บทที่ 531 มื้อเที่ยง

บทที่ 531 มื้อเที่ยง

เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ทำให้ระยะห่างระหว่างหลินซือกับเด็กสาวคนนั้นดูลดลงกว่าทีแรก

เด็กสาวเหล่านี้อายุยังน้อย จึงไม่มีประสบการณ์ในการดำรงอยู่ในโลกนี้มากนัก ครั้นเห็นหลินซือไร้ซึ่งลูกไม้ใดๆ จึงชอบเล่นสนุกกับนางไปโดยปริยาย

ขณะที่เล่นสนุกอยู่นั้น หลินซือก็ได้สัมผัสถึงชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กสาวเหล่านี้ผ่านการพูดคุยกับพวกเขา

แม้ว่าทุกคนจะยังเด็กและอยู่ด้วยกัน แต่ระยะห่างในเรื่องอายุของเด็กสาวเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น หวังจาวตี้ปีนี้นางอายุสิบสามปีแล้ว ส่วนเด็กสาวที่ถูกตีมาเพิ่งมีอายุได้เพียงแปดถึงเก้าปีเท่านั้น…

ครั้นมองดูเวลาก็พบว่าเที่ยงวันแล้ว ผู้ดูแลบ้านได้เดินเข้ามาหาหลินซือ “คุณหนูอยากอยู่กินอาหารกับเราที่นี่หรือไม่เจ้าคะ?”

หลินซือลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจจะนั่งกินอาหารกับพวกเด็ก ๆ ตรงหน้าด้วยกันหนึ่งมื้อ

หลินซือเห็นเด็กสาวเหล่านั้นเริ่มกระตือรือร้น แม้ว่าจะดูวุ่นวายไปบ้าง แต่ความจริงแล้วดูเป็นระบบระเบียบมากทีเดียว สาวใช้ที่ยังเด็กและดูจะช่วยเรื่องพวกนี้ไม่ได้เหล่านั้นเริ่มเตรียมสิ่งของภายใต้การนำของเด็กที่โตแล้ว

ไฟหุงหาอาหารถูกจุดขึ้นด้วยเด็กโต ส่วนเด็กน้อยเหล่านั้นจะช่วยในเรื่องของการพัดวีและเติมฟืน

หลินซือนึกถึงเหตุการณ์ในวัยเด็ก ก็อดยื่นหน้าเข้าไปพูดไม่ได้ “ข้าช่วยอะไรได้บ้าง?”

ครั้นหวังจาวตี้เห็นหลินซือถามเช่นนี้ จึงตอบนางอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าตามเด็กพวกนั้นไปล้างผักเถอะ”

ครั้นผู้ดูแลได้ยินประโยคนี้ก็ถลึงตาใส่หวังจาวตี้แวบหนึ่ง แต่เมื่อเห็นหลินซือไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน จึงปล่อยให้หลินซือทำด้วยตนเอง

“ข้าทำเองเดี๋ยวเจ้าค่อยล้างแล้วกัน”

หลินซือไม่เคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน จึงล้างผักค่อนข้างช้า เด็กสาวที่ว่องไวตรงหน้าเหล่านั้นทนดูไม่ได้

ขณะที่หลินซือกำลังล้างผักนั้น ผักที่อยู่ข้างมือกลับถูกมือคู่หนึ่งหยิบออกไป

หลินซือเงยหน้าด้วยความตกใจ แต่กลับเห็นหวังจาวตี้มองนางด้วยรอยยิ้มตาหยี “เจ้าดูไม่ใช่คนที่ทำเรื่องเหล่านี้บ่อย เดี๋ยวข้าทำเอง”

ระหว่างพูด มือของนางก็จัดการอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของหลินซือเผยรอยยิ้มรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด นางจึงเอ่ยปากพูดเพียงไม่กี่ประโยค “ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว”

จากนั้นก็หยุดชะงักไป ก่อนจะพูดต่อว่า “ข้ายังช่วยอะไรได้อีกบ้าง?”

“เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

หวังจาวตี้พูดโดยไม่เงยหน้า และไม่มองหลินซือแต่อย่างใด

หลินซือรู้ว่าตัวเองอยู่ต่อไปก็เกะกะเสียเปล่า ๆ หากแต่ก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะเดินออกไป จึงมองดูเด็กผู้หญิงเหล่านี้กำลังวุ่นวายกันอย่างเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้น

….

อาหารมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เมื่อหลินซือเข้ามาร่วมโต๊ะก็พบว่าอาหารมื้อเที่ยงในวันนี้ไม่ได้มีจำนวนมากนัก ปกติแล้วสิ่งที่ผู้อาศัยในเรือนนี้กินก็คือข้าวซ้อมมือ ตามด้วยผักป่าที่นำมาผสมกับแป้งแล้วต้มจนกลายเป็นน้ำแกง ส่วนเนื้อสองสามชิ้นจะถูกนำไปต้มในน้ำเดือดจากนั้นก็นำมาโรยเกลือเล็กน้อย

หลินซือไม่ถือสากับอาหารง่าย ๆ เหล่านี้ แต่เป็นกังวลว่าคนเหล่านั้นจะกินไม่พอ นางจึงคีบอาหารเพียงคำสองคำ แล้ววางตะเกียบลง พลางชวนคุยไปเรื่อย “ยามอยู่ที่นี่พวกเจ้าทำสิ่งใดกันบ้าง?”

“ซักผ้า ทำอาหาร ให้อาหารสัตว์เลี้ยง เก็บกวาดบ้าน เงยหน้าอีกทีท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งวัน…”

หลังจากกินข้าวเสร็จพวกนางก็เริ่มเก็บข้าวของเหล่านี้ ด้วยเหตุที่ว่าสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างไกล

หลังจากที่หลินซือกินข้าวเสร็จไม่นาน รถม้าของเหยาซูก็มารับนางแล้ว คนที่นั่งรถม้ามากับเหยาซูด้วยก็คือเจี่ยงเถิง

ทุกครั้งที่หลินซือเจอกับเจี่ยงเถิง สภาพจิตใจของนางจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นดีขึ้นทีละน้อย

แต่วันนี้หลินซือกลับกล่าวทักทายเจี่ยงเถิงด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไม่มีอะไรต่อจากนั้น และไม่ได้เผยรอยยิ้มออกมาแต่อย่างใด

เจี่ยงเถิงขมวดคิ้วมองหลินซือที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ในฐานะที่เป็นขุนนางดูแลเรื่องเกลือโดยเฉพาะ ปกติแล้วเจี่ยงเถิงมักยุ่งมากเป็นพิเศษ ประกอบกับเรื่องการหมั้นหมายระหว่างสองตระกูลอย่างหลินจื้อและไป๋หรูปิงค่อนข้างซับซ้อน เจี่ยงเถิงจึงไม่รู้ว่าวันนี้เกิดสิ่งใดขึ้นหรือไม่

หลินซือไม่คิดสนใจเจี่ยงเถิง ตรงกันข้ามกลับซบหน้าอยู่ในอ้อมกอดของเหยาซู จากนั้นก็นิ่งสงบ

เหยาซูกอดลูกสาวที่อยู่ในอ้อมกอด ด้วยความรู้สึกจนปัญญา

“ท่านแม่” หลังจากหลินซือขานเรียกแล้วก็ทิ้งช่วงเนิ่นนาน ก่อนจะพูดอย่างโง่เขลา “ไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านี้ได้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เหยาซูนิ่งงัน ยามมองลูกสาวของตัวเอง สีหน้ามักอ่อนโยนเสมอ “วันนี้เอ้อเป่าไม่ต้องทำเรื่องนี้แล้ว กลับไปพักผ่อนเสียหน่อยดีไหม”

หลินซือพยักหน้า ทุกครั้งที่ตกอยู่ในช่วงเวลานี้นางมักจะซบอกเหยาซูเสมอ

เจี่ยงเถิงเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลินซือ ก็รู้สึกปวดใจอยู่ข้างใน เพราะช่วงนี้เขายุ่งไม่น้อย ทำให้เจี่ยงเถิงไม่ค่อยได้เจอกับนาง

“เกิดอะไรขึ้นหรือ”

เจี่ยงเถิงเห็นสีหน้าของหลินซือไม่สู้ดีนัก ก็ยิ่งเจ็บปวดใจ

เหยาซูยื่นชาจอกหนึ่งให้หลินซือ “เอ้อเป่าตั้งใจจะเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้ จึงต้องมาดูสถานที่จริง”

หลังจากเจี่ยงเถิงได้ยินประโยคนี้ก็เข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใดหลินซือถึงได้ดูไม่มีความสุข แต่เรื่องนี้เจี่ยงเถิงก็จนปัญญาเช่นกัน

ครั้นหลินซือได้ยินประโยคนี้ ก็ค่อย ๆ นั่งลง “พี่เถิง ข้ามีคำถามอยากถามพี่”

“เจ้าว่ามา”

“ทุกครอบครัวในตอนนี้ต้องการเกลือ เกลือเหล่านี้ต้องเสียเงินซื้อครอบครัวละกี่ส่วนกัน?”

สมัยนี้เกลือค่อนข้างเป็นปัญหาที่ร้ายแรง เพราะราคาของเกลือยังเพิ่มสูงขึ้น คนเราไม่กินเกลือไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาที่ค่อนข้างอ่อนไหวมาโดยตลอด

“หนึ่งปีได้เพียงไม่กี่ตำลึง ต่อไปราคาคงสูงขึ้น ทุกครอบครัวต้องกินเกลือ ไม่ว่าอย่างไรตำลึงเงินก้อนนี้ก็ครอบคลุมได้เพียงสามส่วนเท่านั้น”

เจี่ยงเถิงคำนวณครู่หนึ่งก่อนจะให้ตัวเลขประมาณหนึ่งแสนแก่หลินซือ หลินซือพยักหน้า แล้วจดจำเรื่องนี้ไว้ขึ้นใจ

เหยาซูมองดูลูกสาวของตัวเองที่ตอนนี้กำลังจมจ่ออยู่กับเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด นางลูบศีรษะของลูกสาวและมองอย่างจนปัญญา “เจ้าหยุดพูดเรื่องนี้ก่อนเถิด เรือนพักพิงผู้ยากไร้ไม่ใช่สถานที่ที่สามารถเปิดได้ภายในหนึ่งถึงสองวัน”

หลินซือขยี้ศีรษะของตัวเอง พลันพบว่าตอนนี้ได้นั่งรถเข้าเมืองแล้ว แต่รถม้าคันนั้นไม่ได้หยุดหน้าตระกูลหลิน หลินซือถูกเหยาซูลากมากินของดีที่เตรียมไว้ในร้านอาหารก่อน

“เอ้อเป่า อย่ากังวลไปเลย ถึงอย่างไรข้าก็ช่วยเจ้าอยู่ดี เพียงแค่เจ้าเอ่ยปากเท่านั้น” เจี่ยงเถิงอยากรับช่วงต่อเรื่องนี้ แต่ครั้นเห็นท่าทางของอาซือแม้แต่สิ่งของจากแม่แท้ ๆ ของตัวเองก็ยังไม่รับ เห็นได้ชัดว่าทำการตัดสินใจแล้ว

หลินซือเงยหน้ามองเจี่ยงเถิงปราดหนึ่ง ในที่สุดใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “ขอบคุณพี่เถิงมากเจ้าค่ะ”

จากนั้น หลินซือก็ไม่ส่งเสียงโวยวายใด ๆ อีก แต่นั่งกินอาหารอยู่เงียบ ๆ

ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นภาพนั้น ก็รู้ทันทีว่าวันนี้หลินซือไม่อยากพบใคร จึงรีบพูดกับเหยาซูทันทีว่าขอตัวกลับก่อน

ในห้อง เหลือเพียงแค่หลินซือและเหยาซูสองคน

หลินซือเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถามแม่ของตัวเองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง “ถ้าพวกเขาถึงวัยที่ต้องแต่งงานกันแล้ว จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? พวกนางไม่มีตระกูลฝ่ายชาย และตระกูลฝ่ายหญิง ยามที่เกิดเรื่องขึ้นในตระกูลฝ่ายชายก็ไม่มีใครให้พักพิงเช่นนั้นหรือเจ้าคะ?”

นางไม่เคยลืม ที่นางมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ เป็นเพราะการช่วยเหลืออันใหญ่หลวงของท่านปู่…

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

น้องอาซือไปดูสถานที่จริงแล้วคงจะหดหู่ไม่น้อยเลย

นี่ถ้าไม่มีเรือนพักพิงของเหยาซูแล้วเด็กพวกนั้นจะทำยังไงกันนะ คงถูกครอบครัวขายทิ้งหรือทำร้ายเหมือนสิ่งของชิ้นหนึ่งกระมัง

ไหหม่า(海馬)