บทที่ 553 การตระหนักรู้อย่างฉับพลัน
บทที่ 553 การตระหนักรู้อย่างฉับพลัน
ทั้งสองคนรอสักครู่ เมื่อเห็นว่าไม่มีกลไกที่ซ่อนเร้นใด ๆ อีก พวกเขาจึงรีบไปที่กล่อง
ตัวกล่องบุด้วยชั้นวัสดุที่อ่อนนุ่ม ตรงกลางของกล่องวางสิ่งของ ห่อด้วยผ้าราคาแพงและมัดด้วยเชือกสีแดง
เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกผิดหวัง จากขนาดของหีบห่อ มันไม่มีทางที่มันจะเป็นแผ่นป้ายที่นางกำลังมองหา
ซูอันปลดเชือกสีแดงออกด้วยความอยากรู้ และค่อย ๆ คลี่ผ้าออก เขาตกตะลึง “สิ่งนี้คืออะไร?”
การแกะผ้าออกเผยให้เห็นวัตถุสีดำซึ่งคล้ายกับไส้เดือนตากแห้ง
เมื่อเขานึกถึงความจริงจังของผู้เฒ่ามี่ในการตามหาของชิ้นนี้ ซูอันนำกล่องมาที่จมูกของเขาและสูดหายใจเข้าเพื่อดมกลิ่น “นี่ใช่โอสถวิเศษหรือเปล่า?”
มีกลิ่นของยาเล็กน้อย แต่มันแปลกมาก ไม่ใช่กลิ่นยาที่เขาคุ้นเคยจากบ้านของจี้เสี่ยวซี
จากความคิดเห็นนี้ เพ่ยเหมียนหมานเริ่มสนใจในทันที นางเดินเข้าไปใกล้เขา “ข้าไม่คิดว่ามันเป็นยา ข้าไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังชี่ แม้แต่น้อย มันดูไม่เหมือนสมบัติอะไรเลย”
“แต่สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง” ซูอันกล่าวอย่างจริงจัง ถ้าไม่สำคัญ ผู้เฒ่ามี่ก็คงไม่หมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา
“เจ้าหามันเจอที่ไหน?” เพ่ยเหมียนหมานถามด้วยความอยากรู้
“มีช่องซ่อนอยู่ใต้เตียงของเขา มันถูกซ่อนไว้อย่างดีขนาดนั้น ดังนั้นมันต้องค่อนข้างสำคัญ” ซูอันกล่าว
“ซ่อนอยู่ใต้เตียงของเขา…” คิ้วของเพ่ยเหมียนหมานขมวดเข้าหากัน จู่ ๆ นางก็เกิดความคิดขึ้น และใบหน้าของนางก็แดงไปหมด นางทำท่าจะโยนกล่องทิ้งไปราวกับว่ามันร้อนจัด
“เฮ้เฮ้! ระวัง!” ซูอันตื่นตระหนกรีบจับมันไว้ เขาอดไม่ได้ที่จะถามนางว่า “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
เพ่ยเหมียนหมานหันกลับมาและสูดอากาศหายใจ ใบหน้าของนางยังคงแดง “สิ่งนี้คือสิ่งที่พวกเขาถือว่าเป็นสมบัติ!”
เขาไม่ค่อยเห็นนางเขินอายเช่นนี้สักเท่าไหร่ตั้งแต่รู้จักกันมา ซึ่งทำให้ความอยากรู้ของเขายิ่งมากขึ้นไปอีก “เจ้ารู้เหรอว่ามันคืออะไร?”
เขานำมันเข้ามาใกล้ดวงตามากขึ้นในขณะที่พูด
เพ่ยเหมียนหมานตกใจเมื่อเห็นซูอันนำมันมาสูดกลิ่นอีกครั้ง นางไม่สามารถกลั้นตัวเองได้อีกต่อไปแล้วพูดว่า “เดี๋ยว! หยุด! นั่น…มันเป็นของขันที…ที่มาของความทุกข์ของขันที…”
“ที่มาของความทุกข์?” ดูเหมือนว่าซูอันจะไม่เข้าใจนางในตอนแรก เขากำลังจะถามต่อ แต่การตระหนักรู้ได้เกิดขึ้นกับชายหนุ่มอย่างฉับพลัน และรีบโยนกล่องทิ้งไปราวกับว่ามันกำลังไหม้นิ้วของตัวเองอยู่ “บัดซบเอ๊ย!!!! ให้ตายเถอะ!!!!”
เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนในขณะที่นึกถึงตอนที่เขาพลิกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนฝ่ามืออย่างสนุกสนาน แถมเขายังสูดดมกลิ่นของมันไปเต็มปอด เขาวิ่งไปที่พุ่มไม้และอาเจียน
พฤติกรรมของเขาทำให้อารมณ์ของเพ่ยเหมียนหมานดีขึ้นอย่างมาก นางยังตบหลังเขาเบา ๆ
ซูอันเกือบจะพูดไม่ออก “เจ้าช่วยบอกข้าให้เร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง!?”
“ข้าก็เพิ่งรู้เหมือนกัน!” เพ่ยเหมียนหมานหน้าแดง “อีกอย่าง เจ้าเป็นผู้ชายนะ เจ้าควรจะรู้จักมันก่อนข้าด้วยซ้ำ!”
ใบหน้าของซูอันมืดลง “ข้ารู้จักแต่มังกรทะยาน! ทำไมข้าจะต้องจำไส้เดือนที่แห้งเหี่ยวนี้ได้!?”
เขารู้สึกคลื่นไส้มากขึ้นเรื่อย ๆ
เพ่ยเหมียนหมานหัวเราะลั่น “อาจเป็นเพราะว่าขันทีบางคนถูกตอนตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาพยายามคงสภาพมันด้วยยาและสมุนไพรนานาชนิดเพื่อป้องกันไม่ให้เน่าเปื่อย หลังจากที่แห้งแล้ว ข้าเชื่อว่ามีเพียง…เท่านั้นที่เหลืออยู่”
ซูอันพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าโลกที่ตัวเองอยู่ตอนนี้มีพวกขันทีดำรงอยู่ แต่พวกขันทีก็ยังเป็นตัวตนที่ชายหนุ่มไม่ได้เข้าใจอะไรมากนักอยู่ดี เขาจะไปรู้ได้ยังไง?
เพ่ยเหมียนหมานจู่ ๆ ก็วิตกกังวล “ขันทีมักจะใส่ใจมาก…เกี่ยวกับสมบัตินี้ เมื่อพวกเขาถูกฝัง สิ่งนี้จะต้องถูกฝังร่วมกับพวกเขาด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าร่างกายของพวกเขาจะสมบูรณ์ได้ในชีวิตหน้า สิ่งนี้มักจะได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีภายในวังและไม่มีใครสามารถนำออกมาได้ ขันทีเว่ยต้องมีสถานะพิเศษมากในวัง จักรพรรดิน่าจะแสดงความโปรดปรานแก่เขาและอนุญาตให้เขาเก็บสิ่งนี้ไว้เอง”
“นี่หมายความว่าเจ้าได้ขโมยสมบัติล้ำค่าของเขามา เมื่อเขารู้แล้ว เขาจะไม่ยอมให้เรื่องนี้สงบจนกว่าเจ้าจะตาย เราควรจะหาโอกาสที่จะคืนมันไป”
สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับคนอื่นโดยสิ้นเชิง แต่มันเป็นสัญลักษณ์ของความเจ็บปวดสำหรับขันทีทุกคน สำคัญเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาคลุ้มคลั่ง!
ความเสี่ยงในการเก็บรักษามันเอาไว้ไม่คุ้มกับประโยชน์ที่จะได้รับอย่างแน่นอน…
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าได้ทำบางอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่รู้ตัวเอาไว้แล้ว”
ซูอันมีสีหน้าแปลก ๆ หลังจากรู้ข้อมูลทั้งหมด ความเข้าใจอย่างกะทันหันก็พุ่งเข้ามาในหัวเขา หลายสิ่งหลายอย่างที่เกินความเข้าใจก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลมากขึ้นในทันที
ถ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ของเว่ยต้าน อาจเป็นของผู้เฒ่ามี่!
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เฒ่ามี่มักจะมีกลิ่นแปลก ๆ เช่นกัน แม้ว่ามันจะจางกว่าเล็กน้อย แต่เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากผู้ชรามักจะมีกลิ่นติดตัวอยู่แล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว กลิ่นของผู้เฒ่ามี่ก็คล้ายกับกลิ่นในห้องของเว่ยต้านมาก!
ผู้เฒ่ามี่อาจขอให้ซูอันเข้าหาตระกูลเว่ย เพราะต้องการให้เขารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเว่ยต้าน
เว่ยต้านน่าจะเพิ่งมาถึงเมืองจันทร์กระจ่าง และผู้เฒ่ามี่อาจเป็นเป้าหมายของอีกฝ่าย
ซูอันสันนิษฐานว่าผู้เฒ่ามี่หนีจากวังหลวงมาเพราะบางสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เขาใช้ชีวิตแบบไม่ระบุตัวตนในฐานะคนทำสวนในตระกูลฉู่ เพื่อหลบซ่อนจากผู้ที่ไล่ตาม
แม้จะซ่อนตัวอยู่หลายปี ราชสำนักก็ยังคงสามารถหาเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับที่อยู่ของเขาได้ นั่นคือเหตุผลที่เว่ยต้านมาที่เมืองจันทร์กระจ่าง
อย่างไรก็ตาม เว่ยต้านก็ไม่รู้แน่ชัดว่าผู้เฒ่ามี่อยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะตามไปที่ตระกูลฉู่แล้ว…
ซูอันรู้ทันทีว่าทำไมการแสดงออกของเว่ยต้านถึงดูแปลกเล็กน้อยตอนที่พวกเขาพบกันก่อนหน้านี้ เขาใช้วิชาร่างก้าวทานตะวันต่อหน้าทุกคนในงานประลองระหว่างตระกูล ซึ่งอาจมีคนรู้จักมันและแจ้งต่อเว่ยต้าน
เบ้าตาดำ ๆ ม่วง ๆ ของเหล่าอาจารย์ในสถาบันจันทร์กระจ่างเมื่อเร็ว ๆ นี้น่าจะเป็นฝีมือของเว่ยต้าน
ตอนนี้การสืบสวนของเว่ยต้านในสถาบันจันทร์กระจ่างน่าจะสิ้นสุดลง และตระกูลฉู่น่าจะเป็นเป้าหมายต่อไป
ซูอันรู้สึกเสียใจที่เป็นคนเปิดเผยร่องรอยของผู้เฒ่ามี่ หลังจากที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาตลอดชีวิต
ปฏิกิริยาแรกของซูอันคือการตามหาผู้เฒ่ามี่ และเตือนให้ระมัดระวังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็มีข้อสงสัยอยู่ตลอดมาว่าชายชราคนนั้นเป็นมิตรหรือศัตรู ซึ่งทำให้เขาหยุดตัวเองเอาไว้ก่อน
ช่างมันก่อน ข้าจะรอจนกว่าทุกอย่างจะกระจ่างชัดกว่านี้ จากนั้นจึงค่อยดำเนินการตามนั้น
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?” เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกกังวลเล็กน้อยกับการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าซูอัน
“ไม่ได้เป็นอะไร” ซูอันฝืนยิ้ม “น่าเสียดายที่เราไม่พบแผ่นป้ายของเจ้า”
เพ่ยเหมียนหมานถอนหายใจ “ข้าไม่ได้หวังอะไรมากนักหรอก บางทีเขาอาจจะเก็บมันไว้กับตัวก็ได้”
ซูอันรู้สึกตกใจ “อย่าทำอะไรเสี่ยงเกินไปล่ะ ถ้าเขาเก็บมันไว้กับตัวไม่มีทางที่เจ้าจะแย่งมันมาได้”