ตอนที่ 439 ได้รับไข่มุกห้าธาตุอีกครั้ง (3)
ทันทีที่หลี่ฉางโซ่วตรวจจับร่างของหรานเติ้งได้ ในพริบตานั้น หรานเติ้งก็ปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้าเหนือหุบเขาปีศาจวัวพร้อมกับแผ่พลังสะกดข่มอันแกร่งกล้าออกมาอย่างท่วมท้นทะลักแผ่นฟ้า
ในยามนั้น เผ่าปีศาจวัวกระทิงที่ด้านล่าง ซึ่งยังหลับใหลอยู่ในอาการหมดสติ จู่ๆ ก็สั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวในความฝันของพวกเขา
ช่วงระยะการตรวจจับของนักพรตเต๋าตั๋วเป่า…
ช่วงระยะการตรวจจับของเขาเอง…
ชั่วเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วรู้สึกอับจนหนทางอยู่ลึกๆ ในใจอย่างไม่อาจอธิบายได้
เดิมทีเขาคิดว่า เมื่อได้ฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนจินและได้รับการสนับสนุนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินแล้ว เขาก็จะมีพละกำลังเพียงพอที่จะคิดวางแผนเพื่อให้ได้รับสมบัติวิญญาณเล็กๆ ในโลกบรรพกาล
ข้าควรคัดลอก ‘พระสูตรมั่นคง’ สักเก้าพันจบ
ใช่แล้ว ข้าจะให้ศิษย์น้องหญิงคัดลอกแทนข้าครึ่งหนึ่ง หากศิษย์พี่ประสงค์สิ่งใด ศิษย์น้องหญิงน้อยย่อมต้องรับใช้ทำให้ข้า
“เขากำลังมา เขากำลังมาแล้ว!”
นักพรตเต๋าตั๋วเป่ากล่าวเสียงเบา ในเวลานั้น ดวงตาของเขาฉายแสงจ้าเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยขณะที่กลั้นหายใจพร้อมกับหลี่ฉางโซ่ว และเพ่งความสนใจไปยังสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในกระจก
ในขณะนั้น พวกเขาได้ถอนสัมผัสเซียนรับรู้คืนกลับมาเพื่อป้องกันไม่ให้หรานเติ้งตรวจพบพวกเขาได้
แน่นอนว่า กระจกสมบัติในมือของตั๋วเป่านี้ เป็นสมบัติวิญญาณสายตรวจจับอย่างละเอียด ซึ่งมีความสามารถในการปกปิดและป้องกันการตรวจจับได้โดดเด่นยิ่ง
ในยามนั้น หรานเติ้งนั่งอยู่บนก้อนเมฆ บินวนรอบและกลับมายังสถานที่นี้สองครั้ง จากนั้น เขาก็หยิบเจดีย์แก้วออกมา แล้วยกมือขึ้นเพื่อปล่อยมันออกไป
ชั่วพริบตานั้น เจดีย์ก็สูงขึ้นหลายร้อยฉื่อฉับพลัน และยอดเจดีย์ก็เปล่งแสงเซียนออกมาอย่างท่วมท้นจนพื้นที่นับพันลี้ ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยแสงเซียน
ในขณะนั้น เหล่าปีศาจแห่งเมืองซื่อเถี่ยล้วนเงียบงัน
“เหอะ!”
หรานเติ้งสะบัดนิ้วของเขาไปที่เมืองซื่อเถี่ย ทันใดนั้น ค่ายกลใหญ่ของเมืองซื่อเถี่ยก็พังทลาย แหลกสลายลงทันที
“ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบสถานที่นี้ จงออกมาคุยกับข้า”
เสียงเย็นยะเยือก พร้อมด้วยพลังสะกดข่มแกร่งกล้าที่แผ่พุ่งออกมาของนักพรตเต๋าหรานเติ้งในเวลานี้ ทำให้เหล่าปีศาจในเมืองซื่อเถี่ยที่ไม่ได้หมดสติไป ภายใต้การครอบคลุมของบาตรจื่อจิน ต่างก็ตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหลขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น ปีศาจวัวกระทิงสามตัวในขอบเขตเซียนจินก็พุ่งออกไปที่ด้านหน้าของหรานเติ้ง พวกเขาแค่นเสียงออกมาเบาๆ แล้ววัวกระทิงเฒ่าทั้งสามก็คุกเข่าลงหมอบอยู่ในอากาศโดยไม่รู้ตัว
“ขอน้อมพบผู้อาวุโส!”
“หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว” หรานเติ้งกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ที่นี่คือ พื้นที่อาณาเขตของเผ่าพวกเจ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่ขอรับ เป็นของเผ่าพวกเรา”
หรานเติ้งถามขึ้นอีกครั้งว่า “ก่อนหน้านี้ มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่? หากโป้ปดแม้เพียงครึ่งคำ วันนี้ เผ่าของพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
ในขณะนั้น ปีศาจวัวกระทิงทั้งสาม ต่างก็กล่าวออกมากันทีละคนเพื่อรีบเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ตามคำบรรยายเรื่องราวของปีศาจวัวกระทิง พวกมันถูกกองกำลังเผ่ามนุษย์ที่ไม่รู้ที่มา บุกโจมตีครั้งแรก ทว่าจู่ๆ อีกฝ่ายก็ถอยกลับไปในทันทีหลังจากที่ปรากฏตัวขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง
มันดูเหมือนว่า พวกเขาจะใช้กลวิธีอำพรางตาบางอย่าง
จากนั้น บาตรจื่อจินก็ปรากฏขึ้นและครอบคลุมพื้นที่ในรัศมีพันลี้…
ในขณะนั้น หรานเติ้งนั่งบนเมฆขาวพลางขยับนิ้วทำมุทราหยั่งรู้อย่างต่อเนื่อง แล้วขมวดคิ้วมุ่น
ก่อนหน้านี้ เขากำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ในวังอวี้ซวี และจู่ๆ ก็มีสัญญาณเตือนเล็กๆ ถึงอันตรายปรากฏขึ้นในใจ แล้วด้วยการหยั่งรู้ของเขาหลังจากนั้น เขาก็ตระหนักได้ว่า สมบัติที่มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับผลเต๋าในอนาคตของเขา ได้ถูกนำออกไปแล้ว!
การเตือนเช่นนี้ เป็นเสียงสะท้อนหนึ่งในเต๋าของเขาที่สอดประสานกับความลับแห่งสวรรค์ล้วนๆ ซึ่งจะทำให้เขารู้ว่า เกิดเรื่องนี้ขึ้นเท่านั้น แต่เขายังไม่รู้แน่ชัดเช่นกันว่ารายละเอียดของเรื่องราวเป็นอย่างไร
หรานเติ้งใช้โคมของเขา เพื่อทำการหยั่งรู้ให้ละเอียดถี่ถ้วนทันที ครั้นเมื่อหยั่งรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเหตุการณ์ตามร่องรอยของความลับแห่งสวรรค์ได้แล้ว เขาก็รีบพุ่งตัวออกมาที่นี่ในทันที
ทว่าสิ่งที่หรานเติ้งไม่รู้ในตอนนี้ คือ…
ในเวลาเดียวกันกับที่เขามาถึงหุบเขานี้ หลี่ฉางโซ่วก็ได้แบ่งจิต และเบนความสนใจบางส่วนของเขา ไปปกปิดร่องรอยการต่อสู้ในพื้นที่หกแห่งที่มีภูมิประเทศคล้ายคลึงกันในดินแดนเทวะมัชฌิมาแล้ว…
และพร้อมกันนั้น ร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วก็ขี่เมฆ บินออกจากยอดเขาหยกน้อย และตรงไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์
บัดนี้ ได้เวลาถวายเครื่องสักการะให้จอมปราชญ์เทพอีกครั้งแล้ว
เพียงเมื่อหลี่ฉางโซ่ว เพิ่งบินไปถึงหอไป่ฝาน หรานเติ้ง ซึ่งอยู่เหนือหุบเขาปีศาจวัวก็คิดออกมาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ในขณะนั้น หรานเติ้งกวาดสายตามองดูปีศาจวัวเซียนจินทั้งสามก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “จงไปที่คลังเก็บสมบัติของเผ่าพวกเจ้า แล้วตรวจสอบดูว่า มีอะไรหายไปบ้าง จากนั้นก็เรียกคนในเผ่าของพวกเจ้ามาไถ่ถามทีละคนว่า พวกเขามีของอะไรหายไปบ้าง ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าครึ่งชั่วยาม หากพวกเจ้ามาไม่ทัน เช่นนั้น ก็อย่าได้โทษว่าข้าเหี้ยมโหด”
ปีศาจวัวทั้งสามรีบก้มศีรษะและตอบรับอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบร่อนลงไปในหุบเขา หลังจากที่พวกเขาประจักษ์ชัดด้วยตาแล้วว่า หรานเติ้งเป็นคนโหดร้ายที่สามารถทำลายล้างเผ่าของพวกเขาได้ด้วยเพียงนิ้วเดียว!
ครั้นเมื่อปีศาจวัวกระทิงจากไปแล้ว โคมบนไหล่ของหรานเติ้งก็ส่องแสงสว่างไสว
จากนั้น หรานเติ้งก็กล่าวอีกครั้งด้วยสียงดังกึกก้องกังวาน แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งสวรรค์ยันปฐพีในรัศมีพันลี้
“ศิษย์หลานตั๋วเป่า เหตุใดเจ้าถึงไม่ปรากฏตัวออกมาพบข้าเล่า?
สมบัติที่เจ้าได้รับมานั้น เกี่ยวข้องกับเต๋าและชะตากรรมของข้า มันย่อมมีวาสนากับข้า และข้าก็ยินดีจะขอแลกหนี้บุญคุณกับสมบัตินี้”
ในถ้ำสมบัตินั้น นักพรตเต๋าตั๋วเป่าเม้มปากแล้วจะออกไปเผชิญหน้ากับเขาทันที
ขณะนั้น เขายังส่งข้อความเสียงไปกล่าวกับหลี่ฉางโซ่วว่า “เจ้าเห็นแล้วหรือไม่ รองเจ้าสำนักมั่นใจเหลือเกิน เขายังเอาสมบัติไปไม่ได้ และต้องการเอาสมบัติไปจากข้าด้วยการเสนอหนี้บุญคุณกับข้า!”
“เขาคิดว่า ข้าเป็นเด็กกระจายสมบัติอย่างนั้นหรือ? เหอะ ในเมื่อข้าถูกค้นพบว่าอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้น ข้าออกไปพบเขาสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า?”
“ผู้อาวุโส!”
หลี่ฉางโซ่วคว้าแขนของนักพรตเต๋าตั๋วเป่าเอาไว้ได้ทันการณ์
จากนั้น เขาก็กล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงไปว่า “ผู้อาวุโส โปรดอย่าไปเชื่อ นี่เป็นเพียงคำพูดยั่วโทสะเพื่อล่อหลอกท่านเท่านั้นขอรับ หากท่านไม่เชื่อข้า ก็เพียงแค่ลองรอดูกันต่อไปอีกสักพัก หลังจากนี้ไม่นาน เขาจะพูดประโยคต่อไปอีกอย่างแน่นอน มันจะคล้ายกับประโยคที่ว่า ‘เหตุใดกัน? เจ้ายังต้องให้ข้าไปเชิญเจ้าออกมาด้วยตัวเองหรือไม่?’ และเป็น ‘หรือว่า ศิษย์หลานกำลังพยายามสร้างเรื่องให้ใหญ่โตขึ้นหรือไม่?’
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าตั๋วเป่ากะพริบตาด้วยความกังขาเล็กน้อย
ทว่าหรานเติ้งอาจจะหมดความอดทนจริงๆ และรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะเพียงทันทีที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวจบ นักพรตเต๋าหรานเติ้งก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า
“’เหตุใดกัน? เจ้ายังต้องให้ข้าไปเชิญเจ้าออกมาด้วยตัวเองหรือไม่?”
………………………………………………………………..