บทที่ 558 เรื่องในสำนักซ่อนเร้น ต่อจากนี้

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 558 เรื่องในสำนักซ่อนเร้น ต่อจากนี้

ผู้มาใหม่ในอาณาเขตฟ้าบุพกาลคงมีเพียงบุตรแห่งมรรคาสวรรค์นามว่าเทียนผู้นั้น

หานเจวี๋ยไม่สนใจ เขาแทบจะลืมเลือนอาณาเขตฟ้าบุพกาลไปแล้ว

โดยทั่วไปแล้ว โจวฝาน เต้าจื้อจุน และจ้าวเซวียนหยวนก็ไม่ได้ไปที่อาณาเขตฟ้าบุพกาลเช่นกัน กลับเป็นหมื่นโลกาฉายชัดที่คึกคักยิ่ง เหล่าศิษย์มักจะไปสอบถามถึงสีสันอันน่าตื่นเต้นของโลกภายนอกจากหลี่เต้าคงกับหานโยวที่นั้นเป็นประจำ

หานเจวี๋ยถาม “มีเรื่องแค่นี้หรือ”

เต้าจื้อจุนรีบเอ่ยว่า “คุณสมบัติของผู้มาใหม่สองรายนี้แข็งแกร่งมากเลยขอรับ อีกอย่าง ข้าอยากออกไปแสวงหาโชควาสนาด้านนอกสักครา”

ผู้มาใหม่สองคนหรือ

ไม่ใช่แค่เทียน แต่มีอีกคนเช่นนั้นหรือ

หานเจวี๋ยอยากรู้ขึ้นมานิดๆ แต่มิได้ใส่ใจ กลับเอ่ยถามว่า “เจ้าบรรลุครึ่งอริยะหรือยัง”

“ยังขอรับ แต่…”

“เจ้าคิดจะฝ่าฝืนเจตจำนงของข้าหรือ”

“มิได้ขอรับ…”

เต้าจื้อจุนตื่นตระหนก รีบร้อนอยากอธิบาย แต่ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “อาจารย์ไม่อยากคอยเหลือช่วยเจ้าอีก เข้าใจหรือไม่ หากเจ้ายังกล้าร้องขอเช่นนี้อีก เกณฑ์การออกจากหุบเขาจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับอริยะแทน”

“ทราบแล้วขอรับ เป็นศิษย์ที่วู่วามเอง”

เต้าจื้อจุนเอ่ยด้วยความจนปัญญา แต่คำพูดหานเจวี๋ยมีเหตุผล หวนนึกถึงความผันผวนในมหาเคราะห์ครั้งก่อน เขายังอกสั่นขวัญแขวนมาจนถึงตอนนี้

‘ไอ้ตัวแสบ ไม่น่าเชื่อว่าคิดจะมาลวงข้า’

หลังจากเต้าจื้อจุนคิดตกแล้ว ในใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

หานเจวี๋ยโบกมือ สื่อว่าให้เต้าจื้อจุนถอยออกไป

หลังจากเต้าจื้อจุนไปแล้ว หานเจวี๋ยยังไม่ไปที่อาณาเขตฟ้าบุพกาล เขาสอดส่องดูหานทั่วแทน

หานทั่วยังคงปิดด่านบำเพ็ญ ดวงชะตาและชื่อเสียงของเขายังคงอ่อนด้อยในแดนเซียน นับว่าเป็นคนนิรนามอยู่

เขาพลันบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

การปรากฏตัวขึ้นของเทียนสามารถเป็นหินลับคมให้หานทั่วได้

ในชีวิตหากไร้ซึ่งอริที่แข็งแกร่ง แล้วจะก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร

หานเจวี๋ยมีระบบ และใช้การมองสรรพสิ่งเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งคอยผลักดันตัวเอง

หลังจากคิดดีแล้ว หานเจวี๋ยยกมือส่งลำแสงสายหนึ่งออกมา จากนั้นแสงนั้นก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

….

ชั่วพริบตาเดียว

เวลาผ่านไปอีกสามร้อยปี

หานเจวี๋ยพักจากการฝึกบำเพ็ญ ลืมตาขึ้นมา เริ่มตรวจดูจดหมาย

[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[ฉิวซีไหลสหายของท่านผสานรวมดวงชะตามรรคาสวรรค์ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากบรรพจารย์ซานชิงสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[สือตู๋เต้าสหายของท่านเข้าสู่แดนต้องห้ามอันธการ]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากพลังห้วงมิติที่ไม่รู้จัก ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[หานทั่วบุตรชายของท่านปลุกคุณสมบัติสายเลือด พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานมิ่งสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์หลานของท่านได้รับการเข้าฝันจากฉิวซีไหลสหายของท่าน]

….

สถานการณ์ในจดหมายมีหลากหลายสารพัด หานเจวี๋ยอ่านอย่างมีอรรถรสยิ่ง

เขาสังเกตเห็นว่าฉิวซีไหลเข้าฝันฉู่ซื่อเหริน

เจ้าเฒ่าคนนี้คิดจะทำอะไร

หานเจวี๋ยอ่านจดหมายต่อไป

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หานเจวี๋ยเรียกฉู่ซื่อเหรินมาหา

ฉู่ซื่อเหรินเข้ามาในอารามอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพอย่างนอบน้อม

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ระยะนี้การฝึกบำเพ็ญเป็นอย่างไร”

ฉู่ซื่อเหรินตอบ “เป็นเช่นที่ผ่านมาขอรับ”

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ท่านรู้ว่าฉิวซีไหลมาเข้าฝันข้าใช่หรือไม่ขอรับ”

“ไม่รู้”

ฉิวซีไหลสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ฉิวซีไหลหวังว่าข้าจะกลับสู่สำนักพุทธอีกครั้ง”

ครั้งนี้ แม้แต่คำว่าอริยะเขาก็ละเว้นไปเสีย เห็นได้ชัดว่าเลือกข้างไว้ในใจแล้ว

หานเจวี๋ยถาม “โอ้ เช่นนั้นหรือ เจ้าคิดอย่างไรเล่า”

ฉู่ซื่อเหรินส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าย่อมไม่ยินยอม หากกลับสำนักพุทธก็ต้องกลายเป็นตัวหมากอีก อยู่สำนักซ่อนเร้นดีกว่า ท่านไม่เคยบังคับให้ข้าทำเรื่องที่ฝืนใจ อยู่ที่นี่ ข้าได้บำเพ็ญอย่างสงบสุข”

กาลครั้งหนึ่งในอดีตกาล เขารังเกียจการบำเพ็ญ ยามนี้กลับฝักใฝ่การบำเพ็ญยิ่ง จะสำเร็จต้าหลัวในไม่ช้าก็เร็วนี้แล้ว

หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “ฝึกบำเพ็ญให้ดี หลังจากบรรลุครึ่งอริยะก็สามารถออกไปด้านนอกได้ จำไว้ ข้อเรียกร้องที่ข้ามีต่อศิษย์สำนักซ่อนเร้นไม่มากมาย มีเพียงข้อเดียว อย่าได้ทรยศต่อสำนักซ่อนเร้น อย่าฆ่าฟันกันเอง มิเช่นนั้นสิ่งที่ข้าให้พวกเจ้าได้ ก็สามารถริบคืนได้เช่นกัน ใต้มรรคาสวรรค์แห่งนี้ หากทรยศข้า ผู้ใดก็ช่วยเหลือไม่ได้ทั้งนั้น”

ฉู่ซื่อเหรินรีบค้อมคำนับ แสดงความภักดี

หานเจวี๋ยก็ไม่พูดมากอีก กระตุ้นนิดหน่อยเท่านั้น

หลังออกมาจากอารามเต๋า ฉู่ซื่อเหรินพ่นลมหายใจออกมา

‘ความสามารถของอาจารย์ปู่ร้ายกาจจริงๆ การเข้าฝันของอริยะเขาก็ยังจับสัมผัสได้ ฉิวซีไหลคิดจะทำร้ายข้าหรือไร’

ฉู่ซื่อเหรินคิดกับตัวเอง

ยามที่เดินผ่านจางเจี่ยว จู่ๆ จางเจี่ยวก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองเขา

ฉู่ซื่อเหรินใจเต้นรัว

สายตาของอริยะเต็มไปด้วยแรงกดดัน

ฉู่ซื่อเหรินพลันตระหนักได้ว่าในสำนักซ่อนเร้น นอกจากหานเจวี๋ยก็ยังมีตัวตนแข็งแกร่งลึกลับอื่นๆ อยู่อีก ตัวตนลึกลับเหล่านี้ไม่เคยสื่อสารกับเหล่าศิษย์ ภักดีต่อหานเจวี๋ยเท่านั้น

พอคิดได้ ฉู่ซื่อเหรินก็ค้อมกายคำนับจางเจี่ยว จากนั้นเร่งฝีเท้า จากไปอย่างเร็วรี่

ละครเล็กฉากนี้ไม่ได้ก่อคลื่นลมในสำนักซ่อนเร้นเลย

เมื่อตบะเพิ่มขึ้น จิตใจคนก็เปลี่ยนแปลงไป หานเจวี๋ยพอจะเข้าใจ ความคิดของตัวเขาในปัจจุบันก็ต่างไปจากยามที่อ่อนแอมากโข ความทะเยอะทะยานก็แปรเปลี่ยนไป แต่ภายในเขตเซียนร้อยคีรี ทุกกฎเกณฑ์ล้วนขึ้นอยู่กับหานเจวี๋ย!

อย่ามองเพียงว่าศิษย์เหล่านี้ให้ความเคารพยกย่องหานเจวี๋ยยิ่งนัก นั่นเป็นสิ่งที่ปฏิบัติต่อหานเจวี๋ยเท่านั้น พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นคนเย่อหยิ่งถือดี หากปล่อยตัวออกไป ผ่านไปนานวันเข้า ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งอาจหันกลับมาฟาดฟันกันเอง

นึกถึงครั้งอดีตไตรเทพใต้ปกครองบรรพชนเต๋ายังห้ำหั่นฟาดหันกันเองได้ หานเจวี๋ยย่อมไม่มีทางคิดอย่างโง่เขลาว่าจิตใจของศิษย์ตนจะคงเดิมไปตลอดกาล

หกสิบสองปีต่อมา

หานตั้วเทียนมาขอเข้าพบหานเจวี๋ย สอบถามว่าต้องการปล่อยศิษย์อีกหนึ่งกลุ่มออกไปหรือไม่ ศิษย์ที่ปล่อยออกไปย่อมเป็นศิษย์ในนาม

ระยะนี้ เขาจัดสรรศิษย์กลุ่มหนึ่งที่ไม่ว่าจะฝึกบำเพ็ญอย่างไร ตบะก็ไม่อาจเพิ่มพูนขึ้นได้อีกไว้แล้ว

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้าเลือกมาเถอะ ให้พวกเขาไปที่เผ่าสวรรค์ วันหน้าจะได้เป็นกำลังช่วยเหลือบรรพชนสวรรค์จี้เซียนเสิน”

หานตั้วเทียนรับคำสั่ง

หลายวันต่อมา จักรพรรดิเซียนหนึ่งพันรายถูกกำหนดตัว หานเจวี๋ยโบกมือส่งตัวออกไปโดยตรง

แดนเซียนในยามนี้ จักรพรรดิเซียนหนึ่งพันรายเป็นกองกำลังที่ไม่อาจดูแคลนได้

ยามที่จี้เซียนเสินได้รับศิษย์ในนามกลุ่มนี้ พลันปรีดาอย่างยิ่ง

‘สมกับเป็นท่านอาจารย์ นึกถึงข้ายู่ตลอด’

จี้เซียนเสินคิดกับตัวเอง ถึงแม้ศิษย์เหล่านี้จะมิใช่ชาวเลิศเอกาหนึ่งพันคน แต่ไม่อ่อนด้อยแน่นอน

จี้เซียนเสินทักทายศิษย์ในนามคนนั้นที่เป็นผู้นำกลุ่มอย่างกระตือรือร้น

เกิดคลื่นความตะลึงขึ้นภายในเผ่าสวรรค์ เมื่อเทพเซียนเหล่านั้นที่มาจากสำนักนิกายอื่นทราบว่าสำนักซ่อนเร้นส่งจักรพรรดิเซียนมาหนึ่งพันราย ต่างก็ตื่นตะลึง ยิ่งไม่กล้าคิดต่อต้านจี้เซียนเสินอีก

แม้สำนักซ่อนเร้นจะเก็บตัว แต่เมื่อเอ่ยถึงสำนักซ่อนเร้นขึ้นมา สรรพสิ่งล้วนนึกถึงตำนานสารพัดเรื่องเหล่านั้น

เหล่าศิษย์จากสำนักนิกายแห่งดวงชะตายิ่งเคยได้รับคำกำชับตักเตือนมาจากผู้อาวุโสแต่ละท่าน กล่าวว่าอย่าได้ยั่วโทสะสำนักซ่อนเร้นส่งเดช

อีกด้านหนึ่ง

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม อาณาเขตเต๋าอริยะ

หวงจุนเทียนคุกเข่าเบื้องหน้าเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย ท่าทางนอบน้อม

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยพินิจดูหวงจุนเทียน เอ่ยว่า “หวงจุนเทียน เจ้ากราบเข้าสำนักมาสี่หมื่นปีแล้ว คิดเห็นเช่นไรต่อแดนเซียนนี้”

หวงจุนเทียนตอบ “อริยะเดินหมาก สรรพสิ่งต่างเป็นตัวเบี้ย ทิศทางโชคชะตาของแดนเซียน ล้วนขึ้นอยู่กับความประสงค์ของอริยะ”

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยกล่าวอย่างลุ่มลึกแฝงนัย “นี่คือสาเหตุที่เจ้าชักนำนิกายเจี๋ยให้ใช้ชีวิตอย่างสงบใช่หรือไม่”

“ถูกแล้วขอรับ หากไร้ซึ่งการจัดสรรจากอริยะ พวกเราบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว มีแต่จะเป็นการขุดหลุมศพให้ตัวเอง”

“เจ้ากลับฉลาดเฉลียว ยามนี้เจ้าคือเจ้านิกายเจี๋ยแล้ว ต่อจากนี้ เจ้าคิดจะแสวงหาสิ่งใดต่อ”

หวงจุนเทียนเงียบไป ไม่ได้เอ่ยตอบในทันที

หมายความว่าอย่างไร

อริยะทดสอบเขาอยู่หรือ

ความคิดในสมองหวงจุนเทียนดั่งสายฟ้า ไตร่ตรองผลดีผลเสียอย่างรวดเร็ว

………………………………………………………………