บทที่ 522 บัลลังก์มังกรที่หาไม่เจอ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บัลลังก์มังกรที่หาไม่เจอ

หลานเยาเยาทำสีหน้าจริงจังทันใด สายตาเคร่งขรึม จ้องมองเขาด้วยแววตาจริงจัง

ตาหูจมูกปากที่งดงาม หน้าตาหล่อเหลา ระหว่างคิ้วมีความจองหองเล็กน้อย สวมชุดเหมือนดั่งปัญญาชน การเดินคล่องแคล่ว วิทยายุทธกำลังภายในสูงส่งมาก กิริยาประพฤติสุภาพนุ่มนวล ลักษณะท่าทางไม่สะทกสะท้าน นอกจากสิ่งเหล่านี้ อย่างอื่นก็เป็นปริศนา

อีกทั้งนางคิดเป็นร้อยครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ที่อยู่หมู่บ้านฝันฮั๋ว นางไม่เคยได้พบกับเขาก่อนเลยจริงๆ

“หากว่าข้ารู้แล้วยังจะถามเจ้าทำไม?”

นางได้ตรวจสอบจิ่วเซียวหวงเพ่ยแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ด้านในไม่มีผงยาที่สามารถทำให้คนเกิดภาพหลอนได้โดยสิ้นเชิง นางในเวลานั้น ไม่เพียงใช้ดวงตาตรวจสอบ แม้แต่รูปแบบการตรวจสอบของระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็เปิดทำงานแล้วหลายครั้ง

อะไรก็ตรวจออกมาไม่ได้

“หรือว่าท่านไม่เคยนึกเลยว่า มีเพียงสิ่งของที่ตัวเองคุ้นเคยมากเกินไป หลังจากที่ท่านลืมแล้ว เมื่อได้สัมผัสอีกครั้ง ก็จะทำให้นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต ก็เหมือนภาพลวงตาเช่นนั้น

อีกทั้งหรือว่า ท่านไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด หรือว่าลืมรายละเอียดอะไรไปขอรับ”

เสียงที่ไพเราะของส้งเย่นกุยดังขึ้น ทั้งๆที่สบายน่าฟัง ราวกับว่าบอกใบ้อะไรให้นางอีก

แต่หลังจากที่ฟังเข้าไปในหูของนางแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยแล้ว

ยังจะสิ่งของที่คุ้นเคย

จิ่วเซียวหวงเพ่ยอันนี้อย่างน้อยก็เป็นพันปีแล้ว หากว่าเป็นสิ่งของที่คุ้นเคยจริง เช่นนั้นนางก็คงจะเป็นปีศาจแก่พันปีแล้ว

แต่ว่า!

พูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต กลับทำให้นางนึกถึงตอนอยู่ในวัดบนต้นบุพเพ จากเสียงพิณของจิ่วเซียวหวงเพ่ย ทำให้นางเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ของแผ่นดินใหญ่ผืนนี้กับตา

เหมือนกับว่านางสามารถทำให้ฮ่องเต้ที่หนึ่งของยุคสมัยฮ่องเต้ที่หนึ่งสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของนาง รู้สึกได้ว่าเป็นภาพลวงตาที่ไม่น่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก

เวลานั้นดาวตกนับหมื่นเป็นหายนะของโลก

ทำให้ประชาชนลำบากแสนเข็ญ สรรพสิ่งต่างๆในโลกไร้แสงสว่าง

แต่นี่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง?

“ส้งเย่นกุย เจ้าบอกข้ามาตรงๆ เจ้าไม่ใช่คนใช่หรือไม่? ไม่กินไม่นอน คล่องตัวเป็นธรรมชาติ ลึกลับอยากจะคาดเดา แต่ทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษ” มีความรู้สึกเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว เริ่มจากหมู่บ้านฝันฮั๋วสมมุติ

ส้งเย่นกุยมีความสนใจขึ้นมา เลิกคิ้วเล็กน้อย

“อ๋อ~ไม่ใช่คน? เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าเป็นอะไรขอรับ? ผี วิญญาณ หรือว่าเทพเซียนชนิดนั้นขอรับ?”

“ยังจะผี หากว่าไม่มีหลักฐานโดยสิ้นเชิง ทีแรกข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นเจ้าระบบ น่องไก่ ขาหมู ยังมีจิ่วเซียวหวงเพ่ย ล้วนเก็บไว้ในระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แต่เจ้าสามารถหยิบออกมาได้ทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ยังดี ตอนนี้เจ้าแสดงอารมณ์ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เหมือนกับเจ้าระบบนั่นแท้ๆเลย น่าต่อยมาก เจ้ารู้ไหม?”

“……”

หลานเยาเยาถอนหายใจ

เห็นเขาไม่ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ ท่าทางแบบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองปล่อยไป น่าต่อยเป็นอย่างมากจริงๆ

ฉับพลันนั้นความคิดอันเฉียบแหลมแวบขึ้น

นางหาวิธีพิสูจน์ได้แล้ว ยิ้มขึ้นด้วยจุดประสงค์ไม่ดี

“เจ้าคุ้นเคยพระราชวังทองคำนี้มาก?”

“อืม คุ้นเคยมากขอรับ แต่ไม่คุ้นเคยเท่าท่านขอรับ”

ขี้เกียจสนใจความหมายในคำพูดเขา หลานเยาเยากล่าวด้วยรอยยิ้ม :

“ก่อนหน้านี้ขณะเดินเล่น นอกจากไปดูจื่อเฟิงพวกเขา ยังพบสิ่งของแปลกประหลาดอย่างหนึ่งในห้องหนังสือทองคำ เป็นก้อนหินสีดำเป็นหลุมๆก้อนหนึ่ง……”

ขณะที่พูดถึงก้อนหินสีดำ

สีหน้าของส้งเย่นกุยค่อยๆเปลี่ยน ภายใต้สายตาที่ไม่ประสงค์ดีของนาง ส้งเย่นกุยระวังตัวขึ้นมา

“ก้อนหินอะไรขอรับ?”

“ดูเหมือนว่าเจ้าไม่เคยไปห้องหนังสือทองคำจริงๆ ดูท่าก้อนหินในห้องหนังสือทองคำก้อนนั้น ก็คือเพื่อป้องกันเจ้า ข้าจำได้เจ้าระบบเมื่อพบกับอุกกาบาตความสามารถก็จะล้มเหลว ข้ากลับอยากหยิบมาดู จะกระทบต่อเจ้าหรือไม่?”

ใครรู้……

เพิ่งจะสิ้นสุดคำพูด ส้งเย่นกุยลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จ้องมองนางอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง จึงสะบัดแขนเสื้อจากไป

โกรธแล้ว?

นี่ก็โกรธแล้ว……

ดูเหมือนว่ายังจำเป็นต้องไปหยิบก้อนหินที่ห้องหนังสือทองคำออกมา ทดสอบดูดีๆสักหน่อยแล้ว

บอกว่าทำก็ทำ

เมื่อหลานเยาเยาหยิบอุกกาบาตออกมาจากห้องหนังสือทองคำ ส้งเย่นกุยก็เหมือนกับไม่เคยปรากฏตัวอีกเช่นนั้น หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

จึจึ!

เขากลัวอุกกาบาตดังคาด รู้จักการหลบซ่อนขึ้นมาแล้ว

แต่ว่า ซ่อนก็คือซ่อน อาหารหนึ่งวันสามมื้อยังคงมีอยู่ปกติ อาหารรสเลิศมักจะปรากฏอยู่ในสายตาของนางด้วยความบังเอิญ

อีกทั้งแต่ละอย่างล้วนเป็นอาหารที่นางชอบกิน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จื่อเฟิงและเย็นหงยังไม่มีวี่แววที่จะฟื้น หลานเยาเยาหาคนสนทนาไม่ได้ นอกจากเดินเล่นก็คือเดินเล่น

วันนี้ หลานเยาเยาที่แทบจะเดินรอบทั้งพระราชวังแล้ว หอบจิ่วเซียวหวงเพ่ยมาถึงสถานที่ที่เหล่าขุนนางทหารว่าราชการที่ราชสำนัก เช่นเดียวกับที่อื่นๆ ในนี้ทั้งหมดทุกอย่างล้วนทำด้วยทองคำ

มีความแตกต่างไปจากราชสำนักของประเทศก่วงส้า ราชสำนักที่นี่ใหญ่กว่า กว้างกว่า งดงามโอ่อ่ายิ่งกว่า ตรงกลางราชสำนักมีเสาทองคำสองคนโอบสี่ต้น มังกรที่แข็งแกร่งเหาะเหินเสมือนมีชีวิตจริงล้อมอยู่บนเสา

แม้แต่บนหลังคา ห่อหุ้มด้วยผ้าม่านโปร่ง ก็ล้วนห่อด้วยทองคำสีทองสว่างไสวชั้นหนึ่ง

หลานเยาเยาคิด ประเทศทองคำที่ไม่รู้จักชื่อแห่งนี้ ในยุคที่รุ่งเรืองน่าจะมีก่วงส้า เชียนหลิง ซีเม่าและผึงไหลใหญ่ขนาดที่ทั้งสี่ประเทศที่ขณะนี้เป็นประเทศที่ทรงอำนาจที่สุดในแผ่นดินใหญ่รวมกัน

เพียงแค่มองดูราชสำนักที่ว่าราชการ ก็เพียงพอที่จะอธิบายจุดนี้ได้

บางทีสิ่งที่นางคิด อาจจะแคบกว่าเล็กน้อย บางทีใหญ่โตกว่า ใหญ่ถึงขนาดที่ผู้คนก็คิดไม่ถึง

มีเพียงจุดหนึ่งที่น่าแปลก

หลานเยาเยาเดินมาถึงตำแหน่งที่ลึกที่สุดของราชสำนัก มีบันไดทองคำสองขั้น เรียงขึ้นไป ตรงกลางมีทางลาดสีทองชิ้นหนึ่งกั้นไว้ สลักเป็นมังกรที่แข็งแกร่ง

บันไดเก้าขั้นที่สง่างามและทรงอำนาจ ขึ้นไปทีละชั้น จนถึงบนบัลลังก์มังกรที่ฮ่องเต้ต้องนั่งว่าราชการทุกเช้า

แต่ทว่า!

ด้านบนบันไดที่เป็นที่ราบเรียบทั้งแผ่น ทั้งสองด้านซ้ายขวามีเสาทองคำซ้ายขนาดใหญ่มาก ใหญ่มากกว่าเสาสี่ต้นนั้นที่อยู่ด้านล่างบันไดเท่าหนึ่ง

ด้านหลังก็มีฉากกั้นอันใหญ่ที่หรูหราประณีต มีครบทุกอย่างที่ควรมี ไม่มีอย่างเดียวคือบัลลังก์มังกรที่จะขาดไม่ได้

น่าแปลก?

บัลลังก์มังกรไปไหนแล้ว?

นางเดินเตร็ดเตร่อยู่บนด้านบนสุดรอบหนึ่ง แล้วไปค้นหาด้านหลังฉากกั้นอีก ตั้งแต่เริ่มจนจบก็หาไม่พบ

หาไม่พบนางก็นั่งลงที่พื้นตรงบันไดขั้นบนสุด ทันใดนั้นในใจก็ปรากฏทำนองเพลงขึ้นอย่างแปลกประหลาด ตามท่วงทำนองเพลง นางจึงเริ่มบรรเลง จิ่วเซียวหวงเพ่ยเหมือนดั่งเช่นอยู่บนต้นบุพเพ เริ่มบรรเลงขึ้นเอง

เสียงพิณเลือนราง ถึงจุดสูงสุด ภาพในสมองก็ระเบิดแตกออกมา

ภาพการว่าราชการความเจริญรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้า

“ฮ่องเต้หมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!” เหล่าขุนนางทหารคุกเข่ากราบเป็นผืนสีดำมืด

บนบัลลังก์มังกรที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ มีพลังอำนาจของมังกรเป็นอย่างมาก ทรงพลานุภาพเป็นพิเศษ ฝังด้วยมุขอัญมณีหยกของมีค่ามหาศาลแต่ละชนิด เปล่งประกายแสงสีทองโชติช่วงสว่างไสว

ร่างกายทรงอำนาจสูงใหญ่ผู้หนึ่งที่นั่งบนบัลลังก์มังกร สวมชุดคลุมมังกรที่แวววาวละลานตา บนศีรษะสวมมงกุฎที่ทรงอำนาจสำหรับฮ่องเต้ ห้อยด้วยไข่มุกสิบสองเส้น ปกปิดใบหน้าของอันน่าเกรงขามของฮ่องเต้แล้วครึ่งหนึ่ง มองเป็นใบหน้าเต็มไม่ชัด

ดูถึงตรงนี้ ทันใดนั้นดวงตาของหลานเยาเยาก็รื้นขึ้น

ถึงแม้จะเป็นเพียงใบหน้าครึ่งหนึ่ง นางก็ยังมั่นใจว่าเป็นเขาในแวบเดียว

“เย่แจ๋หยิ่ง”

นางก็ยืนอยู่บนบันไดขึ้นสูงที่สุด พึมพำเบาๆเสียงหนึ่ง ฮ่องเต้ที่กำลังนั่งบนแท่นบัลลังก์มังกร ฉับพลันนั้นก็มองมาทางนาง

ราชครูที่อยู่ด้านล่างกำลังทูลเรื่องปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่ได้สังเกตเมื่อคืนนี้

“……ฝ่าบาท ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าปรากฏเป็นดาวเจ็ดดวงเรียงต่อกัน ดาวจื่อเหวยเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปทันที ดวงดาวสับสนวุ่นวาย กลุ่มดาวกระจัดกระจาย แสดงออกถึงหายนะใหญ่ แต่กลับปรากฏดาวหงส์บังเกิดขึ้นอีก เป็นลางดีและลางร้ายคงอยู่พร้อมกัน ทั้งดี ทั้งร้าย ทั้งลำบากพ่ะย่ะค่ะ……ฝ่าบาท?”

ยังไม่ทันสิ้นสุดคำพูดของราชครู ก็เห็นฮ่องเต้ไม่ได้ฟัง กลับลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“ปึง” เสียงหนึ่ง

พร้อมด้วยเสียงของผู้หญิงกรีดร้องอย่างหวาดผวา หลังคาทางด้านบนของบัลลังก์มังกรถูกทุบเป็นรูใหญ่ ผู้หญิงที่สวมชุดแปลกประหลาดตกลงมาบนร่างของฮ่องเต้

เหล่าบรรดาขุนนางร้องตะโกน :

“มีนักฆ่า คุ้มกัน”

“มีนักฆ่า.