หลิวเก้อได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น“เจ้าเป็นคนแรกเลยที่กล้าพูดกับข้าแบบนี้”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะจะต้องมีครั้งที่สอง สาม สี่…และอีกมากมายหลายครั้งอย่างแน่นอน” หมิงซี่หยินตอบกลับ
“น่าสนใจจริงๆ”หลิวเก้อคิดว่าหมิงซี่หยินน่าสนใจ “แต่ข้าจะไม่ไปไหนง่ายๆ แน่ถ้าหากไม่ได้เจอสหายเก่าของข้า”
หมิงซี่หยินตอบกลับ“นี่ก็เรื่องของท่าน ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย และแน่นอนว่าข้าก็ไม่ได้สนใจ”
“….”แม้ว่าหลิวเก้อจะเป็นถึงอดีตจักรพรรดิ ผู้ที่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับชนเผ่าอื่นได้ แต่ตัวเขาก็ไม่อาจตอบโต้อะไรกับสิ่งที่หมิงซี่หยินพูดได้
ชู่เฉิงขมวดคิ้ว“ฝ่าบาทมาที่นี่ก็เพื่อที่จะพูดคุยกับสหายเท่านั้น พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ พวกเราขอเข้าไปกับคนเพียงไม่กี่คนก็ได้”
หมิงซี่หยินตอบกลับมาอย่างเกียจคร้าน“คำพูดมันเป็นเพียงลมปาก แต่ใครกันล่ะที่จะไปรู้ความจริง…”
ชู่เฉิงคารวะให้“การที่ฝ่าบาทจะเสด็จมาที่นี่ก็ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นอย่างสูงแล้ว ฝ่าบาทของพวกเราเป็นสหายเก่ากับอาจารย์ท่าน ถ้าหากฝ่าบาทไม่ได้พบกับสหายเก่า ข้าในฐานะผู้คุ้มกันก็คงจะยืนเฉยต่อไปไม่ได้”
หมิงซี่หยินขมวดคิ้ว“อะไรนะ พวกเจ้าจะบุกรุกที่นี่อย่างงั้นสินะ? พวกเจ้าคิดจะใช้กำลังเข้ามาถูกรึเปล่า?”
“ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบพวกเราไม่กล้าที่จะใช้กำลังเข้าไปแน่…” ชู่เฉิงพูด หลังจากนั้นตัวเขาก็พูดเสริม “แต่ถ้าหากฝ่าบาททรงรับสั่ง ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม”
ถ้าหากจะบอกว่าเพื่อหลิวเก้อแล้วทั้งคู่ยินดีที่จะสละชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยทั้งคู่เป็นคนประเภทที่หมิงซี่หยินไม่อยากเจอมากที่สุด หมิงซี่หยินหันไปมองหลิวเก้อแทน ตัวเขาสัมผัสได้ถึงพลังออร่าจางๆ ที่ลึกล้ำของหลิวเก้อได้ ท่าทางของหลิวเก้อแตกต่างจากที่จินตนาการเอาไว้ หลิวเก้อดูเยือกเย็น ไม่แยแสต่อสิ่งใด มันดูเหมือนกับว่าในโลกใบนี้ไม่มีอะไรสำคัญต่อหลิวเก้อ
หมิงซี่หยินได้ใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง“ท่านอาจารย์บอกว่าจะฝึกฝนตัวเองเป็นเวลา 5 เดือน ก่อนที่จะฝึกสำเร็จตัวเขาจะไม่ขอพบใคร”
หลิวเก้อตอบกลับ“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะรอเขาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเอง”
“…”หมิงซี่หยินคิดมาตลอดว่าจะต้องไม่มีใครกล้าบุกรุกมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่ แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตัวเขาจะคิดผิดไป
เมื่อพูดจบหลิวเก้อก็ได้โบกมือ
ผู้คุ้มกันทั้งหลายได้ก้าวมาที่ด้านหน้าพวกเขาต่างก็เดินมาพร้อมกับกล่องในมือ
หลิวเก้อเดินเข้ามากใกล้ม่านพลังมากยิ่งขึ้น
ชู่เฉิงและกู่ยี่หรานผสานฝ่ามือกันมีเครื่องรางหลายชิ้นอยู่ระหว่างฝ่ามือของพวกเขา
ชาวลัทธิจงจื๊อ!
หมิงซี่หยินยกมือห้ามเอาไว้“ถ้าหากเป็นแบบนี้ก็ตามข้ามา”
ชู่เฉิงและกู่ยี่หรานต่างก็ลดมือลง
ไม่นานนักที่ม่านพลังก็เกิดช่องว่างขึ้น
หลิวเก้อได้เดินผ่านม่านพลังก่อนที่ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ จะพากันเดินตามมา
ในขณะที่เดินตรงมาใจของหมิงซี่หยินก็เต้นแรงตัวเขานึกถึงเรื่องที่ยู่ฉางตง ศิษย์พี่คนรองที่กลับมายังศาลาปีศาจลอยฟ้าใหม่ๆ ได้ ในตอนนั้นอาจารย์ของเขาได้บอกเอาไว้ว่าหลิวเก้อ จักรพรรดิหย่งโชวเป็นผู้ใช้ดาบที่อยู่ในวิถีดาบประเภทที่สาม
ในตอนนี้หยวนดู่ชายผู้มาพร้อมกับโลงศพก็ได้สลายจนเหลือแต่เถ้าถ่านและไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้อีก หมิงซี่หยินจำได้ดีว่าการสวรรคตของจักรพรรดิหย่งโชวได้ทำการประกาศอยู่ที่สุสานแห่งดาบ ตัวเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นประกาศปลอมๆ
หมิงซี่หยินที่คิดอะไรออกได้หยุดเดินก่อนจะหันกลับมาถาม“อาจารย์ของข้าบอกว่าท่านเป็นยอดผู้ใช้ดาบ ฝ่าบาท ที่อาจารย์ของข้าเรียกท่านว่าดาบจักรพรรดิมันเป็นเรื่องจริงอย่างงั้นสินะ”
ก่อนที่หลิวเก้อจะตอบชู่เฉิงก็ได้พูดออกมาซะก่อน“ฝ่าบาทของพวกเราเคยเป็นผู้นำต่อต้านชนเผ่าอื่นนับหมื่นด้วยทักษะดาบส่วนพระองค์ ยกโทษให้ข้าทีที่จะต้องพูดตามตรง แม้แต่สามผู้คลั่งไคล้แห่งดาบเองก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาท”
“แล้วศิษย์พี่รองของข้ายู่ฉางตงล่ะ”
“เอ่อ…”ชู่เฉิงไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถประเมินยู่ฉางตงได้ ท้ายที่สุดยู่ฉางตงก็เป็นยอดฝีมือผู้ใช้ดาบที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ ด้วยฝีมือที่มีรวมไปถึงนิสัยส่วนตัวทำให้ชายคนนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นดาบปีศาจในที่สุด ยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบมากมายหลายคนต่างก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเขา แม้ว่าจะมีพลังอยู่ในระดับเดียวกันแต่พลังของพวกเขาก็ต่างกัน
กู่ยี่หรานตอบกลับ“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นสถานที่ในการต่อสู้คงจะเป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าหากอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฝ่าบาทของพวกเราก็คงจะอยู่ยงคงกระพัน”
ช่างไร้ยางอายซะจริง!ใครจะสามารถเอาชนะหลิวเก้อได้เมื่อมีเขตแดนพลังทั้งสิบอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตามหมิงซี่หยินก็ไม่ได้สนคำพูดของเหล่าแม่ทัพตัวเขาได้เดินนำทางไปยังห้องโถงใหญ่ต่อ
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเก่าแก่ของใครบางคนดังขึ้นมันเป็นเสียงที่ดังใกล้ๆ กับห้องโถงใหญ่ “ชู่เฉิง กู่ยี่หราน?”
ทั้งคู่หันไปมองที่ที่เสียงดังอย่างตื่นตกใจทั้งคู่ต่างก็สงสัยว่าใครในศาลาปีศาจลอยฟ้าจดจำพวกเขาได้ ทั้งสองคนมองเห็นหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหา หญิงชราคนนั้นเดินมาพร้อมกับไม้เท้าที่อยู่ในมือ
“ผู้อาวุโสซู”ชู่เฉิงขมวดคิ้ว..
“ชู่เฉิงระวังคำพูดของเจ้าไว้จะดีกว่า…ในตอนนี้ข้าได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว ข้าเป็นผู้อาวุโสแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้าในตอนนี้ไม่ใช่ผู้อาวุโสของชาวลัทธิขงจื๊ออีกต่อไป” ซูยู่ชูพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
ชู่เฉิงและกู่ยี่หรานต่างก็สบตากันพวกเขาไม่คาดคิดว่าอดีตอัจฉริยะแห่งชาวลัทธิขงจื๊อจะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้
หลิวเก้อมองไปที่ซูยู่ชู“เป็นเวลา 500 ปีแล้วที่ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้า…ซูยู่ชู”
ซูยู่ชูหันไปประเมินหลิวเก้อนางได้ยินการมาเยือนจากหมิงซี่หยินในก่อนหน้านี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่แปลกใจเมื่อได้พบกับหลิวเก้อที่นี่ “ข้าไม่รู้เลยว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ฝ่าบาท ได้โปรดยอมรับคำทักทายอันต่ำต้อยของข้าด้วย”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงทะเลาะวิวาทดังมาจากภายในห้องโถงใหญ่
“ฝานลี่เทียนในบรรดาผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ เจ้าเป็นเพียงคนไม่กี่คนที่ข้าไม่ยอมรับ”
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงของใครอีกคนโต้กลับมา“ใครต้องการความเห็นจากเจ้ากัน เล้งลั่ว ที่นี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้า เจ้ายอมรับผลที่จะตามมาได้รึเปล่าถ้าหากเจ้าไปรบกวนท่านปรมาจารย์น่ะ?”
หลิวเก้อขมวดคิ้วก่อนที่จะพึมพำออกมา“เล้งลั่ว ชายผู้ที่เคยมีชื่ออยู่ในบัญชีดำเมื่อ 300 ปีก่อนอย่างงั้นสินะ?”
ชู่เฉิงรีบตอบ“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท ชายคนนั้นก็คือเล้งลั่วในอดีต”
ภายในห้องโถงใหญ่ยังคงเต็มไปด้วยเสียงทะเลาะวิวาท
“ฝานลี่เทียนนี่ไม่ใช่สำนักแห่งความบริสุทธิ์ของเจ้าเช่นกัน เจ้าลืมไปแล้วหรอว่าตัวเองเป็นใคร ข้าจะไม่เห็นแก่หน้าใครนอกเหนือไปจากท่านปรมาจารย์หรอก”
หลิวเก้อขมวดคิ้วอีกครั้ง“ยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ฝานลี่เทียนอย่างงั้นเหรอ”
ชู่เฉิงได้ตอบออกมาอีกครั้ง“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท เป็นเขาเอง”
“…”แม้ว่าภายนอกจะดูสงบเสงี่ยม แต่ภายในของหลิวเก้อกำลังตกตะลึงอยู่ ใครจะไปคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะมีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จีเทียนเด๋าจะต้องใช้วิธีแบบไหนถึงจะทำให้ทุกคนยอมรับใช้ได้
การทะเลาะวิวาทยังคงไม่สิ้นสุดในตอนนั้นเองมีเสียงใครอีกคนเข้าร่วมการวิวาท…
“พวกท่านหยุดก่อนเถอะได้โปรดเห็นแก่ข้า ฮั๊ววู่เด๋าสักนิด…”
เล้งลั่วรีบตอบกลับ“ผู้อาวุโสฝาน เจ้าควรจะเรียนรู้จากเขา…ฮั๊ววู่เด๋าเองก็เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังอ่อนน้อมถ่อมตน”
“ข้าก็เป็นแบบนี้ข้าจะทำตามสิ่งที่ข้าต้องการเสมอ”
ในขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสามกำลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่หลิวเก้อและทุกคนที่อยู่ต่างก็ไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขา ทั้งสามพูดคุยกันก่อนที่จะแยกทางกันไป
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน‘เยี่ยมจริงๆ ’ ตัวเขาหันกลับไปมองหลิวเก้อ ตามที่คาดไว้ หลิวเก้อกำลังขมวดคิ้วอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะตกตะลึง ‘ที่นี่มียอดฝีมืออยู่ทั่วไปไม่ต่างกับก้อนเมฆที่มีอยู่บนท้องฟ้า พวกเจ้ากลัวศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้วรึยังล่ะ’
ซูยู่ชูได้พูดขึ้น“เห็นทีข้าคงจะต้องไปศึกษาเขตแดนพลังต่อแล้วล่ะ ขออภัยด้วยที่ข้าไม่ได้อยู่ต้อนรับทุกคน” ซูยู่ชูไม่รอคำตอบจากใคร นางหันหลังกลับก่อนที่จะจากไปในทันที
ไม่ว่าจะเป็นหลิวเก้ออดีตจักรพรรดิหย่งโชวผู้ยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นชู่เฉิงและกู่ยี่หราน แม่ทัพใหญ่ทั้งแปดก็ตาม ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งสี่ของศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่มีใครสนใจอะไรพวกเขาทั้งสิ้น
นี่คือสิ่งที่หมิงซี่หยินเล็งเอาไว้แล้ว
หมิงซี่หยินกระแอมในลำคอก่อนที่จะพูดขึ้น“ข้าต้องขอโทษด้วย นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสทั้งสี่เป็น เป็นธรรมดาที่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจะรู้สึกเบื่อหน่าย สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือการหาคู่ต่อสู้ที่คู่ควร แน่นอนว่าการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบมันอันตรายจนเกินไป และเพราะแบบนั้นพวกเขาจึงมารวมตัวกันเพื่อถกเถียงกันแทน การต่อสู้ด้วยวาจาแตกต่างจากการต่อสู้ด้วยร่างกายจริงๆ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เหล่าผู้อาวุโสจะทะเลาะกันเองแบบนี้ ข้าต้องขออภัยด้วยที่ให้เห็นภาพที่ไม่ดี ฝ่าบาท”
“ไม่เป็นไร”หลิวเก้อยกมือขึ้นมา “ข้าก็แค่ต้องการมาพบสหายเก่าก็เท่านั้น ข้าไม่ใส่ใจคนอื่นๆ หรอก”
“ข้ารู้สึกดีใจจริงๆที่ได้ยินเช่นนั้น เชิญทางนี้”
…
ผู้อาวุโสทั้งสี่ได้กลับมายังศาลาทางใต้
พวกเขาต่างก็มองไปยังทิศที่ห้องโถงใหญ่ตั้งอยู่
“ข้าสงสัยจริงๆว่าจะไม่มีใครรับมือกับหลิวเก้อได้” ฝานลี่เทียนเป็นคนแรกที่เริ่มพูด
“ยังไงซะนี่ก็คือทางเลือกเดียวของพวกเราในตอนนี้พวกเราได้ตัดดอกบัวทองคำของตัวเองแล้ว…ถ้าหากพวกเราปรากฏตัวให้กับหลิวเก้อได้เห็นนานจนเกินไป เขาจะต้องรู้แน่ว่าพวกเราไม่ได้มีพลังที่ลึกล้ำเหมือนกับแต่ก่อน” เล้งลั่วพูดต่อ
ฮั๊ววู่เด๋าส่ายหัว“ข้าเป็นเพียงผู้มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบเท่านั้น ข้าเกรงว่าถ้าหากข้าแสร้งทำเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบต่อไป หลิวเก้อจะต้องจับได้แน่”
“ถ้าหากพวกเราปกปิดพลังให้ดีและไม่เคลื่อนไหวอะไรก็คงจะไม่มีใครแยกแยะความแตกต่างได้แน่” ฝานลี่เทียนพูดออกมาอย่างมั่นใจ
ซูยู่ชูถอนหายใจก่อนที่จะส่ายหัว“บางทีการรับมือกับหลิวเก้ออาจจะง่ายกว่าที่คิดก็ได้ ในตอนนี้สำนักอเวจีได้บุกยึกมณฑลทั้งเก้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในตอนนี้แม่ทัพสองคนจากแม่ทัพใหญ่ทั้งแปดชู่เฉิงและกู่ยี่หรานก็อยู่ด้วย ข้าคิดว่าการจะรับมือกับทั้งสองคนนั้นคงยากกว่า”
ชายชราทั้งสามพยักหน้าเห็นด้วย
ฝานลี่เทียนพูดต่อ“ไม่ต้องกลัวไป ยังไงซะท่านปรมาจารย์ยังคงอยู่ที่นี่ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครกล้าอาละวาดที่นี่แน่”
…
ภายในห้องโถงใหญ่
หมิงซี่หยินเชื้อชวนทุกคน“ในตอนนี้อาจารย์ของข้ากำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ ถ้าหากยังข้าจะเป็นคนต้อนรับทุกท่านเอง”
หลิวเก้อไม่ได้รีบร้อนที่จะนั่งตัวเขามองไปรอบตัวแทน หลิวเก้อมองเสาทั้งสองต้น พื้น รวมไปถึงทุกอย่างที่อยู่ในห้องโถงใหญ่แห่งนี้
เป็นเพราะหลิวเก้อยังไม่ได้นั่งลงชู่เฉิงและกู่ยี่หรานเองก็ไม่กล้าเช่นกัน ทั้งสองคนทำได้แค่เดินตามหลิวเก้อ
หลังจากที่ได้เฝ้ามองทุกอย่างแล้วหลิวเก้อก็เดินกลับมาก่อนจะนั่งลงตัวเขาที่นั่งลงได้ถามออกมา “ผู้อาวุโสทั้งสี่คนนั้นเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอย่างงั้นเหรอ”