บทที่ 480 คนสูงส่ง

บทที่ 480 คนสูงส่ง

แม้แต่ชาวต่างชาติเหล่านั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้เมื่อได้ยินเสี่ยวเถียนท่องบทกวี

พอเอ่ยจนจบ เสี่ยวเถียนก็เปลี่ยนเรื่องคุย

“แต่วันนี้พวกเรามาเพื่อลิ้มรสอาหารเป็นหลัก ส่วนไวน์รสเลิศเป็นเพียงการเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น*[1] เท่านั้นค่ะ!”

น่าขำเหลือเกิน ไวน์ไม่ใช่ตัวหลักในงานเสียหน่อย มันก็มีไว้แค่เพิ่มบรรยากาศต่างหาก!

อาหารที่คุณย่าทำอร่อยจริง ๆ นะ บอกได้เลยว่าฝีมือนั้นยอดเยี่ยมมาก ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นมาก และยิ่งวันนี้ได้รับคำแนะนำจากเสี่ยวเถียน การจัดจานจึงระมัดระวังมากขึ้น ดูประณีต ทั้งยังงดงามอีกด้วย

คริสติน่า สาวนักกินเป็นคนแรกที่ส่งเสียงร้องลั่นอย่างตื่นเต้น พวกเขาคุยกันนานเกินไปแล้ว เธอรู้สึกอึดอัดจะแย่ ประจวบเหมาะกับอาหารที่ถูกยกมาเสิร์ฟพอดี

พวกเขาจะไม่ถกประเด็นไร้สาระอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?

“ที่รัก อาหารจานนี้น่าอร่อยมาก ดูสิ น้ำลายของฉันไหลหมดแล้ว!”

คริสติน่าแสดงท่าทางเกินจริงไปหน่อย ส่วนออกัสนั้นไม่ค่อยได้สนใจ

กลิ่นของอาหารจานเย็นไม่ค่อยรุนแรงเท่าไร

ส่วนเหตุผลที่คริสติน่าตื่นเต้นขนาดนี้ นั่นก็เพราะเธออึดอัดอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมง

“คุณคริสติน่ามีคิดเห็นว่ายังไงบ้างคะ?”

“งดงาม หรูหรา น่ากินมากเลยที่รัก ฉันชอบจังเลย!”

ตอนที่คริสติน่ากำลังเอ่ยชื่นชม พนักงานหนุ่มเดินเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เป็นอาหารจานร้อน

หลังจากเริ่มด้วยจานแรก จานต่อ ๆ มา ก็เริ่มทำให้พวกเขาเปิดหูเปิดตามากขึ้น โดยเฉพาะคริสติน่าที่เอาแต่ใช้ดวงตากลมโตเปล่งประกายคู่นั้นมองอาหารบนโต๊ะ

สีหน้าของเธอตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

กระทั่งอาหารเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ คริสติน่าอึ้งจนพูดไม่ออกไปเลย เมื่อแต่ละคนตื่นตาตื่นใจจนนิ่งไป เสี่ยวเถียนก็เอ่ยทักอีกครั้ง

ไม่ชอบหรือ?

ทำไมไม่เห็นใครขยับตะเกียบเลย?

“โอ้พระเจ้า! ฉันไม่เคยเห็นอาหารที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อนเลย!”

เราไม่ควรชื่นชมกับฝีมือพวกนี้หรือไง?

สุดท้ายหัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นดายก็ถูกปล่อยลงมา

“คุณคริสติที่น่าเคารพคะ ให้ฉันได้แนะนำอาหารพวกนี้ให้กับคุณนะคะ”

คริสติน่าพยักหน้า

อันที่จริงไม่ใช่แค่เธอ แต่ออกัสที่คิดว่าตนรอบรู้ยังรอให้เสี่ยวเถียนแนะนำให้ฟังอยู่เงียบ ๆ ต้องบอกเลยว่าอาหารพวกนี้ดึงดูดความสนใจของเขามาก

“อาหารจานเย็นทั้งสี่จานนี้มีสาลิกาเคียงดอกเหมย กุ้งผีเสื้อม้วน เนื้อปลาผัดขิง และนกพิราบหมักเครื่องเทศทั้งห้าค่ะ เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยในงานเลี้ยง”

เสี่ยวเถียนแนะนำสั้น ๆ ส่วนอาหารจานหลักไว้แนะนำในภายหลัง

“ฉันจะเน้นไปทางอาหารจานถัดไปแทนค่ะ ซึ่งอาหารพวกนี้เป็นตำรับจากในวังจริง ๆ ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของสำรับอาหารแมนจูกับฮั่นด้วย”

“จานนี้คือเอ็นกวางตุ๋นค่ะ ตามชื่อของมันเลย วัตถุดิบหลักคือเอ็นกวางที่เป็นของหายาก แพทย์แผนจีนเชื่อว่ามันมีฤทธิ์บำรุงเลือด กระดูก และสร้างไขกระดูกค่ะ”

ครั้นเห็นว่าท่าทางพวกเขาดูไม่ค่อยเข้าใจ เสี่ยวเถียนก็เอ่ยต่อ “ถ้าพูดในแบบพวกคุณก็คือ เอ็นกวางประกอบไปด้วยพวกกรดอะมิโนอย่างพวกโปรตีน ไกลซีน โซเดียม เหล็ก แมงกานีส สังกะสี และธาตุอื่น ๆ ที่ดีต่อร่างกายแบบนั้นน่ะค่ะ”

สิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดทำให้สองพี่น้องสับสนหนักกว่าเก่า

มันก็แค่ของกินไม่ใช่หรือ ทำไมต้องพูดเรื่องพวกนี้ด้วย?

ไม่ต้องไปฟังแพทย์แผนจีนอะไรนั่นหรอก อาหารจานนึงมันก็มีวัตถุดิบหลากหลายไม่ใช่หรือไง?

เสี่ยวเถียนไม่ได้สนใจสิ่งที่พวกเขาคิด ก่อนจะเอ่ยแนะนำต่อไป

วันนี้คุณย่าซูเตรียมอาหารสิบสองอย่าง เป็นอาหารจานเย็นสี่จาน อาหารจานร้อนสี่ จาน พร้อมด้วยซุป!

จากนั้นเด็กหญิงก็เริ่มแนะนำตามลำดับ

“ต่อจากเอ็นกวางตุ๋นก็จะมีไก่ฉีกผัดเห็ดหูหนู ปลาชิ้นหอมหมื่นลี้ กระต่ายแปดอัญมนี

กุ้งอรหันต์*[2] หอยเสียบไม้ย่าง เนื้อสันในผัดหัวหอม เห็ดผัดผักกวางตุ้ง และเต้าหู้ค่ะ”

ต้องบอกเลยว่าอาหารที่จัดมาให้มีทุกอย่างเลย ขึ้นเขาลงห้วย มีทุกอย่างที่ควรจะมี และโภชนาการที่ครบถ้วน

กระทั่งแนะนำจนเสร็จ คริสติน่าได้แต่นั่งอึ้ง

เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

“ที่รัก เวลากินข้าวเราต้องพูดเยอะขนาดนี้เลยหรือ? ฉันคิดว่าขอแค่อาหารอร่อยก็พอแล้วมั้ง!”

“คุณคริสติน่า ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน สิ่งเหล่านี้คือความมั่งคั่งอันล้ำค่าที่สะสมมานาน ก่อนหล่อหลอมออกมาเป็นอาหารในปัจจุบันค่ะ”

เสี่ยวเถียนภาคภูมิใจมาก ขนาดตอนที่แนะนำ น้ำเสียงก็ยังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

และท่าทางเหล่านี้ พวกออกัสไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนในประเทศจีนเลย

คนจีนที่พวกเขาพบต่างก็ประจบสอพลอกันทั้งนั้น เวลาพูดน้ำเสียงก็มีแต่อ่อนน้อมและเยินยอทั้งนั้น

แต่เด็กตรงหน้าเขาคนนี้กลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไป ไม่ได้ประจบสอพลอพวกเขาแม้แต่น้อย และมันไม่ได้ทำให้เขาขุ่นเคืองด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้รู้สึกเคารพมากกว่าเดิม

หลังจากกล่าวขอบคุณ คริสติน่าและออกัสก็หยิบตะเกียบขึ้นมา

ตะเกียบในมือเสี่ยวเถียนก็คล่องแคล่วตามปกติ แต่พอมาอยู่ในมือสองพี่น้อง มันแปลกยิ่งกว่าถือปืนเสียอีก

เดิมทีคิดว่าจะเป็นมื้อที่สมบูรณ์แบบ แต่พอขยับตะเกียบปุ๊บ กลับยุ่งเหยิงไปหมด

โต๊ะเจ็ดคน ใช้ตะเกียบไม่ได้ไปแล้วสี่คน

แถมยังใช้ไม่เป็นด้วย!

แม้แต่ออกัสที่เรียกได้ว่าเก่งที่สุดยังใช้ไม่เป็นเลย

สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก นอกจากให้พนักงานเอาช้อนส้อมมาให้

เพราะตอนนี้พวกเขาแทบไม่ได้กินของอร่อยเลย

ถึงอาหารจะยังไม่เข้าปาก ทั้งยังใช้ตะเกียบอย่างร้อนรน แต่มารยาทบนโต๊ะก็ยังมีอยู่

กระทั่งความอร่อยได้เข้าปาก สายตาของพวกเขาพลันเปลี่ยนไป

“ที่รัก อร่อยมาก!”

คริสติน่าเอ่ยชมยังไม่ทันจบประโยคเลย สงครามแย่งชิงบนโต๊ะอาหารก็ได้เริ่มขึ้น

ส่วนเรื่องมารยาทอะไรนั่นคงไม่ทันแล้วล่ะ เพราะตักเข้าปากไปแล้ว

เสี่ยวเถียนนึกไม่ถึงเลยว่าอาหารจะถูกใจพวกเขาขนาดนี้

ถึงจะตั้งใจพิชิตต่อมรับรสของพวกเขาด้วยความอร่อย แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะทำได้อย่างหมดจด

เพราะคิดว่าหลังจากแนะนำเสร็จก็ค่อยบรรลุผลใช่ไหมล่ะ?

แต่สุดท้ายเสี่ยวเถียนก็ตระหนักได้ว่าเธอคิดมากไป ที่นี่มันแต่คนตะกละทั้งนั้น!

ไวน์แดงที่ตั้งใจเอามาเพิ่มรสชาติดูไร้ประโยชน์ไปเลย

หลาย ๆ อย่างที่วางแผนเอาไว้ก็ยังไม่ทันได้พูดออกมา

หลังจากที่ฉืออวี้เลี่ยง หลี่ว์หรูหยา และเสี่ยวเถียนตกอยู่ในความงุนงง ก็มีอีกสองคนที่เข้าไปร่วมวงแย่งกินด้วย เด็กหญิงถอนหายใจ โชคดีที่เตรียมการเอาไว้ก่อน เพราะดูเหมือนว่าอาหารสิบสองจานที่มีทั้งซุปและอาหารจานหลักจะไม่พอกินเสียแล้ว!

เธอมองไปยังออกัส ก่อนหน้านี้ยังทำตัวสูงส่งอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงไม่รักษาภาพลักษณ์พวกนั้นไว้แล้วล่ะ?

ทำตัวแบบนั้นต่อไปไม่ดีหรือ?

งั้นทำไมถึงต้องให้เธอเห็นฉากเช่นนี้ด้วยล่ะ?

*[1] ปรุงแต่งในสิ่งที่ดูดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

*[2] หนึ่งในกุ้งปักกิ่งสามรสชาติ ได้แก่

  1. กุ้งผัดน้ำมัน คือ กุ้งที่เอาไปผัดน้ำมัน 2. กุ้งอรหันต์ เป็นกุ้งที่แบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนหัวเอาไปเผา ส่วนตัวเนื้อจะแกะเปลือกออกแล้วเอาไปทอด 3. กุ้งผีผา คือ กุ้งที่หั่นแผ่แล้วยกหางขึ้นเหมือนผีผา