บทที่ 432 หลงอี (1)
แม้จะบอกว่าหลังจากไท่จื่อเฟยออกจากเรือนถนนจูเชวี่ยแล้วก็มุ่งหน้ากลับไปยังวังบูรพาทันที ทว่าออกมาได้เพียงครึ่งทาง ล้อของรถม้าก็มาติดหล่ม
ถึงยามฤดูใบไม้ร่วงจะอากาศหนาวเล็กน้อย แต่ยามตะวันลอยเด่นเช่นนี้ ภายในห้องโดยสารนั้นร้อนอบอ้าวเหลือทน
“ไท่จื่อเฟย ตรงนั้นมีโรงน้ำชาอยู่ ไปนั่งรอที่โรงน้ำชาก่อนเถิดเพคะ” ชุนอิ๋งเอ่ย
“ก็ดี” ไท่จื่อเฟยลูบแก้มของตัวเอง ยาทาแผลขององค์หญิงซิ่นหยางได้ผลดีจริงๆ ใบหน้าของนางหายบวมเป็นปลิดทิ้ง แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงใช้ผ้าคลุมหน้าเช่นเดิม
ชุนอิ๋งไปถึงหน้าร้านก่อนจะจองห้องส่วนตัวหรูหราบนชั้นสอง
ยามไท่จื่อเฟยและชุนอิ๋งเดินไปตามโถงทางเดินบนชั้นสอง ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาก่อนจะลากตัวไท่จื่อเฟยเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
ใบหน้าของไท่จื่อเฟยซีดเผือด หายใจเฮือก ก่อนจะร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
“ข้าเอง”
คนผู้นั้นประคองรอบเอวของนาง เรียวนิ้วเลิกผ้าคลุมหน้าของนางที่ปิดบังใบหน้าของนางไว้
ไท่จื่อเฟยมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ผลักเขาออกก่อนจะผละตัวถอยห่างจากอ้อมกอดของเขา
หนิงอ๋องไม่ได้ขุ่นเคืองที่ถูกอีกฝ่ายปัดป้อง ริมฝีปากยกยิ้ม เดินมานั่งลงบนเก้าอี้พลางชี้ไปที่เก้าอี้ข้างกายตัวเองก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่นั่งหรือ”
ไท่จื่อเฟยเหลียวไปหาชุนอิ๋ง แต่น่าเสียดายที่ประตูห้องนั้นปิดสนิทมาตั้งแต่ต้น
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้ใดเป็นคนปิด
ไท่จื่อเฟยมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา “นี่เจ้าติดสินบนชุนอิ๋งรึ”
ครั้งแรกที่หลังภูเขาจำลอง เขาวางยาสลบชุนอิ๋งหลังจากนั้นก็เป็นพยานเท็จให้กับเรื่องของเวินหยาง นางคิดว่าเขากำลังข่มขู่ชุนอิ๋งเสียอีก
หนิงอ๋องผายมือยักไหล่ “ข้ามิได้ติดสินบนนาง นางเต็มใจทำงานให้ข้าต่างหาก หากไม่เชื่อเจ้าก็เรียกนางเข้ามา ถามนางต่อหน้าก็ได้”
ไท่จื่อเฟยแค่นหัวเราะ “อย่างนางน่ะหรือจะกล้าพูดความจริง”
ชายผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่นางยังรู้สึกหวาดกลัว สาวใช้ตัวน้อยอย่างชุนอิ๋งจะไปเหลือหรือ
หนิงอ๋องมองนางด้วยสายตาหยั่งเชิง “เจ้าไม่มานั่งเสียที รอให้ข้าอุ้มเจ้ามานั่งรึ”
แววตาเยาะเย้ยแวบมาในนัยน์ตาของไท่จื่อเฟย “ทำไมรึ หนิงอ๋องเฟยให้ท่านไม่พออย่างนั้นหรือ”
สีหน้าของหนิงอ๋องพลันเปลี่ยน ความเย็นชาฉายผ่านใบหน้านั้น “เรื่องระหว่างเรา อย่าเอานางมาเกี่ยวข้องด้วย”
หนังหัวของไท่จื่อเฟยชาวาบ มองเขาด้วยสายตาแสนเฉยชาและแข็งกร้าว ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
หนิงอ๋องลดมือลงแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ เหลือบตามองพื้นที่ว่างข้างกาย “มานั่งนี่”
ไท่จื่อเฟยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนจะเดินเข้าไปแล้วนั่งลง
สายตาของหนิงอ๋องกวดมองข้อมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อกว้างของนางพลางเอ่ย “บาดเจ็บรึ”
ไท่จื่อเฟยไม่ตอบ
หนิงอ๋องคว้าข้อมือของนางขึ้นมา ก่อนจะวางลงบนฝ่ามือของตนอย่างเบามือด้วยความทะนุถนอม เห็นว่านางทายาแล้วจึงเอ่ยถาม “ไปทำอะไรมารึ”
ไฟโทสะของไท่จื่อเฟยปะทุขึ้นในชั่วพริบตา นางเอี้ยวตัวหนี สองตามองเขาอย่างแค้นเคือง “ไปทำอะไรมาอย่างนั้นรึ เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือว่าไปอะไรมา เช่นนั้นก็ดี ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ นี่คือฝีมือของลูกสาวจวนติ้งอันโหว! ใช่แล้ว คนที่เติบโตในบ้านนอกคอกนาผู้นั้น คนที่ทำให้ข้าต้องซวยมาไม่รู้กี่หนแล้ว หมอกู้ที่ไทเฮาแสนโปรดปรานอย่างไรเล่า! นางสงสัยว่าข้าเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเซียวเหิง! เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้บาดเจ็บ! ข้าไม่ได้บาดเจ็บแค่ที่ข้อมือ! แต่ข้าเจ็บไปทั้งตัว! ในเมื่อเจ้ามีปัญญาถามซักไซ้ข้า แล้วมีปัญญาแก้แค้นให้ข้าหรือไม่”
หนิงอ๋องนิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “เจ้าจะไปเอาเรื่องเอาราวกับเด็กคนหนึ่งทำไม”
ไท่จื่อเฟยคิ้วขมวด “เด็กอย่างนั้นหรือ”
หนิงอ๋องหัวเราะ “นางยังเด็ก หากจะไม่ประสาบ้างก็ธรรมดา ข้าจะคลายความสงสัยในตัวเจ้าให้เอง ไม่ให้นางสงสัยเจ้าได้อีก”
ไท่จื่อเฟยโมโห “เดิมทีก็ไม่ใช่ฝีมือข้าอยู่แล้ว! เป็นฝีมือเจ้าต่างหาก”
หนิงอ๋องหุบยิ้ม ลูบข้อมือนางเบาๆ พลางเอ่ย “เอาละ เอาละ เป็นเพราะข้าเอง ข้าทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนเอง”
ไท่จื่อเฟยกระชากมือกลับอย่างหงุดหงิด “หากเจ้าจะทำให้ข้าพอใจ ก็ต้องฆ่านางเท่านั้น!”
หนิงอ๋องดึงข้อมือนางกลับมาอีกครั้ง “นี่เจ้าพูดเพราะโมโหใช่หรือไม่ อาการป่วยของหนิงอ๋องเฟยต้องพึ่งพานาง ไทเฮาเองก็ต้องการนาง”
ไท่จื่อเฟยกัดริมฝีปาก “ใช่สิ พวกเจ้าล้วนแต่ต้องการนางทั้งนั้น! ไม่มีใครต้องการข้าเลยสักคน! เช่นนั้นเจ้าจะมาหาข้าทำไม! เจ้ากลับไปเป็นหนิงอ๋อง ข้าก็จะเป็นไท่จื่อเฟยของข้า ไม่ต้องมาก้าวก่ายเรื่องของกันและกัน! จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก”
“นี่โกรธจริงๆ หรือนี่” หนิงอ๋องใช้มืออีกข้างหนึ่งกุมข้อมือของนางไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งลูบไล้ตามลำคอของนาง “เว้นเสียแต่จะฆ่านาง เจ้าอยากจะทำอะไร ข้าก็จะว่าตามเจ้าทั้งหมด”
ไท่จื่อเฟยขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้ว่าเพราะต่อต้านสัมผัสของเขาหรือว่าต่อต้านคำพูดของเขากันแน่ “ห้องเก็บของของเจ้าถูกยกเค้าข้าวของออกไปหมดไม่ใช่หรือ เจ้าไม่คิดว่าเป็นฝีมือนางหรืออย่างไร” เหตุการณ์ที่ห้องเก็บของของหนิงอ๋องถูกคนยกเค้าข้าวของออกไปจนหมดนั้นไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ แต่ก็มีไม่กี่คนที่ล่วงรู้เรื่องนี้
หนิงอ๋องเอ่ย “เป็นฝีมือนาง แต่ก็เป็นเพราะข้าหาเรื่องนางก่อน เผาโรงเก็บยาของนางก่อน ตอนนี้ข้ากับนางเสมอกันแล้ว”
ไท่จื่อเฟยแค่นหัวเราะ “โรงเก็บยาซอมซ่อเช่นนั้นกลับต้องชดใช้ด้วยห้องเก็บของล้ำค่าของหนิงอ๋อง ท่านหนิงอ๋องช่างใจกว้างเสียจริง!”
หนิงอ๋องมองนางอย่างขำขัน “ขี้เหนียวเสียจริง ก็แค่ห้องเก็บของเล็กๆ ไม่มีราคาค่างวดอันใด”
นั่นสินะ ก็แค่ลูกสาวจวนโหวคนหนึ่ง ไม่ได้ยิ่งใหญ่คับฟ้าเสียหน่อย เหตุใดนางต้องเจ้าคิดเจ้าแค้นเพียงนั้นด้วย
ใช่ว่านางจะไม่เคยพบเจอคนร้ายกาจเช่นนี้มาก่อน นางรู้ดีกว่าผู้ใดว่าคนเรานั้นเฉิดฉายเพียงครู่นั้นง่ายแสนง่าย แค่คนที่เฉิดฉายได้ทุกเมื่อเชื่อยามต่างหากคือของจริง
นางเป็นถึงไท่จื่อเฟย คือฮองเฮาแห่งแคว้นเจาในวันหน้า คือแม่แห่งแผ่นดิน ยศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง
แต่เพราะเหตุใด คนที่มีเหตุมีผลมาโดยตลอดอย่างนางกลับไม่อาจสงบจิตใจได้เลย
ไท่จื่อเฟยสูดหายใจลึกพลางเอ่ย “วันนี้เจ้าเล่นงานสามีของนาง พวกเจ้าไม่ได้เสมอกัน นางต้องมาเอาคืนเจ้าเป็นแน่”
หนิงอ๋องเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนอันใด “นางเล่นงานข้าไม่ได้หรอก”
ไท่จื่อเฟยมองหนิงอ๋องด้วยความสงสัย “เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงได้ปล่อยนางเลยตามเลยมาตลอดอย่างนั้นหรือ”
หนิงอ๋องเลิกผ้าคลุมหน้าของนางขึ้น เรียวนิ้วไล้เกลี่ยดวงแก้มของนางแผ่วเบา “หลินหลัง อย่างี่เง่า”
ไท่จื่อเฟยเบือนหน้าหนี หลบฝ่ามือของเขา เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้งี่เง่า”
รอยยิ้มของหนิงอ๋องจางหายไป บีบคางมนของนาง บังคับให้นางเหลียวหน้ากลับมา แววตาอ่อนโยนจางหายไป แทนที่ด้วยความเย็นชาและเจ้าเล่ห์ “เช่นนั้นก็ดี เจ้าอยากฆ่านาง เพราะว่านางทำให้เจ้าไม่พอใจ หรือเพราะว่านางแต่งงานกับเซียวเหิงกันแน่”
ไท่จื่อเฟยแข็งทื่อไปทั้งร่าง
…
ไท่จื่อเฟยกลับมายังวังบูรพา ไท่จื่อเดินเข้ามารับด้วยสีหน้าร้อนใจ “หลินหลัง เจ้าไปไหนมา เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของเจ้า”
อันที่จริงบนใบหน้าของไท่จื่อเฟยนั้นไม่มีร่องรอยใด แต่ไท่จื่อยังคงมองเห็นความผิดปกติ บนโลกนี้คงมีชายผู้นี้เพียงคนเดียวที่เป็นห่วงเป็นใยนางถึงเพียงนี้
ไม่รอให้ไท่จื่อเฟยตอบ ไท่จื่อก็เลิกแขนเสื้อนางขึ้น ก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจ “มือเจ้า!”
ไท่จื่อเฟยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หม่อมฉันไม่ทันระวังจึงหกล้มเพคะ”
“หกล้มที่ใดกัน” ไท่จื่อถามด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจ
ไท่จื่อเฟยยิ้มบาง “ที่เรือนองค์หญิงซิ่นหยางเพคะ”
“เจ้าไปเยี่ยมท่านป้ามาหรือ” ไท่จื่อเอ่ยเสียงพึมพำ “เหตุใดเจ้าถึงไปหาท่านป้าอีกแล้ว ข้าบอกให้เจ้ารักษาตัวอยู่ที่วังบูรพามิใช่หรือ เจ้าเจ็บหรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางคือน้องสาวแท้ๆ ของฮ่องเต้ ก่อนนางจะแต่งงานออกไป ไท่จื่อเรียกนางว่าท่านอาหญิง
หลังจากนี่นางแต่งงานกับเซวียนผิงโหว เซวียนผิงโหวก็เป็นลุงแท้ๆ ของไท่จื่ออีกคน ไท่จื่อจึงเปลี่ยนมาเรียกนางว่าท่านป้า
ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ท่านลุงยังไม่กลับเมืองหลวง ท่านป้าอยู่ตัวคนเดียว หม่อมฉันเป็นห่วงนาง ยาก็ทาแล้ว ไม่เจ็บแล้วเพคะ”
ไท่จือยกมือนางขึ้นมา ก่อนจะเบาที่รอยแผลด้วยความปวดใจจากนั้นจึงเอ่ยต่อ “เจ้าเอาแต่คิดถึงคนอื่น เมื่อใดเจ้าจะคิดถึงตัวเองบ้าง ข้าออกไปตามหาเซียวลิ่วหลังข้างนอกทั้งคืน เหนื่อยแทบตาย กลับมายังไม่เจอเจ้าอีก ข้าร้อนใจยิ่งนัก”
ไท่จื่อเฟยสีหน้ารู้สึกผิด “หม่อมฉันไม่ดีเองเพคะ คราวหน้าหม่อมฉันจะระวัง”
ว่ากันตามตรงไท่จื่อเฟยแห่งตำหนักบูรพานั้นไม่ได้มีอิสระเช่นเหล่าสนมนอกวัง แต่ไท่จื่อกับฝ่าบาทนั้นเชื่อใจนาง จึงให้สิทธินางออกจากวังได้อย่างอิสระ
“ยังไม่มีข่าวคราวของเซียวลิ่วหลังอีกหรือ” นางแสร้งถามอย่างไม่ใส่ใจ
ไท่จื่อมัวแต่สนใจบาดแผลของนาง ไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของนางที่เปลี่ยนไป เขาตอบ “ยังน่ะสิ ทหารรักษาพระองค์คาดว่าเซียวลิ่วหลังถูกคนพาตัวกลับมายังเมืองหลวงแล้ว ในวันนั้นคนที่เข้าเมืองมาโดยไม่มีการตรวจมีเพียงเสนาบดีกรมโยธากับท่านป้า แต่พวกเขาทั้งสองคนบอกว่าไม่เห็นเซียวลิ่วหลัง”
“ท่านป้าอย่างนั้นหรือ”