บทที่ 416 ลอบสังหาร (1)
หลังจากออกจากโรงหมอ กู้เจียวนั่งรถม้าของเสี่ยวซานจื่อไปยังเรือนของหลิ่วอีเซิง
เรือนของหลิ่วอีเซิงยังคงทรุดโทรมเหมือนดั่งเคย เพียงแต่ไม่เห็นหลิ่วอีเซิงนั่งถักพู่อยู่กลางลานบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว
มีเพียงเด็กหนุ่มที่ชื่ออาหนูกับหญิงชราคนหนึ่งทำงานอยู่ที่หน้าลานบ้าน คนหนึ่งสานตะกร้า คนหนึ่งถักพู่
ทั้งสองจำกู้เจียวได้
กู้เจียวเอ่ย “ข้ามาหาหลิ่วอีเซิง เขาอยู่หรือไม่”
หญิงชราหูหนวก ได้ยินไม่ชัดนัก ส่วนอานู๋นั้นชี้ไปที่ห้องหนึ่งภายในเรือน
“ขอบใจนัก” กู้เจียวเอ่ยขอบคุณ พลางเดินเข้าไปในโถงของเรือนก่อนจะเลี้ยวเดินไปทางห้องเล็กที่อาหนูชี้เมื่อครู่
นั่นเป็นห้องหนังสือ ทั้งยังเป็นห้องนอนของหลิ่วอีเซิงด้วย ขนาดพอๆ กับห้องฝั่งตะวันตกของเสี่ยวจิ้งคงกับเซียวลิ่วหลัง โครงสร้างห้องนั้นเก่าโทรม ตู้ตั่งก็สีหลุดร่อน แม้แต่ขาโต๊ะก็ยังไม่สมประกอบจนต้องหาก้อนหินมารองไว้
แถมยังมีเครื่องเรือนผุพังยิ่งเสียกว่าของที่เก็บมาจากริมทาง คงเป็นเพราะถูกทำลายยามมีคนบุกเข้ามา เอาเป็นว่าเละเทะไม่มีชิ้นดี
หลิ่วอีเซิงสวมชุดผ้าดิบเนื้อหยาบ นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสืออ่านตำราอย่างจดจ่อ
กู้เจียวจำได้ว่านั่นคือหนังสือที่นางมอบให้เขาเป็นการตอบแทนเมื่อคราวก่อน
เขาเริ่มอ่านหนังสือแล้วจริงๆ สินะ
กู้เจียวไม่รบกวนเขา สองแขนกอดอกพิงกรอบประตู
หลิ่วอีเซิงกำลังดำดิ่งไปกับหนังสือ ไม่ได้รับรู้การมาถึงของกู้เจียว แต่เพราะหญิงชราที่อยู่ด้านนอกเผลอทำเก้าอี้คว่ำจนเกิดเสียงโครมคราม เขาถึงได้สะดุ้งตกใจเงยหน้าขึ้นมา
หลังจากนั้นเขาก็เห็นกู้เจียวที่ยืนพิงประตูกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างเงียบเชียบ
ปกติแล้ว หากมองใครคนหนึ่งแล้วถูกอีกฝ่ายจับได้ก็ต้องกระอักกระอ่วนจนเบนสายตาหนีไปทางอื่นเป็นธรรมดา
แต่กู้เจียวกลับไม่ทำเช่นนั้น
นางสงบนิ่งเหลือเกิน ทั้งยังยักคิ้วหลิ่วตาถามอีกฝ่าย “รบกวนเจ้าหรือ”
“เปล่า…ไม่ใช่เจ้า” แววตาของหลิ่วอีเซิงเปลี่ยนไป เปิดม่านข้างตัวพลางมองออกไปข้างนอก พอมั่นใจแล้วว่าหญิงชราไม่ได้เป็นอะไรถึงได้วางใจ
“เจ้ามีอะไรหรือ” เขาปิดหนังสือลง กวาดสายตามองรอบห้องของตัวเองอย่างตระหนก ราวกำลังมองหาว่ามีสิ่งสกปรกใดที่ไม่ควรให้ผู้อื่นเห็นหรือไม่
โชคดีที่ไม่มี
หญิงชรากับอานู๋เพิ่งจะเก็บกวาดไปเมื่อเช้าวันนี้
“เจ้า…” เขาชะงักไป อยากจะเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้เข้ามา แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม เขาจึงลุกยืนขึ้นพลางเอ่ย “ไปนั่งที่ห้องโถงเถิด”
กู้เจียวพยักหน้า
แขกย่อมต้องว่าตามเจ้าบ้านอยู่แล้ว จะนั่งที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
แม้เรือนของหลิ่วอีเซิงจะมีบ่าวถึงสองคน แต่คนหนึ่งก็หลังค่อมหูตาฝ้าฟาง ส่วนอีกคนหนึ่งก็พูดไม่ได้ หลิ่วอีเซิงจึงรับแขกด้วยตัวเองมาโดยตลอด
แน่นอนว่าเรือนของเขาไม่เคยมีแขกอื่น กู้เจียวคือแขกเพียงคนเดียวของที่นี่
ส่วนหยวนถังไม่นับว่าเป็นแขก
“นั่งสิ” หลิ่วอีเซิงชี้ไปที่เก้าอี้พลางเอ่ย
กู้เจียวนั่งลง
เงาร่างสีขาวปรากฏตัวขึ้นก่อนจะกระโดดขึ้นบนตักของกู้เจียว ร่างอ้วนกลมขดตัวเป็นก้อนขนปุกปุย ออดอ้อนให้กู้เจียวเกาอย่างแสนเชื่อง
กู้เจียวใช้นิ้วมือจิ้มไปที่หน้าท้องนุ่มนิ่มของมัน ก่อนเอ่ยเสียงขำขัน “เจ้าจำข้าได้ด้วยหรือ”
เจ้าแมวขาวตัวนี้คือแมวที่เกือบทำให้เซียวลิ่วหลังตกใจทั้งยังเป็นแมวที่เกือบวิ่งชนหนิงอ๋องเฟย แต่โชคดีที่หยวนถังจับตัวกลับมาได้ทันเวลา หยวนถังเห็นว่ากู้เจียวชอบ ส่วนเจ้าแมวขาวก็ชอบกู้เจียวเช่นกัน เพราะอย่างนั้นจึงโกหกว่าเป็นแมวไม่มีเจ้าของ แล้วมอบให้กู้เจียวนำกลับไปเลี้ยงที่เรือน
ทว่ากู้เจียวกลับไม่พาเจ้าแมวกลับบ้าน
แน่นอนว่าหลังจากเรื่องราวจบลง กู้เจียวก็พอเดาออกแล้วว่านั่นคือแมวของหยวนถัง เพราะมันแสดงให้เห็นยามอยู่ต่อหน้าหยวนถังแล้ว
นางนึกว่าหยวนถังจะพาแมวของตัวเองกลับไปแล้วเสียอีก
“เจ้ายังอยู่ที่นี่หรือนี่” กู้เจียวมุมปากโค้งขึ้น เกาพุงให้เจ้าแมวจนสบายตัวเหลือเกิน
หลิ่วอีเซิงเห็นท่าทางอารมณ์ดีของนางยามเล่นกับเจ้าแมวขาว ก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าชอบเสียขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่พากลับไปเล่า”
สามีของนางกลัวแมวน่ะสิ
ชายผู้นั้น ไม่กลัวฟ้าดิน ไม่กลัวแม้แต่ความตาย แต่ดันกลัวแมว
กู้เจียวไม่ตอบคำถามเขา เพียงแต่เอ่ย “ไม่ต้องหรอก เจ้าเลี้ยงมันได้ดี” นางชะงักไปพลางเหลียวไปมองเขา “เจ้าไม่ชอบแมวหรือ”
หลิ่วอีเซิงหลุบตามองต่ำก่อนตอบ “เปล่า ชอบมาก มันจับหนูได้ด้วยนะ ตั้งแต่มีมันอยู่ที่นี่ ในเรือนก็ไม่มีหนูอีกเลย”
กู้เจียวจิ้มพุงกลมของเจ้าแมว “เจ้าเก่งกาจขนาดนั้นเชียวรึ”
แมวขาวส่งเสียงเหมียวตอบกลับอย่างลำพองใจ
“มีชื่อหรือยัง” จู่ๆ กู้เจียวก็ถามขึ้น
หลิ่วอีเซิงชะงักไปเพราะคำถาม
แค่เลี้ยงแมวสักตัว ถึงกับต้องตั้งใจเชียวหรือ
อันที่จริงกู้เจียวเองก็ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงสัตว์มาก่อน แต่เสี่ยวจิ้งคงเลี้ยงลูกเจี๊ยบตั้งเจ็ดตัวก็ยังตั้งชื่อให้เลย นางจึงทึกทักไปเองว่าเจ้าแมวขาวตัวนี้คงมีชื่อเหมือนกัน
สีหน้าของหลิ่วอีเซิงเริ่มกระอักกระอ่วน
เมื่อครู่ยังบอกว่าชอบแมวอยู่เลย แต่กลับไม่ตั้งแม้แต่ชื่อให้แมวที่บ้านอย่างนั้นหรือ
แววตาของหลิ่วอีเซิงเป็นประกายขึ้นมา “ตั้ง…ตั้งไว้หลายชื่อ แต่ไม่รู้ว่าจะให้ชื่ออะไรดี”
กู้เจียวหันไปมองเขา “ไหนว่ามาสิ”
คนตั้งชื่อไม่ได้เรื่องอย่างหลิ่วอีเซิง “…”
ความคิดพลันแล่นเข้ามาในหัวของหลิ่วอีเซิง เขาเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเจ้าลองตั้งสักชื่อดูไหม ในเมื่อนี่เป็นแมวของเข้า แต่เลี้ยงไว้ที่เรือนข้าเป็นการชั่วคราวเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ได้” กู้เจียวพยักหน้า ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ชื่อเสี่ยวสือก็แล้วกัน”
ในบ้านมีสัตว์นำโชคตั้งเก้าตัวแล้ว เจ้านี่คือตัวที่สิบพอดี
“ได้ เช่นนั้นก็ชื่อเสี่ยวสือ” หลิ่วอีเซิงไม่ทักท้วงแต่อย่างใด
“วันนี้เจ้ามาเยี่ยมเสี่ยวสือเพียงเท่านั้นหรือ” เขาถาม ลุกขึ้นมารินน้ำให้กู้เจียว
“มาเยี่ยมเจ้าด้วย” กู้เจียวเอ่ย
มือที่รินน้ำของหลิ่วอีเซิงสั่นเครือ น้ำหยดลงบนผิวโต๊ะ เขาคว้าผ้ามาเช็ดออกไปไม่ให้เหลือคราบ ก่อนจะวางถ้วยชาที่รินเสร็จเรียบร้อยแล้วลงข้างมือนาง “เจ้านี่โกหกน่าตายจริงๆ”
กู้เจียวปลดตะกร้าบนหลังลงแล้วหยิบหนังสือเล่มหนาออกมา
คราวก่อนให้หนังสือหลิ่วอีเซิงไปสี่เล่ม คราวนี้หยิบตำรามาห้าเล่มกับตำราเลขอีกสองเล่ม
ล้วนแต่เป็นหนังสือที่เขียนคำอธิบาย เหมาะสำหรับเรียนรู้ด้วยตัวเอง
“เจ้า…” หลิ่วอีเซิงอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก
กู้เจียวพอเดาออกว่าเขาจะพูดอะไร “ข้ารู้ เจ้าซื้อไม่ไหวหรอก แต่ข้าไม่ได้ให้เปล่า นี่ล้วนแต่เป็นค่าอาหารของเสี่ยวสือ เสี่ยวสืออ้วนขนาดนี้ ดูก็รู้ว่ากินเก่งเพียงใด”
เจ้าแมวขาวส่งเสียงเหมียวร้องค้าน
หลิ่วอีเซิงเอ่ยเสียงปลงตก “หากแพ้เดิมพันแล้วเจ้าจะเสียใจ”
ได้รับแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์อย่างนั้นหรือ คงเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาในชาตินี้
หลิ่วอีเซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รับหนังสือมาทั้งหมด เพียงแต่เขานั้นแอบจดราคาของตำราเหล่านั้นไว้หมดแล้ว วันหน้าสักวันเขาจะคืนให้แก่นาง
หลิ่วอีเซิงลูบไปตามหน้าปกของหนังสือ “ถือว่าข้ายืมหนังสือพวกนี้จากเจ้าก็แล้วกัน วันหน้าหากข้าเก็บเงินได้แล้วจะคืนให้แก่เจ้า”
“แล้วแต่เจ้า” กู้เจียวไม่สนใจแม้แต่นิดว่าเขาพูดอะไร แค่ตำราไม่กี่เล่ม นางก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง เพียงแต่เพื่อรักษาศักดิ์ศรีให้แก่เขา นางจึงไม่คัดค้าน
กู้เจียวในยามนี้คงยังไม่รู้ว่าวันหนึ่งในหลายปีหลังจากนี้ หลิ่วอีเซิงจะได้ตอบแทนค่าหนังสือตำราพวกนี้ เพียงแต่มิได้ใช้เงินตรา
ตำราหนึ่งเล่มเท่ากับหัวเมืองหนึ่งแห่ง
รวมแล้วทั้งหมดสิบเอ็ดเมือง ตอบแทนนางด้วยแผ่นดินเกือบครึ่งแคว้น
“หากเจ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามข้าได้” กู้เจียวมองหลิ่วอีเซิงพลิกเปิดตำราเลข ก็เอ่ยออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ
“อืม ได้สิ” หลิ่วอีเซิงต้องการความช่วยเหลือจากใจจริง ก่อนจะหอบกระดาษร่างเรียงความปากู่เหวินออกมาจากห้อง
กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “…หรือว่า จะไม่ถามข้าก็ได้”
หลิ่วอีเซิง “…”