ตอนที่ 556 นี่เจ้าชมหรือดูหมิ่นกันแน่ ?
เมื่อสตรีสูงศักดิ์เข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ยากจนแล้ว การใช้ชีวิตหรือวิธีจัดการปัญหาก็จะมีความแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ความสุขมีน้อยลงเพราะส่วนใหญ่จะโดนทรมานจนกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมต่อกัน ความกังวลของฮองเฮาเหนียงเหนียงจึงใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว !
หมินหวางเฟยรู้ว่าฮองเฮากังวลแทนเว่ยเอ๋อร์จากพระทัยจริง นางจึงเล่าชาติกำเนิดของเจียงโม่หานอย่างละเอียด “คู่หมั้นของเว่ยเอ๋อร์เป็นเพื่อนบ้านกับแม่เลี้ยงของนาง ในบ้านของเด็กคนนั้น มี…มารดาแค่คนเดียว นางหนีภัยสงครามมาที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวเหมือนบ้านตระกูลหลิน ทั้งสองครอบครัวรักใคร่กันเหมือนครอบครัวเดียวกัน
มารดาของคู่หมั้นเว่ยเอ๋อร์ก็ดูแลกันมาตั้งแต่เด็ก เสื้อผ้าและรองเท้าของเว่ยเอ๋อร์ก็มีนางเป็นคนตัดเย็บให้ทั้งนั้น ทั้งสองรักกันเหมือนแม่ลูกแท้ ๆ จนแม้แต่แม่เลี้ยงเว่ยเอ๋อร์ก็ยังเห็นแล้วเกิดความอิจฉาเพคะ ! ”
หมินหวางเฟยหยุดตรัส หลังจิบชาผลไม้ให้ริมฝีปากชุ่มชื่นแล้วก็ตรัสต่อ “คู่หมั้นเว่ยเอ๋อร์ก็มีแววเป็นคนมีความสามารถเช่นกัน…จริงสิ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ฮองเฮาสังเกตเห็นหรือเปล่า ตอนเว่ยเอ๋อร์และองค์ชายเจ็ดสนทนากัน คนที่ยืนอยู่ข้างนางและดูหล่อเหลาสะดุดตามากที่สุดคนนั้นเองเพคะ ! ”
หล่อเหลาที่สุด ? จากท่าทีและน้ำเสียงของหมินหวางเฟยแล้ว ฝูเหรินแต่ละคนจึงรู้ได้ทันทีว่านางพอใจกับคู่หมั้นขององค์หญิงเว่ยเว่ยมาก ดูท่าแล้วเรื่องถอนหมั้นเพื่อจะได้คว้าโอกาสไว้เองคงไม่เกิดขึ้นแล้ว ฝูเหรินแต่ละคนจึงรู้สึกเสียดายขึ้นมาทันที
ฮองเฮาพยักดวงพักตร์ “อ้อ คนที่ใส่ชุดสีขาวนวลจันทร์และดูสะดุดตากว่าเจ้าเจ็ดน่ะหรือ ? ดูท่าทางอายุยังไม่มาก ! ”
หมินหวางเฟยตรัสต่อ “อายุมากกว่าเว่ยเอ๋อร์หนึ่งปีเพคะ ! ”
เจี้ยหยวนหนุ่มน้อยที่มีวัยเพียง 16 ปี แถมยังได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ หน้าตาก็ดี…ถ้าเด็กคนนั้นสอบเป็นจิ้นซื่อได้ ก็จะต้องกลายเป็นลูกเขยชั้นดีของบรรดาฝูเหรินในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
แม้องค์หญิงเว่ยเว่ยจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตำหนักหมินอ๋อง แต่เนื่องจากเติบโตมาในชนบท ด้วยฐานะของนางแล้วคู่ที่เหมาะสมจะแต่งกับนางก็ต้องไม่ใช่บุตรชายคนโตของตระกูลแน่นอน หากแต่งกับบุตรคนรองแล้วอนาคตก็ไม่แน่ว่าจะสู้เจี้ยหยวนผู้นี้ได้ หากนางอยากถอนหมั้นก็คงเป็นเรื่องแปลกเสียมากกว่า !
ทางฝั่งนี้ องค์หญิงเจียวเจียวกำลังจับมือหลินเว่ยเว่ยแล้วเล่าถึงเหตุการณ์ล่าสัตว์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ รวมถึงวีรกรรมที่พระองค์ล่ากวางน้อยได้หนึ่งตัว “พี่เว่ยเว่ย หากท่านอยู่ด้วยในตอนนั้นก็คงดี ได้ยินว่าตอนนั้นมีคนเกือบต้องบาดเจ็บเพราะหมีควายด้วยล่ะ ถ้าท่านอยู่ด้วยก็จะต้องฆ่าหมีควายตัวนั้นตายได้ภายในฝ่ามือเดียวแน่นอน ! ”
ตั้งแต่หลินเว่ยเว่ยยกรถม้าด้วยมือข้างเดียวในครั้งนั้นแล้ว องค์หญิงเจียวเจียวก็หลงใหลในตัวนางมาก วันที่กองทัพติงเป่ยกลับมาพร้อมชัยชนะ เพราะองค์หญิงเจียวเจียวมีอาการไอ หมู่โฮ่วจึงกักตัวเอาไว้ในวัง
ตอนได้ยินว่าหลินเว่ยเว่ยจัดการห่าฝนธนูด้วยตัวคนเดียวและปาลูกธนูกลับไปโดนมือสังหาร องค์หญิงเจียวเจียวก็นึกเทิดทูนนางราวกับเทพเจ้า…ยังจะมีใครร้ายกาจไปกว่าพี่เว่ยเว่ยได้อีก ? แม้แต่พวกบุรุษหยาบกระด้างก็คงยอมรับความพ่ายแพ้ ? พี่เว่ยเว่ยเป็นความภาคภูมิใจของสตรีอย่างแท้จริง !
มุมปากของสตรีที่อยู่ในนั้นอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้น พวกนางรีบก้มหน้าลงทันที…องค์หญิงเจียวเจียว นี่ท่านกำลังชมองค์หญิงเว่ยเว่ยหรือดูหมิ่นนางกันแน่ ? คนที่จะฆ่าหมีควายตายได้ด้วยฝ่ามือเดียว บนโลกนี้คงมีแค่มนุษย์โอสถแห่งแดนใต้เท่านั้น ? ตรัสถึงเด็กสาวที่ดูอ่อนหวานคนหนึ่งแบบนี้ จะดีจริงหรือ ?
ในบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ที่แสนจะแปลกหน้าเหล่านี้ หลินเว่ยเว่ยเห็นใบหน้าที่คุ้นตาอยู่ห่างออกไป…ติงหลิงเอ๋อร์ เด็กสาวคนนั้นนั่งอยู่ในตำแหน่งห่างไกลนางที่สุด รอบกายไม่มีใครสนทนาด้วยสักคน แต่ก็ไม่น่าแปลกเพราะสตรีที่นั่งอยู่เหล่านี้ หากไม่ใช่เชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ก็เป็นบุตรีขุนนางขั้นหนึ่งหรือขั้นสองกันทั้งนั้น บุตรสาวขุนนางขั้นสี่จึงไม่มีทางได้มาร่วมวงกับพวกนาง !
เด็กโง่ เด็กสาวคนอื่นพากันเบียดเข้าหาองค์หญิงทั้งสอง แต่นางกลับนั่งทิ้งระยะห่างแล้วมองตาปริบ ๆ…ในสายตาของหลินเว่ยเว่ยเห็นนางเหมือนเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่ง
หลินเว่ยเว่ยโบกมือเรียกนาง “น้องหลิงเอ๋อร์ มานี่ มาชิมชาผลไม้ที่ข้าทำ ! มีรสหลานเหมยที่เจ้าชอบด้วยล่ะ ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์ดีใจขึ้นมาทันที ภายใต้สายตาประหลาดใจของคุณหนูทั้งหลาย นางพยายามรักษาฝีเท้าให้มั่นคงที่สุดแล้วเดินมาหยุดตรงเบื้องหน้าของหลินเว่ยเว่ยและองค์หญิงเจียวเจียว ก่อนจะโน้มตัวคารวะ “หลิงเอ๋อร์ถวายพระพรองค์หญิงทั้งสอง…”
องค์หญิงเจียวเจียวจำได้ว่าเด็กคนนี้ไปที่วัดต้าเจวี๋ยด้วยกัน จึงตรัสด้วยรอยยิ้ม “พอแล้ว เลิกคารวะกันไปมาได้แล้ว ข้ากับพี่เว่ยเว่ยไม่ชอบมารยาทจอมปลอมพวกนั้น นั่งลงสิ…พี่เว่ยเว่ย ชาผลไม้ที่มีรสหวานและกลิ่นหอมของแอปเปิล ท่านก็ทำเองหรือ ? ”
“ใช่ ! ชาผลไม้เหล่านี้เป็นสูตรที่ข้าได้มาอย่างบังเอิญ ไม่เพียงอร่อยแต่ยังดีต่อสุขภาพ อย่างเช่นชาแอปเปิลผสมน้ำผึ้งของเจียวเจียวจะช่วยลดน้ำหนัก บรรเทาอาการเหนื่อยล้าและทำให้ผิวมีเลือดฝาด ส่วนรสหลานเหมยมีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา เสริมความจำ ปรับสมดุลร่างกายและมีภูมิคุ้มกันช่วยให้เราเจ็บป่วยได้ยาก ! ”
หลินเว่ยเว่ยคาดเดาถึงประสิทธิภาพโดยพิจารณาจากผลไม้ที่ใช้ในชาและสิ่งสำคัญที่สุดยังเป็นขั้นตอนการทำ เนื่องจากใช้น้ำพุวิญญาณจึงเป็นธรรมดาที่ผลลัพธ์จะเพิ่มเป็นเท่าตัว !
“ได้ยินว่าองค์หญิงเว่ยเว่ยเชี่ยวชาญการทำอาหารที่มีสรรพคุณทางยา ปกติหม่อมฉันก็สนใจอาหารในการดูแลสุขภาพเช่นกัน ไม่ทราบว่าจะทูลขอคำชี้แนะจากองค์หญิงได้บ้างหรือไม่เพคะ ? ” คนที่พูดคืออันยู่ชิงบุตรสาวคนโตของอันหยางปั๋ว คุณหนูทั้งหลายจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะพวกนางกำลังคิดจะชวนองค์หญิงเว่ยเว่ยสนทนาเรื่องอาหารที่มีสรรพคุณทางยาเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าจะโดนนางพูดตัดหน้า
หลินเว่ยเว่ยทำหน้าเศร้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษ “ต่อจากนี้อีกระยะหนึ่ง ข้าอาจจะไม่มีเวลาว่างแล้ว เพราะฟู่หวางบังคับให้ข้าเรียนรำหอกทั้งสามสิบหกกระบวนท่าของตระกูลจ้าว แถมยังตรัสว่าในฐานะบุตรหลานสกุลจ้าว จะใช้หอกของตระกูลไม่เป็นได้อย่างไร ? ”
องค์หญิงเจียวเจียวมีดวงเนตรเป็นประกาย นางรีบตรัสขึ้นมาว่า “พี่เว่ยเว่ย ท่านช่วยข้าถามหมินอ๋องให้หน่อย ว่าข้าไปเรียนด้วยคนได้หรือเปล่า ? ”
หลินเว่ยเว่ยเอ่ยพร้อมเผยรอยยิ้มบนใบหน้า “เจ้าจะเรียนศาสตร์เหล่านี้ไปเพื่ออะไร ? เอาไว้รังแกเหล่าพี่น้องเชื้อพระวงศ์ของเจ้าหรือ ? ”
องค์หญิงเจียวเจียวเขย่าแขนนางด้วยความออดอ้อน “ข้าชอบศิลปะการต่อสู้ แต่องครักษ์ที่สอนข้ายังไม่ทุ่มเทมากพอ ชอบทำแบบขอไปทีตลอด ! ข้าอยากคารวะหมินอ๋องเป็นอาจารย์ตั้งนานแล้ว แต่ฟู่หวงชอบตำหนิว่าข้าสร้างปัญหา ! ”
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแทนไม่ได้หรอก ขอแค่ฮ่องเต้ทรงอนุญาต หากเจ้าจะตามมาเรียนด้วยก็ไม่มีใครห้ามได้แล้ว” ดังนั้นองค์หญิงน้อยอย่าวางลำดับความสำคัญสลับกัน ช่วยจัดการผู้บัญชาการใหญ่สุดให้ได้ก่อน…แล้วค่อยมาว่ากัน !
เมื่อคุณหนูเหล่านั้นเห็นอันยู่ชิงโดนปฏิเสธ แววตาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันทันที แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกดีใจที่ตนไม่ได้พูดออกมาด้วย ขณะฟังองค์หญิงน้อยทั้งสองสนทนาเรื่องฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างสนุกสนาน พวกนางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี ท่านหญิงและเหล่าคุณหนูที่เกิดในตระกูลนักรบพลางครุ่นคิดว่าจะเรียนศิลปะการต่อสู้สักสองสามกระบวนท่าจากคนในครอบครัวดีหรือเปล่า เพราะอย่างน้อยก็จะได้มีหัวข้อมาสนทนากับพวกองค์หญิง !
งานเลี้ยงต้อนรับเป็นไปอย่างคึกคัก โดยเฉพาะหลังจากหลินเว่ยเว่ยถูกเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิงแล้ว สตรีสูงศักดิ์ที่เปี่ยมความทะเยอทะยานเหล่านั้น ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไรแต่บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสุภาพ แน่นอนว่าไม่ได้ล้มเลิกความคิดที่จะเข้ามาผูกมิตรกับหลินเว่ยเว่ย แค่ปกปิดมันไว้ก่อนเท่านั้น
ตกเย็น หมินหวางเฟยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทมด้วยความเกียจคร้านพร้อมถามนางด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้สนุกหรือเปล่า ? ได้สหายใหม่มาบ้างหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยกะพริบตากลมโตแล้วทูลตอบด้วยรอยยิ้ม “เหล่าคุณหนูที่มาร่วมงานในวันนี้เป็นดั่งบุปผางามที่บานสะพรั่ง ลูกมองแล้วก็ตาลายไปหมด คนที่พอจะจำชื่อและหน้าตาได้จึงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ! หมู่เฟย นี่ลูกโง่เขลาเกินไปหรือเปล่าเพคะ ? ”