บทที่ 592 ข้าเป็นแค่ผู้ชม!
บทที่ 592 ข้าเป็นแค่ผู้ชม!
เว่ยต้านพ่นลมหายใจ จากนั้นลูกบอลสีฟ้าก็หยุดหดตัว เขารู้ว่าวิชาวัฏจักรหงส์อมตะจะหายไปถ้าสังหารผู้เฒ่ามี่ด้วยความมืดมิดนั้น เขาจะอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้จักรพรรดิฟังได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม การบ่มเพาะของอีกฝ่ายนับว่าไม่ธรรมดา ถ้าหากปล่อยอีกฝ่ายไปตอนนี้ ผู้เฒ่ามี่จะยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิมในอนาคตและการตามหาให้เจออีกครั้งก็จะยิ่งยากขึ้นเป็นร้อยเท่า
ในช่วงเวลาที่เว่ยต้านกำลังลังเล เมื่อพื้นที่รอบตัวเขาเสถียร ผู้เฒ่ามี่ก็เคลื่อนไหว
“ย่างก้าวเกิดปทุม!”
เขาก้าวขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่าราวกับเดินขึ้นบันไดและทุกย่างก้าวก็ทิ้งรอยเท้าไว้ โดยมีดอกบัวค่อย ๆ บานจากรอยเท้าแต่ละรอย
ซูอันมึนงงมาก ผู้เฒ่ามี่คนนี้แก่ชรามากแล้ว แต่กลับยังใส่ใจเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์เป็นอย่างมาก ทุกทักษะที่เขาแสดงมีความงามที่น่าทึ่ง
หากหญิงสาวสวยใช้ทักษะเหล่านี้ นางจะสามารถเก็บเกี่ยวหัวใจของชายหนุ่มจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่เว่ยต้านก็ตกตะลึง “นี่เจ้าก็ฝึกฝนจนถึงขั้นเข้าใจกฎแห่งมิติระดับต้นด้วยงั้นหรือ!?”
ผู้เฒ่ามี่เริ่มยิ้ม แต่จู่ ๆ ก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด ทักษะเคลื่อนไหวที่เขาเพิ่งใช้เมื่อครู่นั้นเป็นการใช้ออกอย่างฝืนขีดจำกัดของตัวเองอย่างแท้จริง และเขากำลังทรมานจากผลสะท้อนกลับ
เว่ยต้านจะละทิ้งโอกาสนี้ไปได้อย่างไร เขากระโจนเข้าหาทันทีเพื่อปิดระยะห่าง
ฝ่ามือทั้งสองของเขาซัดออกอย่างรัวเร็ว ส่งคลื่นพลังรุนแรงเข้าใส่ผู้เฒ่ามี่ แม้ว่าผู้เฒ่ามี่จะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ก็ยังพลาดท่าโดนสามฝ่ามืออัดเข้าใส่อย่างจัง!
“อั่ก!!”
เลือดไหลออกจากปากของผู้เฒ่ามี่ และแม้แต่เคราสีขาวเหมือนหิมะรอบปากของเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดง
“หึหึหึ ดูเหมือนเจ้ายังคงยึดติดในสถานะขันที! แม้จะอายุมาก เจ้าก็ยังเอาหนวดปลอมมาติดไว้ที่ปาก!” เว่ยต้านไม่ได้ปิดระยะเข้าไปใกล้ เขากังวลอย่างชัดเจนว่าผู้เฒ่ามี่จะเหมือนสัตว์ร้ายจนตรอก ผู้เฒ่ามี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ยิ่งเว่ยต้านถ่วงเวลานานเท่าไหร่ ผู้เฒ่ามี่ก็จะเสียเลือดมากขึ้นเท่านั้นและก็จะยิ่งอ่อนแอมากไปเรื่อย ๆ
“เจ้าพูดอย่างกับเจ้าไม่แยแส เจ้าเองก็มีเคราปลอมติดรอบปากด้วยเช่นกัน!” ผู้เฒ่ามี่เช็ดคราบเลือดที่มุมริมฝีปากออก และทำสีหน้าเจ็บปวดเมื่อเผลอไปถูเคราปลอมหลุดออกไปทั้งยวง
เว่ยต้านโกรธมาก น้ำเสียงของเขาสูงขึ้น “อิ๋งน้อย เจ้าอย่าได้ทดสอบความอดทนของข้า! เจ้ากำลังรนหาที่ตายอยู่ใช่ไหม!?”
“รนหาที่ตาย?” ผู้เฒ่ามี่ยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ใครจะเลือกทางตายถ้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้?”
ซูอันเริ่มเศร้า แม้ว่าเขาจะกังวลอยู่เสมอว่าผู้เฒ่ามี่อาจมีวัตถุประสงค์แอบแฝงที่เข้าหาตัวเอง แต่พวกเขาก็รู้จักกันมานาน การเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะตายถือเป็นเรื่องน่าหดหู่
อย่างไรก็ตาม การสู้กันระหว่างผู้เฒ่ามี่และเว่ยต้านนั้นดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ มันคงจะแปลกหากคนในตระกูลฉู่จะไม่รู้ตัวกันเลย ขณะนี้จึงมีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ซูอันกำลังครุ่นคิดว่าเขาควรจะขอความช่วยเหลือจากสมาชิกตระกูลฉู่ดีหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทำ
แม้แต่ฉู่เทียนเซิงและหงจงที่นับได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะระดับต้น ๆ ของคฤหาสน์ตระกูลฉู่ยังถูกผู้เฒ่ามี่ฆ่าในพริบตาเดียว ซึ่งเว่ยต้านผู้นี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งไปกว่านั้น
ฉินหว่านหรูอยู่ในระดับที่หกเท่านั้น และอาการบาดเจ็บของนางตอนนี้ก็ทำให้นางไม่สามารถสู้รบปรบมือกับใครได้ ส่วนเหล่าทหารยามของตระกูลฉู่นั้นยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาไม่มีทางต่อกรกับสัตว์ประหลาดตัวจริงเสียงจริงอย่างเว่ยต้านได้แน่
ถ้าฉู่จงเทียนอยู่ในคฤหาสน์ก็อาจจะพอมีหวังอยู่บ้าง แต่คงคาดหวังไม่ได้เต็มสิบส่วน เพราะระดับการบ่มเพาะของฉู่จงเทียนอยู่ในระดับแปดซึ่งอาจจะยังไม่เพียงพอ
วิธีเดียวที่พวกเขาจะมีโอกาสคือเรียกใช้กองทัพผ้าคลุมสีชาดของตระกูลฉู่
เมื่อซูอันมาถึงโลกนี้แรก ๆ มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ ถ้าผู้บ่มเพาะแต่ละคนมีพลังมาก ทำไมสิ่งต่าง ๆ เช่น อาณาจักรและกองทัพยังคงมีอยู่?
ต่อมาเมื่อเขาเข้าเรียนที่สถาบันจันทร์กระจ่าง ชายหนุ่มจึงรู้ว่าทำไม แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเหล่าทหารในกองทัพจะไม่มีทางเทียบได้เลยกับผู้บ่มเพาะที่มีพรสวรรค์ แต่กองทัพขนาดใหญ่ก็มีกลวิธีพิเศษบางอย่างที่สามารถดูดซับการโจมตีของผู้บ่มเพาะและกระจายความเสียหายแบ่งให้เหล่าทหารนับพันนับหมื่นในขบวนรบอย่างเท่า ๆ กันเพื่อลดความเสียหาย
แถมในเวลาเดียวกัน ทหารในขบวนรบทั้งหมดต่างก็สามารถรวมพลังของพวกเขาทุกคนเอาไว้เป็นหนึ่งเดียวแล้วโจมตีไปที่ศัตรูซึ่งมีแค่คนเดียวได้อย่างรุนแรง
แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังต้องยอมถอยหากเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ที่มากประสบการณ์
สิ่งนี้ทำให้โครงสร้างของอาณาจักรและความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะระดับสูงมีความสมดุลกัน
ขณะที่ซูอันกำลังสับสนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี เว่ยต้านก็พูดขึ้น “ฮึ่ม! ข้าไม่อยากเถียงเรื่องพวกนี้กับเจ้าอีกแล้ว คนของตระกูลฉู่กำลังมา ข้าจะจับเจ้าก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำยังไงกับเจ้า!”
ผู้เฒ่ามี่หัวเราะ “เจ้าคิดว่าข้าจะยอมให้เจ้าจับตัวได้ง่าย ๆ งั้นหรือ?”
หลังจากพูดจบ ผู้เฒ่ามี่ได้พุ่งตัวตรงไปยังที่ที่ซูอันซ่อนตัวอยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็คว้าตัวซูอันก่อนจะรีบหนีหายเข้าไปในความมืด ขณะที่เว่ยต้านจ้องมองด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่ามี่รู้มาตลอดว่าซูอันซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ
ซูอันต้องการขัดขืน แต่ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของเขากับผู้เฒ่ามี่นั้นมีมากเกินไป ผู้เฒ่ามี่เพียงส่งพลังไหลเข้าไปที่ไหล่ของซูอันเพียงครั้งเดียว ซูอันก็สูญเสียความแข็งแกร่งทั้งหมดในทันที
ซูอันตกตะลึง “ข้าเป็นแค่ผู้ชม!”
“หุบปาก!” ผู้เฒ่ามี่ตวาดขณะที่เขาวิ่งอุ้มซูอันห่างออกไปเรื่อย ๆ
เว่ยต้านอุทานด้วยความประหลาดใจ มีคนซ่อนอยู่ที่นั่นจริง ๆ ทำไมเขาถึงไม่สังเกตเห็นมาก่อน?
อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ เขาไล่ตามไปทันที “เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีข้าได้พ้นงั้นหรือ!?”
เหล่าทหารยามของตระกูลฉู่มาถึงทันเห็นซูอันถูกจับตัวไป พวกเขาส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
“เฮ้ย นั่นคนสวนของเราไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วผู้เฒ่าอีกคนเป็นใคร?”
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ข้าคิดว่าข้าเห็นพวกเขาลักพาตัวนายน้อยไป!”
เกิดความโกลาหลขึ้น ทุกคนร้อนรนว่าต้องช่วยซูอัน
เฉิงโซวผิงตะโกนออกมาและพูดว่า “ไร้สาระ! นายน้อยของเราเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และทักษะที่น่าอัศจรรย์ เขาไม่มีทางถูกชายชราสองคนจับตัวไปง่าย ๆ แบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาแกล้งทำเป็นว่าถูกจับเท่านั้น!”