บทที่ 428 ท่านโหวน้อย (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 428 ท่านโหวน้อย (1)

โชคยังดีที่องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้เป็นโรควิตกังวลแล้ว ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงโมโหจนคุมสติไม่อยู่

แน่นอนว่านางสามารถสั่งการให้หลงอีวางกรงนั้นลงได้ หรือไม่ก็ทิ้งไปเสีย แต่ดูเหมือนหลงอีจะรู้นิสัยจอมบงการของนายตัวเองเป็นอย่างดี ก็เลยถือกรงนั้นแล้ววิ่งหนีไป!

หลงอีกลับหลังหันวิ่งหนี ราวกับกำลังบอกองค์หญิงว่า ข้าไปก่อนนะ ท่านพูดอะไรข้าไม่ได้ยิน!

สีหน้าของอวี้จิ่นเต็มไปด้วยความลำบากใจ “องค์หญิงเพคะ…”

องค์หญิงไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ก่อนจะปิดม่านลง

เมืองหลวงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ไม่เพียงแต่ออกไปนอกเมืองลำบาก แม้แต่การเข้าเมืองก็ลำบากเช่นกัน

ขณะที่พวกทหารกำลังเตรียมกำลังในการเฝ้ายาม จู่ๆ เกิดลมแรงพัดผ่านตรงจุดที่พวกเขาอยู่ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างวิ่งผ่านพวกเขาไป

เหล่าทหารทำหน้างุนงง

“เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรรึ”

“ไม่รู้สิ พวกเจ้าเห็นอะไรไหม”

“ราวกับมีอะไรบางอย่างผ่านหน้าไป แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว”

หลายคนมองไปรอบๆ บนถนนที่ว่างเปล่าจะมีคนด้วยหรือ หรือว่าพวกเขาตาฝาดกันไปเองนะ…

ไม่นาน รถม้าขององค์หญิงซิ่นหยางเข้าจอดที่หน้าประตูเมือง พอทหารยามเห็นตราก็รีบถวายบังคม และปล่อยให้รถม้าเข้าไปข้างใน

ขณะเดียวกัน กลุ่มทหารองครักษ์ที่ไล่ตามพวกโจรก็เพิ่งระลึกได้ว่าพวกโจรอาจไม่ได้นำไปก่อนพวกเขา ก็เลยแบ่งกลุ่มย้อนกลับไปทางเดิม ระหว่างทางก็เจอเข้ากลับกลุ่มทหารของศาลาว่าการที่ถูกปล้นรถเกวียนนักโทษและรวมถึงเสื้อเครื่องแบบของพวกเขาไปด้วย

ส่วนทหารองครักษ์อีกกลุ่มหนึ่งพบหย่าเหมินที่กำลังอยู่ในอาการผวาที่พงหญ้าห่างออกไปสามลี้

พอพวกเขาได้สติ ก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง

“นักโทษหนีไปได้ โจรพวกนั้นน่าจะเป็นสหายของนักโทษหรือไม่” หนึ่งในทหารเอ่ยขึ้น

ทหารอีกคนแย้งขึ้น “เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้านักโทษนั่นอ่อนหัดจะตาย ไม่น่ามีเพื่อนเก่งๆ แบบนั้นหรอก”

ขณะที่เหล่าทหารกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น จู่ๆ นักโทษคนที่ว่าก็กลับมาอย่างเชื่อฟัง จากการสอบปากคำของเขา พวกทหารจึงได้รู้ข้อมูลว่ามีโจรสี่คน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะจับใครบางคนไว้เป็นตัวประกัน

นักโทษคนนั้นไม่ได้เห็นรูปพรรณสัณฐานที่ชัดเจนของตัวประกัน แต่เหล่าทหารค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นเซียวลิ่วหลัง

แต่ตอนนี้ พวกโจรถูกฆ่าตายแล้ว เซียวลิ่วหลังหายตัวไป ไม่รู้ว่าใครพาตัวเขาไปและพาไปที่ไหน

“พวกเราก็เฝ้าเส้นทางหลักตลอดเวลาเลยนะ ไม่เห็นมีใครผ่านมาเลย…หรือว่า…พวกเขาจะย้อนกลับไปในเมืองแล้ว” ทหารนายหนึ่งลองคาดความเป็นไปได้

ผู้ที่เป็นหัวหน้าทหารเอ่ยขึ้น “ตรวจสอบรถม้าทุกคันที่เข้าเมืองโดยละเอียดแล้วหรือยัง”

“มีสองคันที่ไม่ได้ตรวจขอรับ” ทหารนายหนึ่งรายงาน

“รถม้าใครรึ”

“รถม้าของใต้เท้าจ้าวและองค์หญิงซิ่นหยางขอรับ”

ณ ถนนจูเชวี่ย รถม้าจอดตรงด้านหน้าที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่ง องค์หญิงซิ่นหยางและอวี้จิ่นเดินลงจากรถม้า

ท้ายที่สุด หลงอีก็นำกรง…ไม่สิ ต้องพูดว่า นำคนที่อยู่ในกรงกลับมา จากนั้นก็ทำการถอดหน้ากาก เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออก แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาด

แต่ดูเหมือนชุดที่เอามาเปลี่ยนนั้นเล็กเกินจนติดกระดุมไม่ถึง แม้แต่แขนเสื้อและขากางเกงก็สั้นเกินกว่าจะใส่ได้

หลงอีวางร่างของเขาลงบนเตียงขององค์หญิงซิ่นหยาง

ชีพจรของเซียวลิ่วหลังเริ่มอ่อนลง อาจเป็นเพราะเสียเลือดมาก

ขณะที่องค์หญิงกำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีนิ่งสงบ แต่พอเดินมาถึงธรณีประตู นางก็เกิดชะงักขึ้นมา

ขณะที่อวี้จิ่นรีบเข้าไปดูร่างของชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง

นางไม่รู้ว่าใครเป็นนักโทษที่หลงอีนำกลับมา และนางไม่รู้ว่าทำไมหลงอีถึงทำแบบนี้ แต่นี่คือห้องนอนขององค์หญิงและมันคงแย่มากหากปล่อยให้คนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้มาอยู่ตรงนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเดินมาถึงเตียงก็ต้องตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าอันซีดเผือดที่แสนจะคมคายและคุ้นเคย!

“องค์หญิงเพคะ!”

อวี้จิ่นออกมาด้วยความตกใจ และพูดกับองค์หญิงซิ่นหยางที่กำลังทอดสายตามองผืนฟ้าอันไร้ขอบเขต “คน… คนที่อยู่ข้างใน…เขา…เขาคือ…เขาดู… เขา…”

อวี้จิ่นไม่รู้ว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไร และหลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็ตัดสินใจพูดออกมา “เขาคนนั้น เป็นคนจากฮั่นหลินเพคะ คนที่หม่อมฉันเคยบอกองค์หญิงว่าเขาดูเหมือนนายน้อย! ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลงอีจะพาเขากลับมา หลงอีต้องคิดว่าเขาเป็นนายน้อยแน่ๆ เพคะ องค์หญิง! เข้ามาดูก่อนสิเพคะ ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลงอีจะยอมรับความผิดพลาดของเขา ใบหน้าของเขามันคล้ายกันเกินไปจริงๆ จนหม่อมฉันอดคิดไม่ได้ว่านายน้อยยังมีชีวิตอยู่! อีกทั้งเขากับนายน้อยมีอายุก็ใกล้เคียงกัน…ถ้านายน้อยยังมีชีวิตอยู่…เขาน่าจะอายุเท่านี้…”

องค์หญิงซิ่นหยางยังคงไม่พูดอะไร

“องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันไม่ได้พูดปดนะเพคะ…เขาเหมือน…” อวี้จิ่นหยุดวาจาลงทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของคนตรงหน้า

ใบหน้าขององค์หญิงยังคงราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่แววตาของนางนั้นกลับเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายจากความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เว้นเสียแต่ความตกใจ

อวี้จิ่นเองก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

แต่ในเวลาต่อมาแค่ครู่เดียว อวี้จิ่นก็เอ่ยทักขึ้นมาอีกครั้ง “องค์หญิงทรง รู้เรื่องแล้ว…หรือเพคะ”

ที่อวี้จิ่นต้องการถามก็คือ ตั้งแต่เมื่อไหร่

ตั้งแต่ที่หลงอีพาเขามา หรือเร็วกว่านั้น

องค์หญิงไม่ได้ให้คำตอบใด ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องทรงหนังสือ

ตอนแรกอวี้จิ่นจะตามเข้าไปด้วย แต่นางกลับสัมผัสได้ถึงรังสีความสันโดษขององค์หญิงที่แผ่ซ่านออกมา

คงทรงไม่อยากให้ใครเข้าไปใกล้ๆ

อวี้จิ่นจึงทำได้แค่ยืนอยู่หน้าธรณีประตู มองดูนายของตัวเองที่กำลังยืนหลบอยู่ในมุมมืด “องค์หญิงเพคะ เขาคือนายน้อยใช่ไหมเพคะ”

……

อาการบาดเจ็บของเซียวลิ่วหลังเรียกได้ว่าสาหัส

อวี้จิ่นเดินทางไปยังโรงหมอในละแวกใกล้เพื่อเชิญหมอมาดูอาการ พอหมอเห็นอาการบาดเจ็บของเซียวลิ่วหลัง ก็พูดออกมาตามตรงว่าฝีมือการรักษาของเขาไม่สามารถรักษาแผลที่รุนแรงขนาดนี้ได้

มือของเขาได้รับบาดเจ็บจากการหกล้มและถูกพวกโจรเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาหลายครั้ง สภาพมือของเขาไม่ได้ดีไปกว่าการถูกแช่แข็งในหิมะเป็นเวลาหลายชั่วโมง

อย่างน้อยหมอผู้นี้ยังคงมีจรรยาบรรณในสายงาน เขาถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าหมอที่เมี่ยวโส่วถังมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์มาก ครั้งหนึ่งพวกเขาสามารถเชื่อมต่อแขนที่หักให้ใช้งานใหม่ได้ แม่นางลองไปหาหมอที่เมี่ยวโส่วถังดูไหมล่ะ!”

ขณะที่อวี้จิ่นกำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปเมี่ยวโส่วถัง ทันใดนั้น กู้เจียวก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู

กู้เจียวได้ข่าวจากทหารว่าเซียวลิ่วหลังได้รับการช่วยเหลือจากองค์หญิงซิ่นหยาง ส่วนจะเป็นหลงอีหรือตัวองค์หญิงเองที่ช่วยนั้นพวกเขาไม่อาจรู้ได้

“แม่นางกู้” อวี้จิ่นทำหน้าตะลึง

“สามีของข้าอยู่ที่นี่หรือไม่” กู้เจียวเอ่ยถาม

“สามี…ของท่านรึ” อวี้จิ่นทำหน้างุนงง

“เซียวลิ่วหลัง จากสำนักฮั่นหลิน”

อวี้จิ่นพูดไม่ออก

ความตกใจทั้งหมดในชีวิตของอวี้จิ่น คงมารวมกันอยู่ ณ เวลานี้

กู้เจียวเข้าไปที่ห้องขององค์หญิง เวลานี้ นางไม่มีกะใจมาสนใจสภาพจิตใจขององค์หญิงละอวี้จิ่น นางรีบพุ่งตัวเข้าไปดูบาดแผลของเซียวลิ่วหลัง

เหมือนกับในฝันไม่มีผิด มือข้างที่เจ็บคือมือขวา แม้แต่ตำแหน่งร่องรอยบาดแผลยังมีความใกล้เคียงกับที่เห็นในฝัน เพียงแต่สภาพแผลของเขาตอนนี้ดูสาหัสกว่าในฝันพอสมควร

กู้เจียวฟันธงแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝันจะมาก่อนเวลาที่ควรจะเกิดขึ้น

แต่กู้เจียวก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมได้ถึงเป็นแบบนี้

กู้เจียวเปิดกล่องยาออก จากนั้นหยิบน้ำยาฆ่าเชื้อขึ้นเพื่อทำการเช็ดบาดแผล รอยแผลที่แห้งสนิทก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

กู้เจียวได้กลิ่นเลือดของเขาอย่างชัดเจน

นางพยายามหลับตา ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความทรมาน

กว่ากู้เจียวจะออกมาจากห้องผ่าตัดได้ก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วยาม การผ่าตัดเซียวลิ่วหลังนั้นนั้นยากกว่าการผ่าตัดผู้ป่วยรายอื่นๆ มาก อาจเป็นเพราะชายคนนี้ดึงดูดสายตานางมากเกินไปและแม้แต่เลือดของเขาก็ยังให้ความรู้สึกน่าตื่นเต้นหวือหวากว่าของคนอื่น เลือด กู้เจียวต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง