บทที่ 543 แสร้งว่าจน

บทที่ 543 แสร้งว่าจน

สะใภ้ทั้งสามและสามีของพวกเธอเดินทางไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็พบกับบ้านเถาฮวาที่จัดเป็นระเบียบเรียบร้อย

หลังจากถามก็รู้ว่าพวกเขาจะไปบ้านน้องสาวกันวันนี้

เถาฮวาสวมเสื้อโค้ตขนสัตว์ตัวใหม่ ความลำบากยากแค้นในตอนนั้นไม่หลงเหลืออีกแล้ว และตอนที่ยืนอยู่ข้างเสิ่นจื่อเจินเธอดูตัวเล็กลงถนัดตา

ไม่ต้องพูดถึงเด็ก ๆ เลย แต่ละคนช่างโดดเด่น

หวังเซียงฮวาจำได้ว่าตอนพี่สาวคนนี้แต่งงาน เธอเป็นเหมือนกับดอกไม้งามของหมู่บ้านจริง ๆ จากนั้นพวกเราก็จำได้แค่ความตรากตรำของเธอ

แต่ตอนนี้เถาฮวาได้แต่งงานใหม่กับเสิ่นจื่อเจิน มีชีวิตที่ดีขึ้น เหมือนกลับได้ย้อนกลับไปตอนยังสาวเลย

อีกฝ่ายคงรับรู้ถึงสายตาจ้องมองมา ถึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่ ทำไมเอาแต่มองฉันแบบนั้นจ๊ะ?”

เจ้าตัวเอ่ยด้วยความเคอะเขิน

“น้องเถาฮวาสาวขึ้นทุกวันเลยนะเนี่ย!” หวังเซียงฮวาเอ่ยติดตลก

เพราะคำพูดนั้นเลยทำให้สองสะใภ้ที่เหลือมองไปที่เถาฮวาเช่นกัน จริงด้วย เด็กกว่าก่อนหน้านี้เยอะเลย

“ก็เพราะฉันมีความสุขน่ะสิ!” คนโดนชมยิ้ม แววตาและใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข

ส่วนทางเสี่ยวเถียนที่เดินตีคู่กับมาเสี่ยวเหมยนั้น ด้านข้างมีเสี่ยวเหลียงและเสี่ยวกังคุ้มกันอยู่สองข้าง เดินฟังเด็กหญิงทั้งสองเล่าเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย ไม่ได้รำคาญและก็ไม่ได้ขัดด้วย

พวกเขาเดินมาจนถึงทางแยก ก่อนจะไปกันคนละเส้นทาง

เหล่าซานพาภรรยาและลูกเดินไปอย่างเชื่องช้า

ที่จริงก็ไม่อยากไปเร็วหรอก แต่ถ้าไปช้าก็โดนไม่พอใจอีก

ตอนเรามาถึง เตาเอยอะไรเอยเย็นหมดแล้ว แถมยังไม่คิดออกมาดูสักนิดว่าลูกสาวมาหา เพราะนั่นหมายความว่าเราจะต้องต้อนรับพวกเขา

ขนาดเห็นพวกเราสามคน ตาเหลียงยายเหลียงยังมองมาด้วยสายตาไม่พอใจ เหล่าซานวางของขวัญไว้บนโต๊ะด้วยท่าทางนิ่งสงบ ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงเตาไม่พูดไม่จา

ชายชรามองของพวกนั้นก่อนจะร้องเหอะ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาไม่พอใจ

หญิงชราเอ่ยออกมาตรง ๆ “อะไรเนี่ย? ไปหาเงินที่เมืองหลวงเป็นกอบเป็นกำแท้ ๆ แต่เอาของกลับมาแค่เนี้ย? ไม่อายชาวบ้านบ้างหรือ?”

วันนี้ยายเหลียงคิดจะวางอำนาจใส่สามีภรรยาคู่นี้ และเรื่องที่ทั้งสองหาเงินได้มหาศาลเป็นที่เลื่องลือไปสามบ้านแปดบ้านด้วยซ้ำ คงจะดีถ้าเอาเงินพวกนั้นมาคอยส่งให้พวกลูกชายได้

เหลียงซิ่วได้ยินสิ่งที่มารดาพูดสีหน้าพลันเปลี่ยนไปขมขื่น อยากจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น

ไม่ได้เจอมาครึ่งปีกว่า ไม่คิดจะถามไถ่กันบ้างเลยหรือ?

เสี่ยวเถียนจับมือแม่ พลางปลอบโยนเสียงเบา

“หนูเพิ่งกลับมาก็ได้ยินว่าคุณตาคุณยายอยู่สุขสบายดี หนูยังไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ เพราะถ้าสภาพความเป็นอยู่ดีจริง ลูกสาวพาลูกหลานมาหาจะไม่ให้กินข้าวสักหน่อยหรือคะ?”

เด็กหญิงพูดลิ้นรัว และไม่รอให้ยายได้พูดก็เอ่ยต่อทันที

“แต่พอได้ยินคุณยายพูดแบบนี้หนูก็เชื่อเลย ของที่เราเอามาวันนี้ราคาเกือบสิบหยวนเชียวค่ะ แต่คุณตาคุณยายกลับไม่ชอบ เห็นกันชัด ๆ เลยว่า อยู่ดีกินดีมากจริง ๆ!”

จบสองประโยค เสี่ยวเถียนเงยหน้าขึ้นมองพ่อกับแม่ “พ่อ แม่ ในเมื่อตากับยายไม่ชอบของที่เราเอามาให้ งั้นก็เอากลับกันค่ะ ขนาดหนูอยากกินบ้างยังไม่ได้กินเลย”

พอผู้อาวุโสทั้งสองได้ยินว่าเสี่ยวเถียนจะเอาของขวัญกลับ ก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา

“ยัยเด็กนี่ ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเลยสักนิด คิดจะฉกของคนเฒ่าคนแก่ นั่นเป็นของที่แม่แกเอามาแสดงความกตัญญูต่อฉัน มันคือของที่แกควรเอากลับไปหรือไง?”

เด็กสาวกลอกตาโดยไม่พูดอะไร ก็รู้ตัวนี่

“หรือยายชอบคะ? ถึงคุณจะไม่ชอบแต่หนูชอบค่ะ!”

เสี่ยวเถียนเอ่ยจริงจัง เพราะยังไงก็ไม่มีใครสงสัยอยู่แล้วว่าเธอชอบมันจริง ๆ หรือเปล่า

ยายเหลียงรู้สึกรำคาญหลานสาวคนนี้จนไม่อยากเห็นหน้า ไม่รู้บ้านนั้นมันคิดอะไรอยู่ถึงได้ปฏิบัติต่อนังเด็กนี่อย่างกับสมบัติล้ำค่า

หญิงชราเมินเฉยแล้วหันไปคุยกับเหลียงซิ่วแทน “ส่วนแกนังหมาป่าตาขาว ถ้าไม่อยากได้งานแล้วทำไมไม่บอกคนที่บ้านเขาบ้าง?”

พูดเรื่องนี้ทีไรแกปวดใจทุกที

งานดีแท้ ๆ ไม่คิดจะบอกกันบ้างเลย

เหลียงซิ่วรู้อยู่แล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องคุยเรื่องนี้อยู่ดี

“เด็ก ๆ กำลังจะไปเรียนในเมืองหลวงค่ะ เราต้องใช้เงิน!” น้ำเสียงเอ่ยตอบเย็นเฉียบ

“จะไปเรียนมันทำไม เงินพวกนั้นเอามาซื้อข้าวให้หลานชายแกกินไม่ดีกว่าเหรอ?” ยายเหลียงไม่พอใจมาก

ไม่รู้จะคอยดูแลลูกสาวไปทำไม มีประโยชน์ตรงไหนกัน?

เหลียงซิ่วหมดความอดทน แล้วหลานชายที่ว่ามันเกี่ยวกับเธอตรงไหนหรือ? เธอมีลูกสามคนนะ

“ไอ้คนเลี้ยงเสียข้าวสุก ใจดำอำมหิต ถ้ารู้เร็วกว่านี้คงขายแกทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว…”

เหลียงซิ่วทนฟังต่อไปไม่ไหว เธอลุกพรวดทันที “พ่อ แม่ ฉันถือว่าฉันมาเยี่ยมแล้ว ที่บ้านยังมีเรื่องต้องจัดการอยู่ คงอยู่นานไม่ได้ ขอตัวกลับก่อนค่ะ!”

เธอคิดจะไป แต่ยายเหลียงยังไม่บรรลุเป้าหมายของตัวเองเลย จะปล่อยไปได้ยังไงล่ะ?

แกรีบตามไปจนถึงลานบ้าน ก่อนจะคว้าเสื้อเอาไว้

“แกทำให้ฉันต้องลุกขึ้นยืนเลยนะ แกจะไปได้ก็ต่อเมื่อเอาเงินมาให้ฉันก่อน! ตัวเองมีชีวิตสุขีอยู่ในเมืองแต่พ่อแม่แกกำลังจะตายเนี่ย!”

เสี่ยวเถียนได้ยินคำพูดไร้ยางอายนั่นก็ร้องด้วยความตกใจ “คุณยาย คุณตาหมายความว่าลุงกับป้าไม่ให้ข้าวกินหรือคะ?”

เพราะยังยืนอยู่ตรงลานบ้าน คำพูดจึงดังทะลุออกมาลั่นและคนที่อยู่ข้างนอกนั่นก็ได้ยินกันหมด

ยายเหลียงรู้สึกกระวนกระวายใจที่เด็กสาวตะโกนออกมาแบบนั้น ถึงกับถุยน้ำลายด่า “ไอ้เด็กเลี้ยงไม่เชื่อง จะแหกปากเสียงดังไปทำไม? ให้คนอื่นเขารู้หรือไงว่าพ่อแม่แกไม่กตัญญูน่ะ?”

เสี่ยวเถียนหาได้สนใจไม่ “ทำไมพ่อแม่หนูถึงไม่กตัญญูล่ะคะ? พวกเขากตัญญูมากเลยนะ ปู่ย่าอวดจนสวรรค์ยังเห็นเลยค่ะ”

“แต่พวกมันไม่กตัญญูต่อพวกฉัน!”

เสี่ยวเถียนถึงกับหัวเราะลั่น “ยาย ยายพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะคะ แม่หนูแต่งงานออกจากบ้านมาแล้ว แม่จะมาเยี่ยมได้ก็ต่อเมื่อถึงวันปีใหม่เท่านั้น การเอาของมาให้ เอาอาหารมาให้ก็ถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูต่อพวกคุณทั้งสองแล้วค่ะ”

“วันนี้ของที่แม่เอามาให้พวกคุณก็เป็นของจากเมืองหลวง มีนมมอลต์หนึ่งกระป๋องด้วยนะ ทำไมพวกท่านถึงยังไม่พอใจอีก? หรือว่าเราเอาของพวกนี้ไปให้คนอื่นเขาดูดีไหมคะ ทุกคนจะได้รู้ว่าพ่อแม่หนูเขากตัญญูจริงหรือเปล่า?”

“บ้านแกกินดื่มแต่ของดี ๆ ในเมือง เงินสักแดงก็ไม่ให้ ไม่อายปากหรือที่บอกว่าทำตัวกตัญญูน่ะ?”

“พ่อ แม่ พวกเราทำงานในเมืองหลวงนะคะ ลำบากมากเลยนะ แม่คิดว่าในเมืองมันมีแต่เงินรอให้เราเดินไปเก็บเฉย ๆ หรือ?” จู่ ๆ เหลียงซิ่วก็พูดขึ้นด้วยความสมเพช

“แล้วเมืองหลวงมันเป็นที่แบบไหนล่ะ? ที่ให้พวกเราไปทำตัวเสเพลหรือคะ? รออีกสองปีลูกก็เรียนจบแล้ว พวกเราคิดจะกลับมาทำไร่ทำนาเหมือนเดิมค่ะ! กำลังคิดอยู่เลยว่าจะให้พ่อแม่มาช่วยสักหน่อยเพราะเห็นว่ามีอาหารอยู่ ให้พวกเราได้ยืมสักหน่อยตอนลำบาก ไว้กลับมาตอบแทนบุญคุณค่ะ”