บทที่ 428 ท่านโหวน้อย (2)
หลังจากเวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป ทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
เซียวลิ่วหลังนอนแน่นิ่งให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง
อวี้จิ่นเดินเข้ามาในห้องพร้อมกะละมังน้ำร้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นถุงน้ำเกลือ เลยขอหยุดจ้องมันให้นานหน่อย
“ขอบใจท่านมาก” กู้เจียวหยิบกะละมังมาแล้วเช็ดหน้าเช็ดมือให้เซียวลิ่วหลัง
“ท่านหมอกู้ คือ…” เป็นอีกครั้งที่อวี้จิ่นพูดไม่ออก
“มีเรื่องอันใด” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ท่าน…ช่วยไปหาองค์หญิงทีได้ไหมเพคะ พูดกับองค์หญิงเรื่อง…” อวี้จิ่นเอ่ยพลางหันหน้าไปทางเซียวลิ่วหลัง และกลืนคำว่าเสี่ยวโหวเหย่ลงไปในลำคอ “เรื่องอาการของคนไข้คนนี้”
“ได้สิ” กู้เจียววางผ้าลง แล้วเดินไปยังห้องหนังสือ
ไม่มีตะเกียงในห้องอ่านหนังสือ มีเพียงแสงจันทร์สีเงินสาดส่องตามพื้น
องค์หญิงซิ่นหยางนั่งลงข้างหน้าต่างโดยหันหลังให้ประตู
กู้เจียวเคาะประตูห้องที่ถูกแง้มเปิดอยู่แล้วอย่างเบามือ ก่อนจะค่อยๆ ย่างเท้าเดินเข้าไป
กู้เจียวนั่งลงตรงข้ามองค์หญิงซิ่นหยาง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” องค์หญิงเอ่ยถามเสียงเบาโดยที่สายตาของนางยังคงจับจ้องที่นอกหน้าต่าง
“อาการบาดเจ็บของเขาไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ข้าแค่มาบอกให้องค์หญิงทราบ”
“เขาจะเป็นอะไร เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” องค์หญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หากไม่เกี่ยวจริง ใยท่านถึงได้รับเขามาดูแล” กู้เจียวเลิกคิ้วถาม
“หลงอีเป็นคนพาเขามาน่ะ”
“อ๋อ” กู้เจียวเอ่ย
องค์หญิงซิ่นหยางหันไปทางกู้เจียวด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “เจ้าไม่เชื่อรึ หลงอีเคยช่วยเจ้าไว้ด้วยล่ะ”
กู้เจียวแสดงสีหน้าประหลาดใจ “เช่นนั้น หลงอีชอบเก็บคนมาช่วยเหลือ แล้วมาวางไว้บนเตียงของท่านหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางมองกู้เจียวด้วยสายตาอันนิ่งเฉย
กู้เจียวเอามือเท้าคางแล้วจ้องไปที่องค์หญิง “องค์หญิง ท่านรู้ว่าเขาเป็นใครตั้งแต่แรกแล้วสินะ แถมยังคอยสืบข่าวของเขา ท่านรู้ว่าข้ากับเขามีความสัมพันธ์แบบใด คืนนั้นท่านเลยไม่ทิ้งข้ากลางทางใช่หรือไม่”
ถึงว่าเหตุใดองค์หญิงซิ่นหยางถึงได้เมตตากับนางนัก ถึงกับให้ตนนอนบนเตียงองค์หญิงของนาง
“ขนมไหว้พระจันทร์อร่อยไหมเพคะ เขาเป็นคนไปซื้อพุทราด้วยตัวเองเลยนะ” ถ้านางนึกไม่ออกว่าใครเป็นคนทำขนมไหว้พระจันทร์ล่ะก็คงไม่ได้การแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่วันนั้นเขาเสนอส่งขนมไหว้พระจันทร์เข้าวังแถมยังเอาไส้พุทราที่ท่านย่าไม่ชอบมาให้ด้วย
“ไม่เห็นอร่อยตรงไหน” องค์หญิงเอ่ยพลางเบือนหน้าหนี
“ท่านได้กินมันแล้วสินะเพคะ” กู้เจียวเอ่ย
“ไม่ได้กิน…ข้ายกให้อวี้จิ่น” องค์หญิงเถียงกลับ
“อย่างน้อยท่านก็รับไว้แล้วใช่ไหมเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
วิธีการพูดจาแบบนี้ไปเรียนจากไหนมากันแน่
ที่จริง กู้เจียวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
เดิมทีนางคิดว่าเซียวลิ่วหลังจะไม่ชอบองค์หญิงซิ่นหยางเสียอีก ก็เลยไม่ยอมพบหน้า แต่ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่เป็นเช่นนั้น
ส่วนท่าทีขององค์หญิงที่มีต่อเซียวลิ่วหลังจากที่กู้เจียวสัมผัส ก็ยิ่งสร้างความสับสนเข้าไปใหญ่
นางคิดว่าองค์หญิงไม่รู้เรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่มาโดยตลอด ดูเหมือนว่านางคิดผิดไป
แม่ลูกคู่นี้นี่แปลกจริงๆ
รอยแผลที่บาดลึกที่สุดของเซียวลิ่วหลังก็คือตรงมือข้างขวา ส่วนรอยแผลตรงจุดอื่นๆ เป็นแค่แผลเล็กๆ เท่านั้น ส่วนที่เขามีอาการเพลียเช่นนี้เป็นเพราะระหว่างทางเขาเสียเลือดไปมาก
แต่ดูเหมือนหลงอีจะคิดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่อารมณ์ของเขาก็หดหู่ และเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะกวนกู้เจียวเพื่อมาเขียนพู่กัน
กู้เจียวมองว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ให้มือได้พักบ้าง
แต่เมื่อเห็นหลงอีไม่มีความสุข กู้เจียวเลยตัดสินใจที่จะชดเชยเขาด้วยวิธีอื่น
อวี้จิ่นทำขนมให้กู้เจียว กู้เจียวแบ่งขนมครึ่งหนึ่งไว้ให้หลงอี
อวี้จิ่นเห็นว่ากู้เจียวกินไปได้แค่ครึ่งเดียว จึงเอ่ยถาม “ไม่อร่อยรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแบ่งให้หลงอีน่ะ” กู้เจียวตอบ
“หลงอี…ไม่มีความสุขรึ” อวี้จิ่นถามพลางหันไปมองหลงอี หลงอีคือทหารหลงอิ่ง คนอย่างเขามีมุมที่ไม่มีความสุขด้วยรึ
“ท่านดูออกได้อย่างไร” อวิ้จิ่นสงสัย
“สัมผัสได้น่ะ”
อวี้จิ่นไม่เข้าใจ “แล้วเหตุใดข้าถึงสัมผัสไม่ได้แบบท่านนะ” ที่จริงแล้ว ไม่มีใครสัมผัสได้ ที่บางครั้งหลงอีไม่เชื่อฟัง แต่เขาไม่ใช่คนที่แสดงอามรมณ์อยู่แล้ว แต่ต่อให้แสดงออกมาก็ยากที่จะเข้าถึง
กู้เจียวลูบสันจมูกตัวเองพลางนึก ที่ผ่านมานางคิดว่าทุกคนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของหลงอีได้เสียอีก สรุปมีแค่นางคนเดียวหรือนี่
เรื่องที่เซียวลิ่วหลังได้รับบาดเจ็บท้ายที่สุดแล้วก็ได้ยิรไปถึงในวัง ณ เวลานั้น ไท่จื่อเฟยกำลังรายงานต่อฮ่องเต้เกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของสำนักบัณฑิตสตรี และบังเอิญได้ยินรายงานจากองครักษ์ว่าเซียวลิ่วหลังถูกลักพาตัวโดยกลุ่มโจรและได้รับบาดเจ็บ และบัดนี้ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่แห่งใด
กู้เจียวรู้อยู่แล้วว่าเซียวลิ่วหลังจะไปอยู่ที่ไหน แต่กลับไม่ได้บอกให้พวกทหารรับรู้ ทหารก็เลยไม่รู้ว่าตอนนี้เซียวลิ่วหลังได้รับการช่วยเหลือแล้ว
“แล้วยังไม่รีบไปตามหาอีก!” ฮ่องเต้ทรงกริ้วหลังทราบข่าว
“เดี๋ยวก่อน!” ฮ่องเต้ทรงขานเรียกหัวหน้าองครักษ์
“ฝ่าบาท” หัวหน้าองครักษ์ถวายบังคม
“ไปตามหนิงอ๋องมา” ฮ่องเต้ตรัสด้วยท่าทีเคร่งขรึม
หลังจากเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้น คนแรกที่ฮ่องเต้นึกถึงว่าเป็นผู้มีประโยชน์กลับไม่ใช่ไท่จื่อ แต่เป็นบุตรชายคนโตของเขา
“พ่ะย่ะค่ะ!”
……
ไท่จื่อเฟยเดินหน้าซีดออกมาจากห้องทรงงานของฝ่าบาท
“ไท่จื่อเฟยเพคะ” ชุนอิ๋งเดินตามพลางมองอย่างเป็นกังวล เพราะท่าทีของไท่จื่อเฟยดูเหมือนพร้อมจะเป็นลมได้ตลอดเวลา “ไม่สบายตรงไหนหรือเพคะ ไท่จื่อทรงกำชับไว้แล้วว่าให้พำนักอยู่ในตำหนัก แล้วนี่จะทรงออกมาด้วยเหตุใดหรือเพคะ”
“เมื่อครู่นี้ เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม” ไท่จื่อเฟยไม่ตอบคำถามของชุนอิ๋ง แต่กลับยิงคำถามกลับ
ชุนอิ๋งไม่ตอบ
ไท่จื่อเฟยรู้สึกได้ว่าร่างกายของนางเริ่มรับไม่ไหว นางใช้มือค้ำด้านข้างและยื่นมืออีกข้างให้ชุนอิ๋ง
ทันใดนั้น จู่ๆ มือของไท่จื่อเฟยถูกฝ่ามืออันทรงพลังของใครบางคนคว้าเอาไว้
ไท่จื่อเฟยตัวแข็งทื่อแล้วหันหน้าไปมองอีกฝ่าย!
นางสะบัดมือทิ้ง แล้วเดินถอยหลังไปหลายก้าว!
“ชุนอิ๋ง!”
ไท่จื่อเฟยพยายามส่งเสียงเรียก
แต่หารู้ไม่ว่าชุนอิ๋งไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
หนิงอ๋องเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ เหลือบมองไปทางเบื้องหลังของนาง แล้วเอ่ยอย่างสนุกสนาน “ข้างหลังเป็นสระน้ำ ระวังด้วย”
“ฝีมือเจ้าใช่หรือไม่” ไท่จื่อเฟยหันไปเหลียวหลัง คอเอียงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาจ้องคนตรงหน้าด้วยแววตาอาฆาต
“พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” หนิงอ๋องหัวเราะ
“อย่ามาทำไขสือ!”
หนิงอ๋องเอามือสองข้างกอดอกพลางเอ่ย “ใช่ ฝีมือข้าเอง ข้าน่ะไม่เป็นอะไร คนที่เป็นน่ะคือเจ้าเซียวลิ่วหลังนั่นต่างหาก เจ้าคงผิดหวังมากเลยสินะ”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร” ไท่จื่อเฟยเบือนหน้าหนี
หนิงอ๋องยิ้มเบา ๆ ยกมือขึ้นลูบขมับของไท่จื่อเฟยและพูดเสียงแผ่ว “หลินหลัง คนอย่างข้าไม่ใช่คนที่จะรับมือง่ายๆ หากเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถกำจัดข้าได้ด้วยความช่วยเหลือของเซียวเหิงและองค์หญิงซิ่นหยาง เจ้าคิดน้อยเกินไปแล้ว ครั้งนี้ข้าจะยอมปล่อยผ่าน และอย่าให้มีครั้งต่อไปอีก เข้าใจหรือไม่”