หมิงซี่หยินตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล“ถูกต้องแน่นอน” ตัวเขาชะงักไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เล้งลั่วเป็นผู้ที่เคยมีชื่ออยู่บนอันดับสูงสุดของบัญชีดำเมื่อ 300 ปีก่อน ท่านน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าข้านะฝ่าบาท ส่วนซูยู่ชูและฝานลี่เทียนเองก็เช่นกัน ข้าไม่คิดว่าต้องแนะนำชื่อเสียงของพวกเขาทั้งคู่ให้กับท่าน และคนสุดท้ายฮั๊ววู่เด๋า เขาคนนี้เคยเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักหยุนมาก่อน ฮั๊ววู่เด๋าได้ออกจากสำนักมาก็เพราะสำนักหยุนตกอยู่ในความวุ่นวาย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้…”
“ข้าได้ยินมาว่าหยุนเทียนลั่วไม่ใช่ชายผู้มีนิสัยเลวร้ายนิแล้วทำไมเขาถึงได้ปล่อยฮั๊ววู่เด๋าให้จากไปได้ นอกจากนี้การที่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจะไปไหน เขาคนนั้นก็จะต้องกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติอยู่แล้ว” หลิวเก้อเริ่มสงสัย
‘จิ้งจอกเฒ่าคนนี้ไม่ได้ใจง่ายอย่างที่คิดสินะ’ในระหว่างที่คิดแบบนั้นหมิงซี่หยินยังคงรักษาสีหน้าเอาไว้ดังเดิมได้ “อย่าไปสนใจเรื่องยิบๆ ย่อยๆ เลย ท่านเป็นถึงราชาแห่งดินแดน ฝ่าบาท ท่านจะต้องหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้อยู่แล้วล่ะ”
หลิวเก้อพยักหน้าตัวเขามองไปที่หมิงซี่หยินก่อนจะตอบกลับมา “ข้าน่ะเคยเป็นราชา แต่ในตอนนี้…ที่นี่ข้าอยู่ในฐานะสหายเก่าที่ต้องการจะมาทักทายอาจารย์ของเจ้าเท่านั้น”
“ข้าบอกท่านแล้วอาจารย์ของข้าเก็บตัวฝึกฝนอยู่ ท่านอาจารย์คงจะใช้เวลาฝึกฝนตัวเองไปอีก 2 เดือน แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าไปรบกวนเขาได้”
ในตอนนั้นเองชู่เฉิงก็พูดขึ้น“ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสจีฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้เมื่อนานมาแล้ว แล้วทำไมเขาถึงต้องเก็บตัวฝึกฝนอย่างเคร่งครัดด้วยล่ะ พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเป็นพลังที่ไม่ต่างจากพลังอันคงกระพัน แล้วทำไมคนที่มีพลังสูงส่งถึงขั้นนั้นถึงต้องเก็บตัวฝึกฝนด้วย?”
หมิงซี่หยินหันมากลอกตาใส่“เส้นทางของการฝึกยุทธน่ะมันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ท่านอาจารย์ข้าฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านอาจารย์จะต้องทำความคุ้นชินกับพลังแบบนี้ ว่าแต่เจ้าเป็นใครกัน”
“ข้าชู่เฉิงแม่ทัพใหญ่ผู้รักษาการณ์ประตูทางตะวันตกเฉียงเหนือ” ชู่เฉิงแนะนำตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
“อืม…ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเจ้ามาก่อนเลยนะ”
“…”
‘ทำไมเจ้านี่ถึงทำเหมือนกับว่ารู้จักข้าแต่บอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อข้ากัน’ ชู่เฉิงพูดไม่ออกชั่วขณะ จากนั้นตัวเขาก็ได้ถามออกมา “แล้วทำไมผู้อาวุโสซูถึงอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยล่ะ?”
หมิงซี่หยินไม่ได้ตอบคำถามชู่เฉิงโดยตรงตัวเขาสัมผัสได้ว่าซูยู่ชูอาจจะทำให้แผนการของตัวเขาล้มเหลวได้ และยิ่งคิดถึงตอนที่พบกับซูยู่ชูในครั้งแรก ในตอนนั้นภาพความกลัวก็ปรากฏชัดเจน ถ้าหากหมิงซี่หยินไม่ยอมเอ่ยถึงอาจารย์ ซูยู่ชูก็คงจะฆ่าเขาไปแล้ว ท้ายที่สุดหมิงซี่หยินก็สลัดความคิดเหล่านั้นไป “ผู้อาวุโสซูชื่นชมอาจารย์ของข้ามานานแล้ว…ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะต้องคาดการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหลังจากนั้น”
หลิวเก้อพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดขึ้น“ตอนที่ข้ารู้จักพี่จีในตอนแรก มีหลายคนพยายามประจบประแจงเขาอย่างสวยหรู มีเพียงผู้ที่ถูกยอมรับเท่านั้นถึงจะยืนหยัดต่อไปได้”
“…”หมิงซี่หยินพูดไม่ออก ทำไมชายชราคนนี้ถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้ “เอาล่ะข้าพูดกับท่านมามากพอแล้ว ท่านได้เข้ามาและได้เห็นศาลาปีศาจลอยฟ้ากับตาตัวเอง ถึงเวลาที่ท่านต้องจากไปแล้ว”
หลิวเก้อค่อยๆลุกขึ้นยืน “เนื่องจากพี่จีไม่สามารถพบข้าได้ ข้าก็จะรอเขา ข้ามั่นใจว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าอันกว้างใหญ่จะต้องมีที่ให้ข้าได้อยู่คอยเขาแน่”
“ท่านจะอยู่ต่ออย่างงั้นเหรอ”หมิงซี่หยินตกใจ
“ไม่ต้องห่วงข้าจะไม่รบกวนพี่จีในช่วงสามเดือนนี้” หลิวเก้อตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“…”
เรื่องต่างๆเริ่มซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผู้มาเยือนทั้งสามคนนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในระหว่างที่คนนอกทั้งสามคนยังอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้เตรียมตัวมาก่อน
ถ้าหากความขัดแย้งเกิดขึ้นในตอนนี้ความจริงที่ผู้อาวุโสทั้งสี่ตัดดอกบัวทองคำออกไปจะต้องถูกเปิดเผยขึ้นมาแน่ ถ้าหากทั้งสามคนยังอยู่ต่อ พวกเขาจะต้องนำพาความยุ่งยากและความวุ่นวายมาสู่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นชู่เฉิงได้พูดต่อ“ผู้อาวุโสทั้งสี่ของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยับยั้งพลังในก่อนหน้านี้ ดังนั้นข้าก็เลยสัมผัสพลังที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้ ข้าสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงต้องสะกดพลังในขณะที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่มีคนนอกด้วย”
หมิงซี่หยินตกตะลึงในคำพูดของชู่เฉิงเป็นไปตามคาด แผนการของเขาไม่สามารถหลอกผู้มีประสบการณ์ได้อย่างง่ายๆ
ชู่เฉิงพูดต่อ“ผู้อาวุโสซูเป็นผู้ฝึกยุทธจากชาวลัทธิจงจื๊อ นอกจากนี้ยังเป็นยอดอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากเมื่อ 500 ปีก่อนอีกสิ่งที่นางเกลียดมากที่สุดก็คือการเก็บความลับ…”
แม้ว่าชู่เฉิงจะไม่ได้เปิดเผยเจตนาจากพูดออกมาแต่หมิงซี่หยินสามารถอนุมานได้ถึงเจตนาของเขาในทันที หมิงซี่หยินได้ตอบกลับไป “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศาลาปีศาจลอยฟ้าซะแล้ว”
คำพูดของหมิงซี่หยินทำให้ชู่เฉิงประหลาดใจเล็กน้อย
มันเป็นความจริงที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนึ้ไม่เหมือนกับที่ไหนๆ ชู่เฉิงไม่ควรจะใช้ตรรกะทั่วไปกับที่แห่งนี้
เมื่อชู่เฉิงได้สติตัวเขาก็คารวะก่อนจะพูดออกมา “ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริง…ข้าก็อยากจะขอประลองกับผู้อาวุโสซู”
“…”เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน! จิตใจของหมิงซี่หยินเริ่มหวั่นไหวในทันที ผู้อาวุโสทั้งสี่ได้ตัดดอกบัวทองคำก่อนที่จะฝึกฝนตัวเองใหม่ ถ้าหากพวกเขาประลองกับชู่เฉิงในตอนนี้ พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้แน่ แต่ถ้าหากผู้อาวุโสไม่ยอมรับคำท้าของชู่เฉิง ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็คงจะดูไม่ดีแน่นอน น่าปวดหัวซะจริง!
ในขณะที่หมิงซี่หยินกำลังครุ่นคิดเรื่องนั้นอยู่ชู่เฉิงก็ได้พูดต่อ “ข้าก็แค่อยากจะได้บทเรียนเท่านั้น ไม่ได้มีแรงจูงใจอะไรแอบแฝง เนื่องจากที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามียอดฝีมือมากมายราวกับหมู่เมฆ…ข้าแน่ใจว่าพวกเขาจะต้องไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนผู้ที่ด้อยประสบการณ์อย่างข้าแน่”
ชู่เฉิงก้าวต่อไปอย่างไม่ลังเลบางทีความลังเลที่หมิงซี่หยินมีทำให้ตัวเขาและกู่ยี่หรานเชื่อว่าศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังปิดบังอะไรบางอย่างไว้ ทั้งคู่พยายามที่จะค้นหาความจริงอันนั้นโดยอ้างถึงการประลองและการเรียนรู้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะไม่ทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าต้องขุ่นเคือง
‘เจ้าพวกจิ้งจอกเฒ่า!’
หลิวเก้อที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับสิ่งที่ชู่เฉิงทำ
ในที่สุดหมิงซี่หยินก็ได้ตอบกลับมา“ไม่จำเป็นจะต้องประลองเพื่อบทเรียน…ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ใช่สนามการเรียนรู้ของพวกเจ้า”
ในขณะนั้นเองเสียงดนตรีอันสง่างามก็ได้ลอยเข้ามาเสียงดนตรีจากขลุ่ยสดชื่นราวกับสายลมในยามฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านใบหน้าของทุกคนไป…แม้ว่ามันจะไม่ดังมากแต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน
หลิวเก้อรู้สึกตะลึงกับเสียงที่ได้ยินตัวเขามองออกไปที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่ก่อนที่จะถามออกมา “มีคนที่มีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยเหรอ”
หมิงซี่หยินตอบกลับไป“ถูกต้องแล้ว”..
ทันทีที่หมิงซี่หยินพูดจบดาบพลังงานขนาดเล็กก็ได้พุ่งเข้ามา มันบินไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมาย แม้ว่าดาบพลังงานจะไม่ได้ทรงพลัง แต่มันก็เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
กู่ยี่หรานอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ควบคุมดาบพลังงานด้วยเสียงอย่างงั้นเหรอ ใครกันที่อยู่นอกห้องโถงใหญ่?”
หมิงซี่หยินที่ฟังแบบนั้นได้คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ตัวเขาที่เริ่มคิดอะไรออกจึงเริ่มพูดออกมา “นางก็แค่ควบคุมพลังลมปราณด้วยเสียงได้ ไม่มีอะไรที่น่าพูดถึง”
ชู่เฉิงและกู่ยี่หรานต่างก็อึดอัดใจเมื่อได้ฟังคำพูดของหมิงซี่หยินจากที่แม่ทัพทั้งสองคิด นี่ถือเป็นความสามารถที่น่าทึ่งมาก ในฐานะที่เป็นผู้มีประสบการณ์ในการออกรบ พวกเขารู้ดีว่าความสามารถแบบใดที่จะใช้ชิงความได้เปรียบได้สงครามได้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาแห่งการรักษาของชาวพุทธ วิชากระจกแห่งแสง หรือจะเป็นการใช้คลื่นเสียงจู่โจมอย่างพระสูตรแห่งพราหมณ์ วิชาจำเพาะทั้งหลายต่างก็เป็นอาวุธอันทรงพลังถ้าหากถูกใช้ในสงคราม เขตแดนพลังขงจื๊อเองก็เช่นกัน ถ้าหากพลังถูกใช้ถูกที่ถูกเวลา พลังของเขตแดนอาจจะสามารถทำให้กองทัพทั้งกองทัพอยู่ยงคงกระพันได้
ในตอนนั้นเองมีดาบพลังงานพุ่งเข้าหาชู่เฉิง
พรึ๊บ!
สีหน้าของชู่เฉิงเปลี่ยนไป“ลอบโจมตี!” ชู่เฉิงสะบัดนิ้วทั้งสอง เครื่องรางทั้งสองชิ้นได้พุ่งเข้าหาดาบพลังงาน เครื่องรางทั้งหมดเปล่งแสงออก มันได้คลุมดาบพลังงานไว้ก่อนที่จะดูดซับพลังจากดาบพลังงาน
ในเวลาเดียวกันเสียงดนตรีที่เคยดังก็ได้จางหายไป
ที่นอกห้องโถงเสียงของขลุ่ยได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าผู้เป่าขลุ่ยจะดูไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้นี้ เมื่อการต่อสู้ครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้น จังหวะและท่วงทำนองของเสียงดนตรีก็เร็วมากยิ่งขึ้น
ชู่เฉิงที่ฟังแบบนั้นหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา“น่าสนใจ!” ชู่เฉิงโบกสะบัดฝ่ามือ ในตอนนั้นเองตัวอักษรหลากหลายขนาดก็ได้ลอยขึ้นไปบนอากาศ มันได้ชนกันก่อนที่เสียงดังอึกทึกจะดังขึ้น
เสียงดังอึกทึกและเสียงเพลงของขลุ่ยปะปนกัน
ครู่ต่อมาเสียงของขลุ่ยก็ได้เงียบไปหลังจากนั้นเสียงของขลุ่ยที่ดังอีกครั้งมันดังสูงขึ้น ถ้าก่อนหน้านี้เป็นเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลริน ตอนนี้มันก็คงจะเปลี่ยนจนกลายเป็นคลื่นยักษ์แล้ว
ชู่เฉิงดูยินดี“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเหล่าสาวกทั้งเก้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะมีผู้ใช้เสียงในการต่อสู้ โชคดีจริงๆ ที่ข้ามาเห็นกับตาตัวเองแบบนี้ แม้ว่าข้าจะเป็นคนหยาบคาย แต่ข้าก็ชื่นชอบดนตรีมาก ข้าคิดว่าวันนี้ข้าได้พบกับการต่อสู้ที่เหมาะสมกับข้าแล้ว เอาล่ะอีกครั้ง…” ชู่เฉิงลุกขึ้นยืน พลังฝ่ามือของเขาขยับเร็วกว่าแต่ก่อน ชู่เฉิงได้สร้างพลังฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
หากการประลองในก่อนหน้านี้เป็นการประลองสบายๆในตอนนี้มันก็คงจะกลายเป็นการประลองที่จริงจังไปแล้ว
พลังลมปราณเริ่มเพิ่มสูงขึ้นพลังตัวอักษรของพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เองก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
ชู่เฉิงกำลังเอาจริงในการประลองครั้งนี้!
เมื่อเห็นแบบนั้นหมิงซี่หยินก็รู้สึกใจคอไม่ดีมากขึ้นตัวเขารู้ดีว่าใครคือผู้ที่เป่าขลุ่ยอยู่ด้านนอก สาวน้อยที่เพิ่งจะฝึกฝนวรยุทธจะไปสู้กับชู่เฉิง หนึ่งในแม่ทัพใหญ่ทั้งแปดของราชสำนักได้ยังไงกัน!
ก๊อง!ก๊อง! ก๊อง!
พลังอักษรที่ชนกันมันฟังดูคล้ายกับเสียงระฆังที่ถูกตี
ในขณะที่เสียงของขลุ่ยจางหายไปคลื่นเสียงของพลังอักษรที่ชนกันก็เริ่มไหลไปที่ด้านนอกมากยิ่งขึ้น
หมิงซี่หยินรีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะหยุดพลังคลื่นเสียงเอาไว้
ซู่วว!
พลังคลื่นเสียงของชู่เฉิงถูกสะท้อนกลับมา
ที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบขวางปรากฏตัวขึ้น เป็นเพราะพลังอวตารที่เห็นทำให้พลังคลื่นเสียงของชู่เฉิงถูกสะท้อนกลับมาได้
เสียงจากทั้งสองฝ่ายเงียบดับลงในชั่วพริบตา
หมิงซี่หยินต้องยื่นมือช่วยถ้าไม่อย่างงั้นศิษย์น้องเล็กของเขาก็คงจะต้องรับบาดเจ็บจากคลื่นเสียงแน่
ชู่เฉิงขมวดคิ้ว“ทำไมท่านถึงต้องยื่นมือเข้ามาล่ะ”
“ที่นี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้ามันไม่ใช่ที่ที่เจ้าทำอะไรก็ได้หรอกนะ”
“เขาคนนั้นเป็นผู้ท้าทายข้าก่อนแต่ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้โต้กลับ” ชู่เฉิงไม่เข้าใจตรรกะแบบนี้ได้เลย
หมิงซี่หยินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้“ข้าบอกเจ้าแล้ว…ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะอยู่”
ชู่เฉิงตอบกลับ“เมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้น มันก็ต้องสิ้นสุดลง” เมื่อพูดจบชู่เฉิงก็เริ่มใช้ฝ่ามืออีกครั้ง พลังตัวอักษรที่ออกมาจากฝ่ามือได้พุ่งออกมาก่อนที่จะจัดเรียงกันจนกลายเป็นวงกลมแห่งแสง วงกลมแห่งแสงส่งเสียงสะท้อนไปในอากาศ เสียงที่สะท้อนออกมามันคล้ายกับบทสวดของชาวพุทธ
หมิงซี่หยินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในตอนนั้นเองเสียงที่ดังกึกก้องและฟังดูเกรี้ยวกราดก็ได้ดังออกมาจากด้านหลังห้องโถงใหญ่มีพลังคลื่นเสียงแผ่ออกมา พลังคลื่นเสียงนี้ได้แผ่ออกมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือน “สามหาว!”