเขาพากันเดินทางไปยังวังหน้าซึ่งเป็นสถานที่สอบ

โดยปกติแล้วผู้ปกครองไม่อาจเข้าไปในวังได้ พวกเขาได้แต่ยืนรอกันที่ด้านนอกเท่านั้น

เว่ยจื่ออั๊ง สวี่เจวี๋ย และจั๋วชูลงจากรถม้า พวกเขาถูกพาตัวเข้าไปยังด้านใน ทั้งสามคนได้เข้ามายังห้องโถงขนาดใหญ่ มีบัณฑิตรออยู่ด้านนอกเป็นจำนวนมาก

บัณฑิตเหล่านั้นยืนแยกกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกพากันยืนมองในขณะที่อีกกลุ่มเข้ามารุมล้อมพวกเขาเอาไว้

“พี่เว่ย พี่สวี่มาแล้ว!”

“หลังจากการสอบในครั้งนี้ ฝ่าบาทจะคัดเลือกสามอันดับแรกที่เข้าสอบในพระที่นั่งเหวินฮวา ข้าคิดว่าพี่จะได้เป็นจ้วงหยวนเป็นแน่”

บัณฑิตจากสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี๋ยนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงมีเสียงหัวเราะเยาะมาจากด้านข้าง เป็นบัณฑิตจากสำนักอื่นบราวนี่ออนไลน์

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะพวกเจ้าหรอกนะ เพียงแต่พี่ฉินอยู่ที่นี่ ข้าจึงคิดว่าพวกเจ้าคุยโอ้อวดจนแทบจะลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้ว!”

ศิษย์จากสำนักกั๋วจื่อเจี๋ยนอยากจะโต้กลับ แต่เว่ยจื่ออั๋งห้ามเอาไว้

“การสอบหน้าพระที่นั่งกำลังจะเริ่มอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ไม่จำเป็นที่จะไปโต้เถียงกับพวกเขาหรอก”

“ใช่ ดูจากทักษะของพวกเจ้าแล้ว!” ศิษย์ของสำนักหลวงตอบโต้แทน

“พวกเจ้าก็พูดแย้งมาสิ!” อีกฝ่ายตอบโต้อย่างไม่ลดละ บัณฑิตทั้งสองฝั่งต่างแบ่งแยกออกจากกัน เว้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้เห็นได้ชัด

เว่ยจื่ออั๋งเงยหน้าขึ้น มองตัวอักษรขนาดใหญ่ที่เขียนเอาไว้ว่า

“พระที่นั่งเหวินฮวา” แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ยามเช้าส่องกระทบตัวหนังสือเป็นประกายดูสง่างามน่าเกรงขาม

ประตูของพระที่นั่งเหวินฮวาค่อยๆ เปิดออกช้าๆ

“บัณฑิตทั้งหลาย เข้ามาได้!” เสียงแหลมสูงขานต้อนรับดังขึ้น ในขณะที่เว่ยจื่ออั๋งกำลังก้าวเดินไป ก็พบว่ามีใครบางคนวางมือที่ไหล่ของเขา เขาหันหน้าไปจึงได้เห็นดวงตาปลุกปลอบให้กำลังใจของสวี่เจวี๋ย

พวกเขาสบตาแล้วยิ้มให้แก่กัน จากนั้นจึงได้เชิดหน้าเข้าสู่โถงด้านใน

พระที่นั่งเหวินฮวามีขนาดใหญ่มาก สามารถจุคนได้ถึงสามร้อยที่นั่ง และยังมีพื้นที่ส่วนกลางอยู่ด้วย

กงเฉิง[1] ทั้งสามร้อยคนพากันยืนอยู่ประจำที่นั่งของตน

“ฮ่องเต้เสด็จ!” เสียงขานแหลมสูงของขันทีดังขึ้นอีกครั้ง

กงเฉิงทั้งสามร้อยคนคุกเข่าหมอบลง

“ขอจงทรงพระเจริญหมื่น หมื่นปี”

“ลุกขึ้น” พระสุรเสียงหนักแน่น น่าเกรงขามดังขึ้น

กงเฉิงทั้งสามร้อยคนต่างลุกขึ้นยืน

“การสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้ เป็นการคัดเลือกผู้มีความสามารถที่แท้จริงของแคว้นต้าโจวของเรา พวกท่านได้ผ่านการทดสอบมาอย่างมากมายกว่าจะมาถึงการสอบในขั้นนี้ ทุกๆ คนคือผู้มีพรสวรรค์และมีความสามารถอย่างแท้จริง ต่อไปพวกท่านจะเป็นรากฐานของสังคมและการปกครองแคว้น เราหวังว่าพวกท่านทั้งหลายจะช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ในการปกครองแคว้นสืบต่อไปให้เจริญรุ่งเรือง” ฮ่องเต้ตรัสในขณะที่กวาดสายพระเนตรไปที่บรรดากงเฉิงที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์เหล่านั้น

ในบรรดากงเฉิงที่เข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ มีช่วงอายุหลากหลาย ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในวัยประมาณยี่สิบถึงสามสิบปี ผู้ที่มีอายุมากที่สุดดูเหมือนจะมีอายุสี่สิบปีขึ้นไป ส่วนผู้ที่มีอายุน้อยที่สุด…

สายพระเนตรขององค์ฮ่องเต้เบนไปที่เด็กหนุ่มสองคน เด็กสองคนนั้นดูเหมือนจะอายุไม่เกินสิบสามหรือสิบสี่ปี พวกเขายืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คน

“กงเฉิงที่อยู่ด้านซ้ายสุดของแถว ชื่ออะไรหรือ?”

เว่ยจื่ออั๋งยืนอยู่ซ้ายสุดของแถวแรก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเห็นฮ่องเต้สวมฉลองพระองค์สีเหลืองสดใส ปักลายมังกรดูสง่างาม เขาลดศีรษะลงอย่างเคารพ

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมชื่อเว่ยจื่ออั๋งพะย่ะค่ะ”

“เว่ยจื่ออั๋ง…” ฮ่องเต้แห่งต้าโจวทรงระลึกได้อย่างรวดเร็ว

เขาเป็นศิษย์ของสำนักหลวง บุตรชายบุญธรรมของเสนาบดีอู่ เว่ยจื่ออั๋งเป็นนักเรียนดีเด่นของกั๋วจื่อเจี๋ยนปีนี้ เหลียงหยูเคยพูดเอาไว้แล้ว

สายพระเนตรจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่ยืนคู่กับเว่ยจื่ออั๋ง นั่นคือ คู่แฝดกั๋วจื่อเจี๋ยนที่เหลียงหยูเคยพูดถึงเอาไว้…

“เจ้าคือสวี่เจวี๋ยหรือ?” ฮ่องเต้โจวตรัสถาม

“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” สวี่เจวี๋ยทูลตอบอย่างสำรวม

ท่าทางของเด็กทั้งสองคนเต็มไปด้วยความเคารพ นบนอบ ไม่ลนลานอย่างยากที่จะหาได้สำหรับผู้ที่เผชิญหน้ากับเขาในครั้งแรก

ฮ่องเต้โจวพยักหน้า

“นั่งลง”

บัณฑิตทั้งหลายพากันนั่งลงพร้อมกัน

“กงเฉิงทั้งหลาย ข้าอยากฟังแนวทางในการปกครองแคว้น หากพวกท่านมีแนวคิดที่ดีก็เขียนลงไปในกระดาษ หากมีมากกว่าหนึ่งข้อก็ย่อมเขียนลงไปได้มากกว่านั้น พวกท่านมีอิสระที่จะคิดและเขียนได้ตามที่ใจปรารถนา” ฮ่องเต้โจวตรัส

ผู้เข้าร่วมสอบทั้งหลายต่างตระหนักดีว่านี่คือข้อสอบของวันนี้ เป็นแนวทางในการปกครองของแคว้นต้าโจว หัวข้อนี้ฟังดูเผินๆ เหมือนจะง่ายแต่กลับไม่ง่ายนัก

ผู้เข้าสอบบางคนใช้พู่กันเขียนลงไปในกระดาศอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางคนยังทำการครุ่นคิดอยู่ เว่ยจื่ออั๋งไม่ได้เขียนคำตอบในทันที เขาหลับตาและนั่งทำสมาธิอยู่นานในขณะที่ผู้คนรอบข้างกำลังเขียนตอบลงไปในกระดาษอย่างดุเดือด มีหลายคนเขียนหน้าถัดไปแล้ว เขาจึงได้เริ่มลืมตาขึ้นมา หลังจากนั้นจึงได้หยิบพู่กัน จุ่มหมึกและเริ่มเขียนลงในกระดาษขาว ลายมือของเขางดงาม แน่วแน่และมีเอกลักษณ์มาก

การสอบในครั้งนี้กินเวลาถึงสามชั่วยามด้วยกัน ตั้งแต่เช้าจรดบ่ายจึงได้สิ้นสุดการสอบ เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ทุกคนจึงได้หยุดเขียน หลังจากนั้นจึงได้มีการรวบรวมกระดาษคำตอบของผู้เข้าสอบ บ่าวรับใช้ภายในวังมีการตระเตรียมของว่างและชาไว้ให้ผู้เข้าร่วมสอบด้วยทุกคน

พวกเขาต่างพากันรอผลสอบ บัณฑิตที่เข้าสอบพากันหิวและรอผลสอบอย่างกระวนกระวายใจ

เว่ยจื่ออั๋งรู้สึกหิวเช่นกัน เขาหยิบขนมขึ้นมา จากนั้นจึงรู้สึกตัวเหมือนมีใครกำลังจ้องมองเขา เขาจึงหันหน้าไปมอง เห็นสวี่เจวี๋ยกำลังจ้องมองเขาอยู่

“เป็นอย่างไร?” สวี่เจวี๋ยขยับปากหากไร้เสียง

เว่ยจื่ออั๋งพยักหน้า

“แล้วเจ้าล่ะ” เขาถามด้วยอาการเช่นเดียวกัน สวี่เจวี๋ยเชิดหน้า เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มั่นใจในตนเอง

เมื่อพวกเขามองไปยังจั๋วชูก็เห็นฝ่ายนั้นหน้าแดง แต่จั๋วชูไม่ได้ขมวดคิ้วหรือแสดงอาการหงุดหงิด เขาน่าจะทำข้อสอบได้เช่นกัน

ในห้องโถงด้านใน ฮ่องเต้ทรงประทับนั่งอยู่ มีเจ้าหน้าที่ของสำนักฮั่นหลินหลายคนที่อยู่ด้านล่างกำลังอ่านกระดาษคำตอบกันอยู่ พวกเขาเลือกบทความที่เขียนคำตอบได้อย่างยอดเยี่ยมและทูลถวายให้องค์ฮ่องเต้ทรงพระราชวินิจฉัยอีกครั้ง

ฮ่องเต้ทรงเลือกสามอันดับแรกจากบทความที่เขียนได้ดีมากมายเหล่านั้น

ราชบัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลินวางกระดาษคำตอบมากกว่าสิบแผ่นลงตรงหน้าเบื้องพระพักตร์ และมีอีกสามแผ่นแยกมาต่างหาก

“ฝ่าบาท ได้โปรดทรงพระราชวินิจฉัยบทความทั้งสามนี้ กระหม่อมอ่านหลายครั้งแล้วพะย่ะค่ะ” ดวงตาของราชบัณฑิตทอประกายอย่างตื่นเต้น เห็นได้ว่าเขาชอบบทความทั้งสามนี้เป็นอย่างมาก

ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรบทความอื่นๆ ก่อนที่จะหันมาสนพระทัยบทความทั้งสามที่ว่า เขาหยิบขึ้นมา

“บทความนี้ ดีมาก!” ฮ่องเต้โจวอดไม่ได้ที่จะตรัสชม

แนวทางการปกครองแคว้น บัณฑิตโดยส่วนใหญ่มักจะอ้างแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมที่มีการสืบต่อกันมา แต่บทความนี้กลับเต็มไปด้วยแนวคิดแบบใหม่ ก้าวหน้า เห็นได้ว่าบัณฑิตผู้นี้มีแนวคิดกว้างไกลอยู่ในหัวของเขา

ฮ่องเต้แห่งต้าโจวเอื้อมพระหัตถ์หยิบบทความชิ้นที่สองมาทอดพระเนตร เขาคิดว่าบทความชิ้นนี้น่าจะด้อยกว่าชิ้นแรกแต่กลับไม่คาดฝันว่ายิ่งอ่านยิ่งรู้สึกดีกว่าบทความชิ้นแรกมากนัก

แนวคิดของบทความชิ้นแรกดีมาก แต่เมื่อพินิจพิจารณาให้ดีกลับดูล่องลอย เพ้อฝัน ไม่หนักแน่นและมั่นคงเหมือนกับบทความชิ้นที่สอง บทความชิ้นที่สองนี้กล่าวถึงยุทธศาสตร์การปกครองประเทศเอาไว้สามข้อ ซึ่งแต่ละข้อจะอิงกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันได้อย่างพอเหมาะพอดี

ฮ่องเต้โจวทรงทอดพระเนตรบทความชิ้นที่สาม บทความนี้เสนอมาเพียงแค่ข้อเดียว แต่เป็นข้อเดียวที่เขียนได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนครอบคลุมและคำนึงถึงในทุกๆ ด้าน แทบจะดูไม่เหมือนว่าคนผู้นี้จะเป็นเพียงแค่บัณฑิตที่ยังไม่ได้เข้ารับราชการเลยด้วยซ้ำ

ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรบทความทั้งสามชิ้นนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ทรงมีพระราชวินิจฉัยเลือกบทความสองชิ้นสุดท้าย

พระองค์ทรงวางบทความชิ้นที่สามไว้ด้านบน ชิ้นที่สองไว้ตรงกลางและบทความแรกไว้ที่ล่างสุด

จากบนลงล่างแล้ว ก็จะเป็น จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา

จู่ๆ พระองค์เกิดพระดำริบางอย่างขึ้นมา

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยใกล้ชิดกับลูกหกมากที่สุด พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นบุตรบุญธรรมของเสนาบดีอู่เท่านั้น แต่แม่ทัพกู้ยังมีศักดิ์เป็นท่านปู่ของพวกเขาอีกด้วย หากตำแหน่งจ้วงหยวนยังตกเป็นของเขา สกุลอู่และสกุลกู้ย่อมมีอนาคตที่สดใส

แต่เดิมทีลูกหกยังมีสกุลเหลียงอยู่แล้ว หากยังมีสกุลอู่ และสกุลกู้เพิ่มขึ้นมาอีก …….

เขารู้ว่าลูกสามสนิทสนมใกล้ชิดอยู่กับบัณฑิตที่มาจากเหลียงโจวผู้นั้น บัณฑิตผู้นั้นเคยโต้วาทีกับเว่ยจื่ออั๋งมาก่อน ผลที่ได้รับคือเสมอกัน

แล้วใครคือจ้วงหยวนผู้นี้?

เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เข้าร่วมสอบทุกคน จึงได้มีการปิดชื่อของผู้เขียนบทความเอาไว้

ฮ่องเต้โจวเอื้อมพระหัตถ์ไปเปิดดูชื่อของผู้ที่เขียนบทความที่เขาเลือกให้เป็นอันดับหนึ่ง

เว่ยจื่ออั๋ง..

อันดับสองคือสวี่เจวี๋ย และอันดับสามคือฉินจ้าว ฮ่องเต้โจวทรงพระดำริ ลูกสามสายตาไม่ดีเท่าลูกหก!

ฮ่องเต้โจวเอื้อมพระหัตถ์ออกไปอีกครั้ง ต้องการที่จะสลับตำแหน่งที่หนึ่งกับที่สาม……

…………………

[1] ผู้เข้าสอบ