ลู่โจวยกมือขึ้นก่อนที่จะตบหลังจีเหลียงเบาๆ
ฮี้!
จีเหลียงได้ร้องเสียงดังด้วยความยินดี
ธิดาหอยสังข์เข้าใจสิ่งที่จีเหลียงร้องดีนางพูดออกมาอย่างมีความสุข “มันกำลังทักทายพวกเราด้วย!”
ฮั๊วยู่จิงและคนอื่นๆไม่อาจเข้าใจเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นได้เลย จีเหลียงมันกำลังทักทายทุกคนได้ยังไงกัน สำหรับทุกคน เขี้ยวของจีเหลียงที่โผล่ออกมามันดูเหมือนกับพยายามข่มขู่พวกเขาซะมากกว่า จีเหลียงมันดูดุร้ายมากกว่าที่จะดูเป็นมิตร ทุกๆ คนได้ถอยหลังตามสัญชาตญาณ มันคงจะดีกว่าถ้าหากระมัดระวังตัวเอาไว้ ยังไงซะสัตว์ร้ายก็ยังเป็นสัตว์ร้ายอยู่วันยังค่ำ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคนลู่โจวก็ได้ตบหลังจีเหลียงเบาๆ อีกครั้ง “ไม่ต้องกลัวไป”
จีเหลียงยืนขึ้นทุกคนที่กำลังระวังตัวอยู่เมื่อได้เห็นแบบนั้นได้แต่ถอยกลับอีกครั้ง จีเหลียงวิ่งเข้าไปใกล้ทุกคนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองอย่างหยิ่งผยอง
ผู้คนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือของศาลาปีศาจลอยฟ้าเพียงแค่เอ่ยนามเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัว แต่ดูเหมือนว่าทุกคนที่ว่าแข็งแกร่งเมื่ออยู่ต่อหน้าม้าตัวนี้ยังต้องหวาดกลัวมัน
หลังจากที่มั่นใจว่าจีเหลียงไม่ได้ดุร้ายอย่างที่คิดไว้ในที่สุดทุกคนก็เริ่มผ่อนคลาย ทุกคนเริ่มเข้าไปใกล้จีเหลียงก่อนที่จะเฝ้ามองมัน
ฝานซงที่ยืนอยู่ต่อหน้าจีเหลียงได้พูดขึ้น“เจ้านี่มันวางท่าซะจริง! เฮ้ เจ้าคิดว่ากำลังมองใครอยู่กัน”
ฮี้!
จีเหลียงตอบกลับมา
ฝานซงที่เห็นมันตอบโต้มาได้คิดเข้าข้างตัวเอง“เจ้าคงจะไม่กล้าหือต่อหน้าข้าแล้วสินะ”
ธิดาหอยสังข์พยายามกั้นหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา“มันบอกว่าท่านเตี้ย!”
“…”
ทุกๆคนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ก็ไม่มีใครกล้าตำหนิมันอีก
ซูยู่ชูเฝ้ามองจีเหลียงได้พักหนึ่งหลังจากนั้นนางก็หันไปหาลู่โจว “พี่ใหญ่ ท่านไปพาม้าตัวนี้มาจากไหนกัน”
ลู่โจวได้ลอยลงมาจากบนฟ้าตัวเขาเอามือไขว้หลังก่อนที่จะตอบคำถาม “ข้าเคยไปที่ดินแดนวู่หวังที่อยู่ทางตอนเหนือในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ที่นั่นมีสัตว์ร้ายมากมายอาศัยอยู่ เรื่องต่อจากนั้นไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงอีก สัตว์ร้ายตัวนี้ฉลาดหลักแหลมมาก ในตอนที่ข้าได้พบกับมัน มันได้ยอมจำนนต่อข้าในทันที ข้าแน่ใจว่ามันจะต้องเดินทางมายังศาลาปีศาจลอยฟ้าเพื่อรับใช้ข้า” ลู่โจวไม่ได้สนใจว่าคนอื่นๆ จะเชื่อตัวเขาไหม สิ่งที่ตัวเขาได้พูดออกมาก็คือข้อแก้ตัวเท่านั้น การได้จีเหลียงมายังไงมันไม่ได้สำคัญอะไร สิ่งสำคัญก็คือสิ่งที่ต้องทำมากกว่า
จีเหลียงยกศีรษะขึ้นก่อนที่จะร้องออกมา
ธิดาหอยสังข์ชี้ไปที่จีเหลียงก่อนจะพูดขึ้น“จีเหลียงบอกว่าเป็นความจริง”
“…”
“ข้ารู้สึกประทับใจในพลังของท่านจริงๆ” ฮั๊ววู่เด๋าคารวะลู่โจวด้วยความชื่นชม
“เพื่อที่จะควบคุมม้าที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้ข้าแน่ใจเลยว่าท่านปรมาจารย์จะต้องแสดงพลังอันแข็งแกร่งที่ดินแดนวู่หวัง ข้าชื่นชมท่านจริงๆ”
ลู่โจวได้รับคำชื่นชมจากหลายๆคน ไม่นานนักตัวเขาก็โบกแขนเสื้อและเรียกสัตว์ขี่ตัวใหม่ “จีเหลียง”
จีเหลียงเข้าใจสิ่งที่ลู่โจวต้องการดีมันได้วิ่งไปในป่าของภูเขาทองก่อนที่จะหายตัวไป
ลู่โจวมองไปที่ขลุ่ยหยกหลานเทียนที่ห้อยอยู่บนเอวธิดาหอยสังข์ก่อนจะพูดขึ้น“หอยสังข์ ส่งมือเจ้ามา”
“ค่ะ”ดูเหมือนว่าหอยสังข์จะคุ้นเคยกับการทำอะไรแบบนี้แล้ว นางรีบยื่นข้อมือออกมา
ลู่โจววางนิ้วทั้งสองลงบนข้อมือของนางตัวเขากำลังตรวจสอบเส้นพลังลมปราณทั้งแปดนั่นเอง นับตั้งแต่ที่ลู่โจวกลับบมาจากเกาะเผิงไหล ตัวเขาก็ไม่เคยให้ความสนใจกับการฝึกฝนของนางเลย มันเป็นไปตามที่ตัวเขาคาดไว้ หลังจากที่อยู่ร่วมกับหยกหลานเทียนมาได้สักพัก เส้นพลังลมปราณทั้งแปดของนางดูราบรื่นและแข็งแกร่งขึ้นมาก ในตอนนี้นางได้กลายเป็นผู้มีพลังขั้นสังหรณ์หยั่งรู้อย่างแท้จริงแล้ว นางเป็นผู้ที่มีพลังถึงขั้นสังหรณ์หยั่งรู้โดยไม่ต้องผ่านการฝึกฝนอะไร ใครกันจะสามารถทำแบบนั้นได้ ในที่สุดลู่โจวก็ดึงนิ้วออกจากข้อมือ “มากับข้า”
“ค่ะ”
ลู่โจวไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นๆอีกต่อไป ตัวเขาหันหลังกลับก่อนที่จะเดินไปยังศาลาตะวันออก
ธิดาหอยสังข์เดินตามลู่โจวไปอย่างเชื่อฟัง
ผู้อาวุโสทั้งสี่ได้แต่ถอนหายใจในขณะที่ส่ายหัว
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นจึงถามออกมา“ทำไมผู้อาวุโสทั้งหลายถึงต้องถอนหายใจกันด้วยล่ะ”
“ข้าก็แค่รู้สึกอิ่มเอมใจที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะสร้างอัจฉริยะอีกคนขึ้นมาน่ะ”ฝานลี่เทียนตอบกลับ
ซูยู่ชูเองก็ถือเป็นอัจฉริยะนางเป็นอัจฉริยะแห่งลัทธิขงจื๊อก็ว่าได้ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า เด็กสาวที่สามารถมีพลังขั้นสังหรณ์หยั่งรู้โดยตรงได้ ซูยู่ชูก็ทำได้เพียงยอมรับให้กับความพ่ายแพ้ นางมองดูทั้งสองคนจากไปก่อนจะพูดออกมา “ถ้าหากไม่ใช่พี่ใหญ่ ข้าก็คงจะสู้เพื่อศิษย์อย่างนางแน่”
“ผู้อาวุโสซูถ้าหากข้าได้นางเป็นศิษย์จริง ข้าจะมอบน้ำเต้าของข้าให้กับนางแน่” ฝานลี่เทียนพูดต่อ
เล้งลั่วเหลือบมองไปที่ฝานลี่เทียนและซูยู่ชูก่อนจะพูดออกมา“ถ้าหากเป็นในอดีต ข้าก็คงจะทำลายทุกอย่างเพื่อชิงตัวนางมาเป็นศิษย์ แต่เป็นเพราะท่านปรมาจารย์ต้องการ เพราะแบบนั้นข้าถึงได้ยอม”
ฮั๊ววู่เด๋านิ่งเงียบตัวเขาตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการโอ้อวดในครั้งนี้
เมื่อทั้งสองคนเดินจากไปซูยู่ชูก็หันมาหาหยวนเอ๋อแทน “สาวน้อย เจ้าฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นไหนแล้วล่ะ”
หยวนเอ๋อก้มหน้าลงก่อนจะนับนิ้วหลังจากนั้นนางก็พูดออกมาอย่างเขินอาย “ข้าฝึกฝนจนตัวเองมีพลังอวตารดอกบัวสามกลีบเพียงเท่านั้น”
คำว่า‘เท่านั้น’ ของหยวนเอ๋อได้เสียบแทงใจดำของฝานซงและโจวจี้เฟิงเป็นอย่างดี พวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้สึกเจ็บปวดทั้งๆ ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร..
ผู้อาวุโสทั้งสี่ได้ตัดดอกบัวทองคำของตัวเองและทำการฝึกฝนตัวเองใหม่อีกครั้งผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังอวตารดอกบัวเพียงแค่สองกลีบเท่านั้น ถ้าหากพิจารณาจากจำนวนกลีบดอกบัว ผู้อาวุโสเหล่านี้ก็คงจะอ่อนแอกว่าหยวนเอ๋ออยู่เล็กน้อย
หมิงซี่หยินพูดต่อ“ศิษย์น้องเล็ก ให้ข้าช่วยเจ้าไหมล่ะ…”
“ไม่!”หยวนเอ๋อตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ข้าจะจัดการกับทุกคนที่พยายามทำอะไรกับดอกบัวทองคำของข้า!” หยวนเอ๋อตอบกลับมาพร้อมโบกมืออย่างรุนแรง
“…”
ทุกๆคนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็ถอยออกไป สาวน้อยที่เคยดูสุภาพได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
ณศาลาตะวันออก
ลู่โจวพาหยวนเอ๋อเข้ามายังห้องโถงศาลา
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเรียกเจ้ามาทำไม”ลู่โจวถาม
สาวน้อยส่ายหัว
ลู่โจวนั่งลงอย่างช้าๆก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าเต็มใจที่จะฝึกวรยุทธไหม”
“ฝึกวรยุทธ”
“แบบนี้ไงล่ะ…”ลู่โจวยกมือขึ้นมา ในตอนนั้นเองบนฝ่ามือของเขาก็เริ่มมีพลังลมปราณผันผวนมากยิ่งขึ้น ไม่นานนักพลังลมปราณก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นกระบี่ หอก ไม้เท้า และไม้ง่าม
ดวงตาของธิดาหอยสังข์เป็นประกายเมื่อได้เห็นแบบนั้นนางชี้ไปยังดาบพลังงานก่อนจะพูดออกมา “น่าสนุกจัง! ข้าอยากจะฝึกทำบ้าง”
สนุก
ลู่โจวรู้สึกสิ้นหวังนิดหน่อยแต่เมื่อตัวเขาคิดทบทวนถึงเหตุผล ผู้ฝึกยุทธหลายคนที่เริ่มฝึกฝนตัวเองตั้งแต่เด็กล้วนแต่มีเหตุผลมาจากความต้องการส่วนตัว บางคนก็อยากเหาะเหินเดินอากาศ บางคนก็อยากจะบินด้วยดาบ บ้างก็อยากที่จะท่องไปยังโลกกว้าง หรือบ้างก็อยากจะฝึกฝนสัตว์ร้ายให้เชื่อง ทุกคนต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง “ข้าจะทดสอบความเข้าใจของเจ้าก่อน”
พรสวรรค์ที่ดีถือเป็นรากฐานสำคัญแต่แน่นอนว่าความรู้เองก็สำคัญเช่นกัน
สาวน้อยพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปนั่งบนเบาะนั่ง
“กำหนดลมหายใจและตั้งสมาธิให้มั่นควบคุมความคิดทั้งหมดไปที่จุดพลังลมปราณของเจ้า เมื่อเจ้าทำเช่นนั้นได้เจ้าก็จะสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณ พลังลมปราณของเจ้าที่ไหลเวียนไม่ได้ต่างอะไรจากน้ำทะเล ด้วยการชี้นำการไหลเวียนที่ถูกต้อง…เจ้าจะสามารถปล่อยพลังลมปราณเหล่านั้นไปตามเส้นพลังลมปราณและผลักมันออกมาจากร่างกายได้ มันเป็นพื้นฐานในการใช้พลังนั่นเอง…สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะสามารถควบแน่นพลังลมปราณเจ้าให้กลายเป็นพลังงานได้อย่างอิสระ” ลู่โจวไม่เคยต้องสอนใครอย่างละเอียดจนถึงขนาดนี้ บางทีตัวเขาก็รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเขายอมสอนนางก็เป็นได้
“ดีมาก”ลู่โจวพูดชมเชยเมื่อเห็นสาวน้อยสามารถใช้พลังลมปราณได้สำเร็จ
พลังลมปราณก็คือพลังลมปราณเมื่อธิดาสาวน้อยสามารถเปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าและเข้าสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้ แม้ว่านางจะมีพลังลมปราณเก็บสะสมไม่มากนัก แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะวางรากฐานอันสำคัญให้กับนางได้ฝึกฝนต่อ
ธิดาหอยสังข์ที่ฝึกใช้พลังมองไปทางลู่โจวนางได้ถามออกมาอย่างมั่นใจ “แบบนี้ถูกต้องแล้วสินะ”
พลังงานที่เสียดสีกับอากาศได้ส่งเสียงขึ้นมาจากบนฝ่ามือขวาของธิดาหอยสังข์พลังของธิดาหอยสังข์ได้รวมตัวกันจนดูคล้ายกับไข่ไก่อยู่บนเหนือศีรษะนางเอง
ลู่โจวเบิกตามอง“…”
การฝึกฝนร่างกายเป็นขั้นตอนที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงทนทานมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดพลังลมปราณ ด้วยการฝึกฝนร่างกายจะทำให้จุดพลังลมปราณสามารถจุพลังลมปราณได้มากขึ้น
ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้จะเป็นขั้นที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธสามารถสัมผัสกับพลังลมปราณและสามารถชี้นำพลังที่ตัวเองมีได้
ขั้นสัมผัสแห่งการควบคุมจะเป็นขั้นที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธสามารถใช้พลังลมปราณได้ตามเจตจำนงของผู้ฝึก เมื่อเจตจำนงของผู้ฝึกแข็งแกร่งไปจนถึงระดับหนึ่ง คนคนนั้นก็จะสามารถหลอมรวมพลังลมปราณให้กลายเป็นพลังในการโจมตีได้ ยิ่งมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำมากเท่าไหร่ การใช้พลังก็จะเสถียรและมั่นคงกว่าเดิมเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของผู้ฝึกยุทธ
แต่กับสาวน้อยอย่างธิดาหอยสังข์นางเข้าสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้โดยตรงโดยไม่ได้ผ่านการฝึกใด หนำซ้ำนางยังสามารถรวบรวมพลังลมปราณจนเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังงานได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นตกตะลึง
สาวน้อยที่เห็นท่าทางของลู่โจวเปลี่ยนแปลงไปสับสนนางคิดว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ “ข้าผิดไปแล้ว ข้าเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบไม่ได้”
ลู่โจวได้แต่ใช้ความคิดอยู่ภายในใจ‘สาวน้อยคนนี้กำลังคิดจะสร้างดาบพลังงานตั้งแต่แรกเริ่ม มันดีแค่ไหนแล้วที่นางสามารถใช้พลังลมปราณของตัวเองควบแน่นมันจนเปลี่ยนกลายเป็นไข่ไก่ได้แบบนี้ ถ้าหากสาวน้อยคนนี้มีพรสวรรค์ถึงขั้นนี้ แล้วฉันจะไปสอนอะไรนางได้กัน?’
ลู่โจวได้จ้องไปที่สาวน้อยก่อนจะถามออกมาอีกครั้ง“ข้าจะยืนยันอีกครั้ง เจ้าเต็มใจที่จะฝึกฝนวรยุทธกับข้ารึเปล่า”