บทที่ 429 แม่ลูก
น้ำเสียงของเขาราวกับเป็นเสียงที่อ่อนโยนที่สุดในโลก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง กระนั้น ไท่จื่อเฟยยังคงสัมผัสได้ถึงความเย็นชา
ร่างของนางพลันแข็งทื่อ และไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
หนิงอ๋องลูบแก้มของนางและพูดด้วยเสียงต่ำ “หลินหลังเอ๋ย ตั้งแต่วันที่เจ้าและข้าร่วมมือกันฆ่าเซียงเหิง เจ้ามิอาจเป็นผู้ไร้มลทินได้อีกต่อไป เจ้ายังไม่เข้าใจความจริงนี้อีกหรือ”
“ข้าไม่ได้ทำร้ายเขา! เป็นเจ้า! เป็นเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบ! เจ้าเป็นคนตามข้าไปที่กั๋วจื่อเจียน…เจ้าคือคนที่ฆ่าเขา!”
หนิงอ๋องยกมือขึ้นลูบท้ายทอยไท่จื่อเฟย “ถ้าเจ้าไม่ได้ชวนเขาออกไปตามลำพัง ข้าจะมีโอกาสได้อย่างไร ยอมรับเถอะ หลินหลัง เจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่ฆ่าเขาด้วย”
“ไม่ใช่ข้า ข้าไม่เคยทำร้ายอาเหิง!” ไท่จื่อเฟยเอื้อมมือผลักหนิงอ๋อง “ข้าไม่อยากเห็นเจ้า ออกไปเดี๋ยวนี้!”
หนิงอ๋องกำมือที่กำลังจับท้ายทอยของไท่จื่อเฟยไว้แน่น
“หลินหลัง! หลินหลัง!”
“เอ๋ ชุนอิ๋ง เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่ แล้วไท่จื่อเฟยอยู่ที่ไหน เจ้าไม่ได้ไปห้องทรงงานกับไท่จื่อเฟยหรอกเหรอ”
เสียงนั้นลอยมาจากที่ไม่ไกลนัก
ชุนอิ๋งตอบทันทีด้วยความรู้สึกผิด “ไท่จื่อเฟยทรง…”
ไท่จื่อเฟยจ้องหนิงอ๋องด้วยสายตาอาฆาต
“เจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร อย่าริอาจทำให้ข้ากริ้วเป็นอันขาด เจ้ารับมือกับผลลัพธ์ที่เกิดไม่ไหวหรอก เวินหลินหลัง” หนิงอ๋องเอ่ยขู่นาง
ก่อนจะปล่อยมือลง
ร่างของไท่จื่อเฟยแทบบจะทรุดลงกับพื้น
“เสียงอะไรน่ะ”
หลังจากที่หนิงอ๋องปล่อยมือ ก็เป็นจังหวะที่ไท่จื่อเดินเข้ามาทางนี้พอดี เขาเห็นไท่จื่อเฟยที่อยู่ในสภาพใบหน้าซีดเผือดกับหนิงอ๋องผู้สุขุมนุ่มลึก
เขาขมวดคิ้ว โดยสัญชาตญาณแล้วเขาไม่ชอบให้ผู้หญิงของเขายืนอยู่กับผู้ชายคนอื่น แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นพี่ชายของเขาเองก็ตาม
“ท่านพี่” ไท่จื่อเอ่ยทักด้วยความประหลาดใจ
หนิงอ๋องคลี่ยิ้ม พลางเอ่ย “เสด็จพ่อตามข้าให้ไปเข้าพบน่ะ ระหว่างทางก็บังเอิญเจอไท่จื่อเฟยพอดี”
เป็นเช่นนี้นี่เอง ไท่จื่อแอบคิดว่าเขาคิดมากเกินไป หนิงอ๋องเป็นพี่ชายของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกิดจากครรภ์มารดาเดียวกัน แต่ก็มีพ่อคนเดียว และหลินหลังก็เป็นน้องสะใภ้ของหนิงอ๋อง จะมีอะไรลับลมคมในได้เล่า
ไท่จื่อขยับเข้ามาใกล้ไท่จื่อเฟยและกุมมือนาง ทันทีที่สัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่ปลายนิ้วของนาง ไท่จื่อขมวดคิ้วแน่น “มือเจ้าเย็นนัก ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าช่วงนี้ให้พักฟื้นก่อน มีเรื่องอะไรค่อยไปรายงานก็ได้นี่นา”
“เสด็จพ่อทรงฝากสำนักบัณทิตสตรีไว้กับข้า ข้าควรดูแลอย่างรอบคอบ” ไท่จื่อเฟยกล่าว พลางรู้สึกถึงสายตาอำมหิตจากหนิงอ๋องจึงชักมือกลับ “หม่อมฉันสบายดี แค่เหนื่อยนิดหน่อยเพคะ ฝ่าบาท กลับกันเถอะ”
หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ อากาศดูเหมือนจะเย็นลงอย่างกะทันหัน สายลมในตอนเช้าและเย็นพัดพาความเย็นสบายของฤดูใบไม้ร่วงมาเล็กน้อย ไท่จื่อถอดเสื้อคลุมออกแล้วสวมให้ไท่จื่อเฟยพร้อมทั้งผูกเชือกให้อย่างเบามือ
หนิงอ๋องจ้องมองพวกเขาด้วยดวงตาริษยา
ไท่จื่อเฟยดึงมือคนตรงหน้าออก “หม่อมฉันทำเอง”
“เอ่อ” ไท่จื่อทำหน้าผิดหวัง เขาต้องการทำสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ให้นาง แต่ในเมื่อเสด็จพี่อยู่ตรงนี้ด้วย จะมาแสดงความรักกันตรงนี้ก็คงจะดูไม่งามนัก
พอไท่จื่อหันไปหาหนิงอ๋อง แววตาเขาก็เปลี่ยนกลับมาเป็นคนสุขุมนุ่มลึกดังเดิม
“ท่านพี่ เช่นนั้น พวกเราขอตัวก่อน ท่านพี่รีบเข้าเฝ้าท่านพ่อเถิด!”
หนิงอ๋องนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปทางไท่จื่อที่กำลังโอบไท่จื่อเฟยในอ้อมแขน “เหตุใดเจ้าไม่ไปด้วยกันกับข้าล่ะ ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นนะ ถึงขั้นสั่งการทหารองครักษ์เลยเชียวล่ะ”
“เป็นเช่นนั้นรึ” ไท่จื่อเริ่มลังเล
หนิงอ๋องแสดงสีหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าไปเอง เจ้าอยู่เฝ้าน้องสะใภ้เถิด”
ระหว่างที่เขาพูด สายตาของเขาเหลือบไปที่ไท่จื่อเฟยแวบหนึ่ง
ไท่จื่อเฟยรู้สึกถึงการคุกคามที่ไม่รู้จบ นางจับมือไท่จื่อพลางเอ่ย “ฝ่าบาททรงตามไปดูเถิด”
“แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า” ไท่จื่อเอ่ย
“ทรงวางใจเถิด หม่อมฉันมีชุนอิ๋งคอยอยู่ข้างๆ นะเพคะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยตอบพลางก้มหน้าลง
สุดท้ายไท่จื่อก็จำยอมไปเข้าพบเสด็จพ่อเพราะคำอ้อนวอนขอองไท่จื่อเฟย
พอไปถึงเขาถึงได้รู้ว่าเซียวหลังนั้นถูกโจรจับตัวไป บัดนี้ยังหาตัวไม่พบ ฮ่องเต้สั่งให้หนิงอ๋องนำทัพออกตามหา พอเห็นว่าไท่จื่ออยู่ด้วย ฮ่องเต้จึงจัดแจงกองพลและกองม้าให้
ไท่จื่อได้แต่โอดครวญที่ไม่ได้กลับไปอยู่กับหลินหลัง แต่ต้องออกมาตามหาเจ้าเซียวลิ่วหลังแทน!
“ให้ตายเถอะ กับแค่หน้าตาเหมือนกับเซียวเหิง เหตุใดฮ่องเต้ถึงได้ให้ความสำคัญกับเขามากถึงเพียงนี้! ซ้ำยังให้ข้าผู้เป็นถึงไท่จื่อ องค์รัชทยาท ออกมาตามหาเขาด้วยตัวเอง!”
อีกฝั่งเซียวลิ่วหลังผู้กำลังถูกตามหาอยู่นั้นกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงขององค์หญิงซิ่นหยาง โดยมีกู้เจียวกำลังช่วยเขาเปลี่ยนถุงน้ำเกลือถุงสุดท้าย
ฟ้ามืดแล้ว
กู้เจียวและหลงอีคอยเฝ้าเซียวลิ่วหลังอยู่อย่างเงียบๆ ในห้อง กู้เจียวนั่งที่ข้างเตียง ส่วนหลงอีนั่งอยู่บนคานห้อง
หลังจากเปลี่ยนน้ำเกลือเสร็จ กู้เจียวมิอาจต้านทานความเหนื่อยล้าได้จึงผล็อยหลับอยู่ที่ข้างเตียง ส่วนหลงอียังคงตื่นอยู่ตลอดราวกับนกฮูก
หลังจากเวลาผ่านไป ถนนจูเชวี่ยทั้งเส้นก็เงียบลง มีเพียงเสียงลมหายใจของคนไม่กี่คนในห้อง
ทันใดนั้น ประตูห้องถูกผลักเปิดเบาๆ จากด้านนอก
รองเท้าปักสีขาวบริสุทธิ์ก้าวข้ามธรณีประตูและย่ำลงบนพื้นอย่างไร้ซุ่มเสียง
กระโปรงสีทองสง่างามราวกับทะเลสาบทองคำเปลวเคลื่อนผ่านไปช้าๆ
เซียวลิ่วหลังกำลังอยู่ในห้วงการหลับใหล และเขาไม่มีแรงที่จะลืมตา
ขณะที่เขาอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น เขารู้สึกราวกับว่ามีมือกำลังแตะหน้าผากเขาเบาๆ
เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นมือของใคร และไม่รู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หรือไม่
มือนั้นแตะอยู่แค่ครู่หนึ่งก็หายไป
เมื่อเซียวลิ่วหลังลืมตาขึ้น เขาเห็นเพียงกู้เจียวที่ฟุบหลับอยู่ข้างเขา
กู้เจียวกุมมือของเขาไว้ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งของนางถูกกดทับอยู่
ในอิริยาบถนี้ ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่สามารถเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเขาได้
ดังนั้น เมื่อครู่นี้ เป็นความฝันอย่างนั้นหรือ
ทุกอย่างมืดสนิท บวกกับเขาเพิ่งตื่นนอน เขาจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน แต่สภาพแวดล้อม และบรรยากาศที่นี่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเบื่อหรือรู้สึกแปลกแต่อย่างใด
เขาดึงผ้านวมคลุมไหล่ของกู้เจียว เอามือของกู้เจียวข้างที่ถูกกดไว้ใต้ร่างของนางออก ก่อนเขาจะหลับตาและนอนหลับไปอีกครั้ง
กู้เจียวไม่ได้ให้คนนอกได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังปลอดภัยแล้ว เพราะจากที่นางเห็นในความฝัน นางรู้เพียงว่ามีคนกำลังวางแผนต่อต้านเขา เพียงแต่นางไม่รู้ว่าใครคือคนผู้นั้น อีกฝ่ายย่อมไม่รู้ว่าตอนนี้เซียวลิ่วหลังเป็นอย่างไร เผลอๆ ตอนนี้ใครคนนั้นคงกำลังออกตามหาตัวเขาอยู่อย่างแน่นอน
และดูเหมือนทางองค์หญิงซิ่นหยางเองก็มิได้ท่าทีจะบอกเรื่องนี้ออกไปเช่นกัน
ฟ้าเริ่มทอแสง กู้เจียวกลับไปที่ตรอกปี้สุ่ยหนหนึ่ง อย่างน้อยเพื่อแจ้งให้ทุกคนทราบว่าเขาปลอดภัย อีกทั้งไปเก็บข้าวของของเขามาด้วย
ในความเป็นจริง มันจะไม่น่ากลัวหากพบคนที่อยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่โล่งและศัตรูอยู่ในความมืด ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะป้องกัน
กู้เจียวลองไตร่ตรองแล้ว มองว่าให้เซียวลิ่วหลังอยู่กับองค์หญิงซิ่นหยางไปก่อนน่าจะปลอดภัยที่สุด ตราบใดที่องค์หญิงไม่ขับไล่พวกเขาออกไป
แต่ที่กู้เจียวไม่รู้ก็คือ พอกู้เจียวเดินออกไป ไท่จื่อเฟยก็เข้ามาพอดี
ไท่จื่อเฟยมาที่นี่เพื่อเยี่ยมองค์หญิง ในขณะเดียวกัน มีสิ่งหนึ่งที่นางต้องมายืนยันกับองค์หญิง
ด้วยความที่เมื่อคืนกว่าองค์หญิงจะเข้านอนก็เกือบรุ่งสาง แต่บ่าวที่นี่รู้จักไท่จื่อเฟยและเข้าใจว่าไท่จื่อเฟยเป็นคนที่องค์หญิงนั้นห่วงใย ดังนั้นพวกเขาจึงเชิญนางเข้าไปในเรือน
“หม่อมฉันไปตามใต้เท้าอวี้จิ่นมาให้นะเพคะ” บ่าวเอ่ย
“ไม่ต้องหรอก พวกเจ้าทำธุระต่อเถิด ข้าตามอวี้จิ่นเอง” ไท่จื่อเฟยเอ่ย
อวี้จิ่นกำลังตากผ้าอยู่ที่สวนหลังเรือน ตำแหน่งของอวี้จิ่นคือเป็นหัวหน้าผู้ดูแลงานครัวเรือนให้จวนขององค์หญิงซิ่นหยาง เป็นบริวารระดับหก
อันดับที่หกไม่ใช่ตำแหน่งที่มีอำนาจมากในเมืองหลวง แต่ถ้าเป็นคนสนิทขององค์หญิงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ตั้งแต่ไท่จื่อเฟยจำความได้ อวี้จิ่นคือคนที่อยู่เคียงข้างองค์หญิงมาโดยตลอด และเป็นหนึ่งในคนที่องค์หญิงใกล้ชิดมากที่สุด
“ใต้เท้าอวี้จิ่น” ไท่จื่อเฟยเดินเข้าไปทักทาย
ด้วยตำแหน่งของอวี้จิ่น นางไม่จำเป็นต้องทำงานอบผ้าแบบนี้ด้วยตัวเอง ไท่จื่อเฟยอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูว่านางกำลังตากอะไรอยู่ และพอได้เห็นก็พลันทำตาโต
นั่นมัน…เสื้อผ้าของบุรุษนี่นา
แม้องค์หญิงจะมีองครักษ์คอยดูแล แต่ไท่จื่อเฟยมองว่าไม่ใช่เรื่องที่อวี้จิ่นมาตากผ้าให้องครักษ์
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ”
ปฏิกิริยาแรกขอไท่จื่อเฟยคือมองว่าเซวียนผิงโหวกลับมาที่นี่
แม้ว่าทั้งสองจะไม่ลงรอยกันแต่พวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ไม่แปลกถ้าเซวียนผิงโหวจะมาที่นี่
“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ” อวี้จิ่นส่ายหัว
นางไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี
ว่านี่เป็นชุดของเซียวลิ่วหลัง
หลังจากคิดและสังเกตมาทั้งคืน อวี้จิ่นค่อนข้างมั่นใจตัวตนที่แท้จริงของเซียวลิ่วหลังได้แล้ว เพียงแต่…ในเมื่อองค์หญิงยังไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นนางจึงไม่สามารถพูดออกมาล่วงหน้าได้
พอเห็นความกระอักกระอ่วนของอวี้จิ่น ไท่จื่อเฟยก็อดคิดถึงเรื่องข่าวลือที่เคยได้ยินมาไม่ได้ ว่าทั้งเซวียนผิงโหวและองค์หญิงซิ่นหยางต่างไม่ลงรอยกัน เซวียนผิงโหวชอบออกไปหาความสำราญข้างนอก ส่วนองค์หญิงเองก็…
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ไท่จื่อเฟยไม่เคยคิดจะเชื่ออยู่แล้ว แต่พอได้มาเห็นเสื้อผ้าผู้ชายที่กำลังตากอยู่แบบนี้แล้ว…
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะเจ้าคะ นี่ไม่ใช่ขององค์หญิง แต่ แต่เป็นของ…ของหม่อมฉันเองเจ้าค่ะ!” อวี้จิ่นตัดสินใจแบกไว้เอง!
แววตาของไท่จื่อเฟยเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกทั้งตกใจและประหลาดใจ
“ไท่จื่อเฟยต้องเก็บเป็นความลับให้หม่อมฉันด้วยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นกระแอมหนึ่งทีพลางกระซิบ
พอไท่จื่อเฟยลองมาคิดดูดีๆ จะว่าไปแล้ว อวี้จิ่นเองก็เป็นคนแปลก ทั้งชีวิตไม่เคยแต่งงาน ถ้านางไม่ได้ทำงานให้องค์หญิงป่านนี้คงถูกทรมานสารพัดไปแล้ว แต่ด้วยความที่นางอยู่ในจวนและได้รับการปกป้องจากองค์หญิง ไม่มีใครกล้าทำให้นางอับอายขายหน้าได้
นี่คงเป็นความลับที่ทำให้นางได้เข้าใกล้อวี้จิ่นมากขึ้นสินะ
ไท่จื่อเฟยยิ้มและเอ่ยตอบ “ใต้เท้าจิน ไม่ต้องกังวล วันนี้ข้าไม่เห็นอะไรเลย”
“พอได้ฟังไท่จื่อเฟยเอ่ยเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกโล่งใจมากเลยเจ้าค่ะ” อวี้จิ่นหัวเราะทั้งน้ำตา
องค์หญิงยังคงหลับอยู่ ไท่จื่อเฟยจึงไม่อาจรบกวนได้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจกลับมาในวันอื่น
นางกล่าวลากับอวี้จิ่น ขณะนางกำลังเดินผ่านห้องขององค์หญิง ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหว
ตอนแรกนางคิดว่าองค์หญิงตื่นแล้ว เลยกะว่าจะเข้าไปข้างในเพื่อแสดงความเคารพต่อองค์หญิง แต่จู่ๆ หลงอีก็กระโดดลงมาจากคานแล้วขวางประตูไว้