ตอนที่ 526 ความสามารถพิเศษ

My Disciples Are All Villains

หลิวจือองค์รัชทายาทตัวแข็งทื่อ ดวงตาของเขาค่อยๆ เบิกกว้างก่อนที่จะเหลือบมองมายังขันทีที่กำลังคุกเข่า น้ำเสียงอันแหบห้าวของหลิวจือดังขึ้น “อะไรนะ”
  “หลินซินได้พ่ายแพ้ให้กับจีเทียนเด๋าและเสียชีวิตอยู่บนยอดเขาดันยาง”ขันทีคนนั้นตอบอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าตัวเขาจะกลัวมากก็ตาม แต่ขันทีก็ไม่อาจโกหกหรือปิดซ่อนอะไรจากหลิวจือได้
  เมื่อได้ยินเช่นนั้นในดวงตาของหลิวจือก็เดือดดาลราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้สีหน้าของเขาดูซับซ้อนก่อนที่จะพูดออกมาด้วยความสับสน “เป็นไปได้ยังไงกัน” หลิวจือไม่อาจยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ “พลังวิเศษของชุดเกราะไม่ได้ถูกใช้งานอย่างงั้นเหรอ?”
  “ฝ่าบาท…จีเทียนเด๋าไม่ได้ลงมือต่อสู้ซะด้วยซ้ำ!”
  “”
  นี่มันแปลกจนเกินไปแม้ว่าพลังวิเศษที่ชุดเกราะมีจะไม่ถูกใช้งานก็ตาม แต่พลังการป้องกันที่ชุดเกราะตัวนั้นมีก็ยังอยู่ในระดับสุดยอด นอกจากนี้หลินซินจะเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอีกด้วย ไม่ว่าจะยังไงอูฐที่ผอมแห้งก็ย่อมตัวใหญ่กว่าม้า หลินซินจะพ่ายแพ้ให้กับจีเทียนเด๋าโดยที่จีเทียนเด๋าไม่ได้เคลื่อนไหวได้ยังไงกัน
  “ฝีมือของยู่เฉิงไห่อย่างงั้นสินะหรือยู่ฉางตงกันล่ะ?” หลิวจือถามออกมาอย่างไม่พอใจ การที่จีเทียนเด๋าไม่ต้องลงมือทำอะไร นั่นก็หมายความว่ายู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงเป็นคนที่ลงมือจัดการกับหลินซิน ในบรรดาสาวกทั้งเก้าคน สาวกสองคนนี้เป็นสาวกที่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการกับหลินซินได้
  แต่ยู่เฉิงไห่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ที่มณฑลยู่ยู่เฉิงไห่คงไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะออกจากสนามรบเมื่อสังหารหลินซินได้ ยิ่งไปกว่านั้นยู่เฉิงไห่ยังขัดแย้งกับผู้เป็นอาจารย์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วยุทธภพ ถ้าอย่างงั้นจะต้องเป็น…ยู่ฉางตง ดาบปีศาจอย่างงั้นสินะ
  ขันทีส่ายหัว“ผู้ที่จัดการกับหลินซินก็คือศิษย์คนที่สาม ต้วนมู่เฉิงพ่ะย่ะค่ะ”
  “…”สีหน้าของหลิวจือเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ตัวเขาได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ต้วนมู่เฉิงเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอย่างงั้นเหรอ”
  “องค์ชาย…หลินซินประเมินพลังของเขาต่ำจนเกินไปและเพราะความประมาทจึงถูกต้วนมู่เฉิงใช้หอกโจมตี ชุดเกราะที่หลินซินสวมใส่นั้นไร้ประโยชน์” ขันทีตอบกลับมา
  หลิวจือขมวดคิ้วมากขึ้น“ชุดเกราะไร้ประโยชน์อย่างงั้นเหรอ” ตัวเขาไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้ ในตอนที่หลิวจือได้รับชุดเกราะมา ตัวเขาก็ได้ทดสอบพลังของมันแล้ว ผู้ที่มีพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาไม่สามารถที่จะทำอะไรชุดเกราะตัวนั้นได้แน่ แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?
  ขันทีพูดต่อ“หลังจากที่หลินซินตาย จีเทียนเด๋าก็ได้ใช้พลังฝ่ามือของตัวเองทำลายม่านพลังสถานศึกษาไท่ชู และยังทำลายม่านพลังของสำนักเฮ้งชูด้วยดาบอีกด้วย!”
  “…”หลิวจือไม่อยากที่จะฟังรายงานอีกต่อไป ตัวเขาหลับตาก่อนที่จะพยายามระงับความโกรธแค้น “ไปได้แล้ว”
  ขันทีคนนั้นรีบวิ่งออกไปในทันที
  เมื่อหลิวจือสงบสติตัวเขาก็ได้ลืมตาขึ้น“ข้าจะต้องขอความช่วยเหลืออีกไหม ข้าควรจะขอความช่วยเหลือจากยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนั้นต่อไปดีไหม?” หลิวจือได้แต่ขมวดคิ้ว ตัวเขาไม่คิดวิธีรับมือไม่ได้อีกต่อไป
  …
  ในขณะเดียวกันการตายของหลินซินบนยอดเขาดังยานก็ได้แพร่ไปทั่วยุทธภพหากมันเป็นเพียงแค่ข่าวการตายของหลินซิน มันก็คงจะไม่แพร่หลายได้เร็วแบบนี้ นอกจากการตายของหลินซินยังมีข่าวการทำลายม่านพลังอีกด้วย ม่านพลังทั้งสองแห่งถูกพลังฝ่ามือและพลังดาบทำลายไป ม่านพลังที่ถูกทำลายจะทำให้สำนักเฮ้งชูและสถานศึกษาไท่ชูไม่อาจป้องกันฐานที่ตั้งตัวเองจากศัตรูที่มีได้ การทำลายม่านพลังถือเป็นข่าวที่สร้างความหวาดกลัวได้มากที่สุดแล้ว
  ในอดีตเหล่าผู้ฝึกยุทธจากสำนักต่างๆมักจะอาศัยซ่อนตัวอยู่หลังม่านพลังได้ แต่ในตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้แสดงให้เห็นแล้วว่าม่านพลังไม่อาจปกป้องทุกคนได้อีกต่อไป ถ้าหากศาลาปีศาจลอยฟ้าสามารถทำลายม่านพลังได้อย่างง่ายดายจริง แล้วใครกันที่จะกล้ายืนหยัดต่อสู้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้ได้ แม้แต่สำนักใหญ่ๆ อย่างสำนัก หยุน เทียน ลั่วที่มีม่านพลังกว่า 20 ชั้นยังต้องระมัดระวังตัวให้ดี แน่นอนว่าสำนักที่ไม่ได้ใหญ่อะไรจะต้องระวังตัวให้มากกว่า
  การทำลายม่านพลังทั้งสองที่เป็นเป้าหมายที่ลู่โจวเล็งไว้แต่แรกตัวเขาต้องการขัดขวางไม่ให้สำนักไหนเคลื่อนไหวในยามที่ตัวเขาเก็บตัวฝึกฝนตัวเอง
  …
  เมื่อรถม้าลอยฟ้ากลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าหมิงซี่หยินก็เริ่มพูดขึ้น
  “หลังจากที่ท่านอาจารย์ทำลายม่านพลังด้วยพลังฝ่ามือและพลังดาบได้แล้วในอนาคตข้าก็ไม่คิดว่าใครจะกล้าดูถูกศาลาปีศาจลอยฟ้าได้อีกแล้วล่ะ”
  ต้วนมู่เฉิงพยักหน้าเห็นด้วย“มันก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ…นอกจากนี้ศิษย์พี่รองยังกลับมาแล้วด้วย ในตอนนี้ก็เหลือแค่เวลาเท่านั้นที่พวกเราชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าจะกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง”
  ในขณะที่รถม้าล่องเมฆากำลังจะลงจอดในตอนนั้นเองก็มีเสียงอันไพเราะดังมาจากขลุ่ย มันเป็นเสียงที่ดังมาจากศาลาทางใต้ ท่วงทำนองที่บางครั้งก็รวดเร็ว บางครั้งก็เชื่องช้า มันเปรียบได้กับพายุที่เกรี้ยวกราดที่ทำให้ทุกคนได้มีพลังและสายฝนที่โปรยปรายที่คอยปลอบโยนผู้ที่ได้ยิน
  เมื่อหมิงซี่หยินได้ยินเสียงขลุ่ยตัวเขาก็ได้อุทานขึ้นมา“นี่มัน! อย่าบอกนะว่าหอยสังข์กำลังเรียกสัตว์ร้ายให้เข้ามาหาน่ะ”
  หมิงซี่หยินเป็นผู้ที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ดีที่สุดตัวเขาได้เหลือบมองไปรอบตัว หมิงซี่หยินสังเกตเห็นม้าตัวหนึ่งที่มีแผงคอเป็นสีแดง ลำตัวของมันขาวราวกับหิมะ ดวงตาของมันเป็นประกายสีทองระยิบระยับ ม้าตัวนั้นกำลังมุ่งหน้าไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นนึกไปถึงเทียนกูวที่เคยเจอ “ท่านอาจารย์ มีสัตว์ร้ายพยายามจะทำลายม่านพลัง!”
  ต้วนมู่เฉิงที่ได้ฟังแบบนั้นตะโกนขึ้น“เจ้าสัตว์ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า!” ต้วนมู่เฉิงได้บินออกจากรถม้าพร้อมกับหอกราชันย์ ตัวเขาได้พุ่งไปหาม้าตัวนั้นอย่างรวดเร็ว
  ฮี้!
  ม้าตัวนั้นที่เห็นต้วนมู่เฉิงได้ยกขาหน้าของมันขึ้นขาหน้าที่มันยกสูงกว่าสองฟุตได้ มันได้จ้องไปยังต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะเริ่มวิ่งหนี
  ต้วนมู่เฉิงตกตะลึง“สัตว์ร้ายนั่นพยายามจะขู่ข้า!”
  ที่ด้านบนศาลาทางใต้หยวนเอ๋อกำลังบินไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่ ทั้งหมดเป็นความผิดของท่าน!”
  “หะ”ต้วนมู่เฉิงถือหอกราชันย์ด้วยมือข้างขวา ส่วนมือข้างซ้ายของเขากำลังเกาหัวอยู่ ตัวเขาไม่เข้าใจสิ่งที่หยวนเอ๋อพูด
  “พวกเราเกือบจะจับม้าตัวนั้นได้อยู่แล้ว!อีกนิดเดียวแท้ๆ …”
  ขลุ่ยที่ดังได้เงียบไป
  ธิดาหอยสังข์เงยหน้าขึ้นก่อนที่จะมองรถม้าล่องเมฆาด้วยสายตาที่อ่อนโยนสาวน้อยได้ยิ้มให้ต้วนมู่เฉิงก่อนจะพูดออกมา “พวกท่านทุกคนกลับมาแล้ว!”
  ลู่โจวก้าวออกมาจากรถม้าล่องเมฆา
  ในตอนนั้นเองฮั๊วยู่จิงก็ได้บินขึ้นมานางดึงสายธนูก่อนที่จะปล่อยลูกศร
  พรึ๊บ!
  ลูกศรพลังงานวิ่งตามหลังม้าตัวนั้นก่อนที่มันจะหายไปในอากาศ
  ฮั๊วยู่จิงขมวดคิ้ว“ม้านั่นช่างแปลกประหลาดซะจริง ข้าโจมตีไปที่มันต้องหลายครั้งแล้วแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ…”
  “พอได้แล้ว”ลู่โจวพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
  ฮั๊วยู่จิงได้หันกลับมา
  “ท่านปรมาจารย์”ผู้อาวุโสทั้งสี่ได้ปรากฏตัวขึ้นจากศาลาทางใต้
  ผู้ฝึกยุทธหญิงฝานซง และโจวจี้เฟิงเองก็เงยหน้าขึ้น
  “ท่านปรมาจารย์ท่านมาได้ทันเวลาพอดี สัตว์ร้ายนั่นสร้างปัญหาอยู่ที่นอกม่านพลังมาตั้งแต่เช้า ผู้อาวุโสทั้งหลายได้ตัดดอกบัวทองคำและกำลังฝึกฝนวรยุทธใหม่ พวกเราไม่สามารถทำอะไรกับสัตว์ร้ายตัวนั้นได้เลย” ฮั๊วยู่จิงได้รายงานสิ่งที่เกิดขึ้น
  หยวนเอ๋อทำหน้าบึ้งก่อนจะพูดออกมา“ท่านอาจารย์…ถ้าหากหอยสังข์ไม่ยอมกล่อมมัน ม่านพลังก็คงจะถูกทำลายอีกครั้งแน่ เจ้าสัตว์ร้ายนั่น!”
  ทุกๆคนยังคงแสดงความคิดเห็นและระบายความในใจเกี่ยวกับม้าตัวนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าม้าตัวนี้ได้สร้างปัญหาให้กับทุกคนในตลอดเวลาที่ผ่าน…
  ลู่โจวยังคงนิ่งเงียบตัวเขาลูบเคราก่อนที่จะเหลือบมองไปยังไกลแสนไกล
  ม้าที่วิ่งไปเริ่มวิ่งไปไกลขึ้นเรื่อยๆเมื่อมันอยู่ห่างจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามากพอมันก็เลือกที่จะหยุดพักอยู่บนก้อนเมฆ
  ลู่โจวมองไปที่ธิดาหอยสังข์ก่อนจะถามออกมา“มันได้พูดอะไรบ้างรึเปล่า”
  ธิดาหอยสังข์เป็นผู้ที่สามารถสื่อสารกับสัตว์ร้ายได้ดังนั้นนางก็คงจะสื่อสารกับม้าตัวนี้มาแล้ว
  ธิดาหอยสังข์ส่ายหัว“มันไม่อยากจะพูดกับข้า”
  เล้งลั่วได้คารวะก่อนจะพูดขึ้น“แม้แต่สาวน้อยก็ยังไม่อาจจะทำให้สัตว์ร้ายตัวนี้เชื่อได้ ถ้าหากมันยังคงเกรี้ยวกราดเช่นนี้ ข้าเกรงว่าจะเกิดหายนะขึ้นมาได้ ข้าเสนอให้ท่านลงมือฆ่ามันเพื่อปกป้องศาลาปีศาจลอยฟ้าเอาไว้จะดีกว่า ท่านประมุข”
  “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกันคงมีแต่การสังหารมันเท่านั้นถึงจะหยุดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ได้” ฝานลี่เทียนพูดเสริม
  ซูยู่ชูพูดต่อ“ที่มันแปลกเกินไป ปกติแล้วภูเขาทองมีผู้คนพลุกพล่าน เป็นธรรมดาที่สัตว์ร้ายจะไม่อยากเข้าใกล้ แล้วทำไมสัตว์ร้ายตัวนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
  “บางทีนี่อาจจะเป็นแผนการของพวกชนเผ่าอื่นก็ได้…อย่าลืมไปว่าพวกชาวรั่วหลี่เองก็มีสัตว์ร้ายแบบนี้เช่นกันถ้าหากสัตว์ร้ายอย่างเทียนกูวถูกส่งมาที่นี่อีก พวกเราจะจัดการกับมันยังไงกันล่ะ” ฮั๊ววู่เด๋าถามออกมา
  ทุกคนเริ่มแสดงความเห็นกันอย่างแข็งขันท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ได้ห้ามปรามพวกเขาไว้ “ใจเย็นลงก่อน”
  ลู่โจวลอยขึ้นไปบนอากาศเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวตัวเขาก็ได้ลอยอยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้าเรียบร้อยแล้ว ลู่โจวกำลังเหลือบมองม้าที่ยืนอยู่ไกลๆ
  “ท่านปรมาจารย์เคลื่อนไหวแล้ว!”
  “เจ้าสัตว์ร้ายที่ถูกสาปนั่นมันจะต้องได้ลิ้มรสพลังการจู่โจมอันไร้เทียมทานของท่านปรมาจารย์แน่!”ดวงตาของฝานซงและโจวจี้เฟิงเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง
  ลู่โจวที่ลอยขึ้นไปไม่ได้เรียกอาวุธนิรนามออกมาตัวเขามองไปที่ม้าตัวนั้นก่อนที่จะโบกมือแทน “จีเหลียง มานี่” เสียงของลู่โจวที่ได้เปล่งออกมาดังสนั่น
  ทุกๆคนต่างตกตะลึง
  ‘ม้าตัวนั้นมีชื่อว่าจีเหลียงอย่างงั้นเหรอมันจะเชื่อฟังผู้ที่เรียกชื่อมันเนี่ยนะ? นี่มันเรื่องล้อกันเล่นสินะ?’
  ยังไงซะทุกคนก็ยังเคารพลู่โจวอยู่ดีแต่การกระทำของตัวเขาในครั้งนี้ได้ทำให้ทุกคนงุนงง
  ในโลกของการฝึกยุทธทุกๆ คนต่างก็รู้ดีว่าการทำให้สัตว์ร้ายเชื่อได้มันยากเย็นแค่ไหน ถ้าหากมันง่ายจริงป่านนี้ทุกๆ คนก็คงจะขี่สัตว์ร้ายไปตามท้องถนนแล้ว นอกจากนี้จีเหลียงยังไม่ถูกธิดาหอยสังข์ควบคุมได้อีกด้วย สาวน้อยคนนี้มีพรสวรรค์ในการสื่อสารกับสัตว์ร้ายมาตั้งแต่แรก
  ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสนในตอนนั้นเองจีเหลียงก็ได้ส่งเสียงร้อง หลังจากที่ส่งเสียงร้องเสร็จมันก็ได้วิ่งกลับมายังศาลาปีศาจลอยฟ้า
  ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจ
  ม้าป่าตัวนั้นกำลังจะจู่โจมม่านพลังอีกครั้งยังไงซะสัตว์ร้ายก็ยังเป็นสัตว์ร้ายอยู่วันยังค่ำ!
  หลังจากนั้นไม่นานจีเหลียงก็วิ่งมาถึงม่านพลังชั้นนอก
  ลู่โจวได้โบกมือเบาๆในตอนนั้นเองม่านพลังก็ถูกเปิดขึ้น
  “นี่มัน…”
  ทุกคนต่างก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจท่านปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าอนุญาตให้สัตว์ร้ายเข้ามาในม่านพลัง!
  จีเหลียงได้วิ่งผ่านช่องม่านพลังที่ถูกเปิดเมื่อมันเข้ามาได้มันก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลงและดูสงบมากยิ่งขึ้น มันวิ่งเหยาะๆ ไปหาลู่โจวอย่างเชื่อฟังก่อนที่จะส่งเสียงออกมาเบาๆ สัตว์ร้ายไม่ได้โจมตี มันเลือกที่จะคุกเข่าแทน สัตว์ร้ายได้ยอมจำนนต่อลู่โจว!
  เมื่อเห็นแบบนั้นทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกนี่มันเกิดอะไรขึ้น จีเหลียงไม่ใช่ม้าตัวเดิมที่หยิ่งผยองและเกรี้ยวกราดอย่างงั้นเหรอ? ทำไมจู่ๆ มันถึงยอมจำนนได้?
  ผู้อาวุโสทั้งสี่ต่างก็ตะลึง
  ฮั๊วยู่จิงได้โค้งคำนับก่อนจะเริ่มพูด“เอ่อ…ท่านปรมาจารย์ ท่านทำแบบนั้นได้ยังไงกัน”
  ลู่โจวลูบเคราของตัวเองตัวเขายิ้มให้โดยที่ไม่ตอบอะไรกลับมา และเพราะแบบนั้นมันยิ่งทำให้ลู่โจวดูลึกลับมากยิ่งขึ้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะไม่รู้สึกอิจฉา ลู่โจวพยักอย่างยินดี ‘บางทีนี่มันจะต้องเป็นความสามารถพิเศษของฉันแน่’