ตอนที่ 442 ในราตรีแห่งดวงดาว ในไม่ช้า หลิงเอ๋อร์จะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ (1)
เขาเก็บสมบัติได้ชิ้นหนึ่ง…
ก่อนที่หลี่ฉางโซ่วจะพ่นพร่ำบ่นว่าออกมา ดวงตาของอวิ๋นเซียวก็สว่างไสวเปล่งประกายขึ้นดุจแสงดาว
ดูเหมือนนางจะกล่าวว่า “เหตุใดสหายเต๋าถึงมาที่นี่อีกครั้ง?” และถามเขาว่า เหตุใดเขาถึงได้ผูกสัมพันธ์กับศิษย์พี่ตั๋วเป่า และยังก็ถูกศิษย์พี่ตั๋วเป่าพามาที่นี่
“เทพธิดาทั้งสอง พวกเราได้พบกันอีกครั้งแล้ว”
แม้หลี่ฉางโซ่วจะไม่ทันระวังตัว แต่เขารู้ว่า เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยขุ่นเคืองเขาได้
เขาโค้งคำนับให้อวิ๋นเซียว และฉยงเซียวแล้วกล่าวว่า “นี่ก็เป็นเรื่องซับซ้อนที่พลิกผันและแปลกประหลาดเช่นกัน โปรดให้ข้าได้ชี้แจงรายละเอียดในภายหลังเถิด”
อวิ๋นเซียวพยักหน้าเบาๆ พร้อมด้วยดวงตาที่ฉายแววอ่อนโยนอยู่เสมอ
ทว่าฉยงเซียวที่ไม่คู่ควรกับรูปลักษณ์ภายนอกอันงดงามของนางเลย กลับแค่นเสียงกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกัน? พวกเราเคยพบกันมาก่อนหรือ?”
“ช้าก่อน ช้าก่อน”
หลี่ฉางโซ่วคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้าพลางหยิบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกมาจากแขนเสื้อ แล้วแปลงร่างเป็นเซียนชราที่เขาใช้เป็นเทพแห่งท้องทะเลโดยเฉพาะ
จากนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ดูเหมือนนักพรตเต๋าวัยกลางคนก็กลายเป็นตุ๊กตากระดาษแล้วเข้าไปในแขนเสื้อของผู้เป็นเซียนชรา
หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับให้อีกครั้งและกล่าวว่า “เทพธิดา โปรดอย่าตำหนิโทษฉันเลย”
นักพรตเต๋าตั๋วเป่า มองดูตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วด้วยความสนใจในขณะที่อวิ๋นเซียวยังคงแย้มยิ้ม
แต่ในทางตรงกันข้าม ฉยงเซียวเอามือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากในขณะที่มุมปากกระตุกเล็กน้อยและกล่าวว่า “เป็นเจ้านั่นเอง สหายน้อยที่ชอบแสร้งทำเป็นผู้ชราอีกแล้ว”
“อย่างไรกัน?”
นักพรตเต๋าตั๋วเป่ายิ้มและกล่าวถามว่า “พวกเจ้าทั้งหมดรู้จักกันหรือ?”
ฉยงเซียวแค่นเสียงตอบว่า “เทพแห่งท้องทะเลและเหล่าเซียนแห่งเกาะซานเซียนต่างคุ้นเคยกันดี พวกเราทั้งสี่คน ล้วนได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเทพแห่งท้องทะเลมากมาย กระทั่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังได้เข้าปิดด่านกับเขาเพื่อปกป้องเขาด้วยตัวเองตามลำพังเป็นเวลาสิบสองปี ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วท่านคิดว่าพวกเรารู้จักกันหรือไม่?”
ตามลำพังสิบสองปีหรือ?
ว้าว!
ดวงตากลมโตของนักพรตเต๋าตั๋วเป่าเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นฉับพลัน!
“ศิษย์น้องสาม อย่าพูดเช่นนั้นสิ” อวิ๋นเซียวกล่าวเบาๆ ว่า “สหายเต๋าเทพแห่งท้องทะเลและพวกเราทั้งสี่พี่น้อง ต่างมีวาสนาชะตาลิขิตต่อกัน ยังเป็นเรื่องจริงที่สหายเต๋าเทพแห่งท้องทะเลดูแลเอาใจใส่พวกเราอยู่ พวกเราลงไปคุยกันเถิด อย่าปล่อยให้สหายศิษย์ร่วมสำนักเหล่านั้นรอนานเกินไป”
“ดี” นักพรตเต๋าตั๋วเป่าพยักหน้าเห็นด้วย
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “เช่นนั้น ไว้ผู้น้อยค่อยบอกพวกท่าน…”
“เฮ้! เจ้าจะกล่าวอันใดนั่น?”
นักพรตเต๋าตั๋วเป่าลงมือจู่โจมฉับพลัน เขาคว้าแขนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วทันที และกล่าวว่า “ฉางเกิง เจ้าจะหนีไปด้วยเหตุใด ไหนๆ เจ้าก็มาที่นี่แล้ว มานี่สิ เจ้าควรมาร่วมสนุกด้วยกัน!
นอกจากนี้ หากรองเจ้าสำนักหรานเติ้งกำลังรอซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ระหว่างทางเล่า เจ้ายังมีพลังเวทและสมบัติวิญญาณไม่เพียงพอ แล้วร่างจำแลงนี้ของเจ้าจะจัดการกับมันได้อย่างไร?
“ไปกัน ไปกันเถิด ลงไปร่วมดื่มชาและสุรากันเถิด ข้ายังมีกลเม็ดมากมายอยู่ในแขนเสื้อ ข้าอยากคุยกับเจ้าอย่างละเอียด ไว้เจ้าค่อยไปหลังจากอิ่มแล้ว บังเอิญว่า ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นเซียวก็อยู่ที่นี่ เช่นนั้น ค่อยให้นางส่งเจ้ากลับไปที่ศาลสวรรค์ จะได้ไม่ต้องกลัวหรานเติ้ง”
หลี่ฉางโซ่วมองไปที่เทพธิดาอวิ๋นเซียว และเห็นนางพยักหน้าพร้อมกับแย้มยิ้ม เขาจึงไม่อาจปฏิเสธต่อไปได้
ดังนั้นเขาจึงทำการคารวะเต๋า และเดินตามนักพรตเต๋าตั๋วเป่าไปพร้อมกับอวิ๋นเซียวและฉยงเซียว พวกเขาออกจากเกาะแล้วมุ่งหน้าไปหกบรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย
จากนั้น พวกเขาต่างก็พูดจาโอภาปราศรัยและหัวเราะกัน
ในเวลานั้น มีใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ทั่วทุกที่ และมีบรรดาเซียนอยู่ทั่วทุกที่เช่นกัน
บรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยทำตามใจของพวกเขาจริงๆ
เมื่อนักพรตเต๋าตั๋วเป่าอยากคุยกับหลี่ฉางโซ่วนานๆ หลี่ฉางโซ่วจึงถูกจัดให้นั่งที่โต๊ะหลักของงานเลี้ยงงานแต่งงาน ข้างๆ นักพรตเต๋าตั๋วเป่า ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ก็คือเทพธิดาอวิ๋นเซียว…
หากนั่นเป็นงานเลี้ยงของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน ความอาวุโสของหลี่ฉางโซ่วย่อมไม่เพียงพอและจะนั่งที่โต๊ะหลักไม่ได้
เพียงขณะที่พวกเขานั่งลง หลี่ฉางโซ่วก็ได้ยินข้อความเสียงประหลาดใจ
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก! ก่อนหน้านี้ ไหนท่านบอกว่าไม่ว่างเล่าขอรับ!?!”
หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะไปและเห็นรองเจ้าสำนักของเขา ในขณะนั้น อ๋าวอี่ยืนอยู่ที่มุมของห้องโถง
อ๋าวอี่กำลังอยากก้าวออกไปข้างหน้าทันที แต่ก็อดจะหยุดไม่ได้เมื่อเห็นคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของหลี่ฉางโซ่ว
กลิ่นอายรุนแรงเกินไปจนทำให้มังกรกลัว
หลี่ฉางโซ่วส่งข้อความเสียงว่า “ข้าบังเอิญได้พบกับผู้อาวุโสตั๋วเป่าแล้วถูกดึงมาที่นี่ ไว้ข้าจะไปคุยกับเจ้าและน้องสะใภ้ในภายหลัง”
อ๋าวอี่ก้มศีรษะรับคำและกลับไปนั่งยังที่นั่งของเขาก่อนจะกระซิบสองสามคำที่หูของเจียงซื่อเอ๋อร์ จากนั้น เจียงซื่อเอ๋อร์ก็หันศีรษะไปมองด้วยดวงตาที่ปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
วันนี้ ตัวเอกสองคนของงานเลี้ยงนั้น…ไม่สำคัญ
ในขณะนั้น พวกเขาได้เสร็จสิ้นพิธีการเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าแล้ว เมื่อบรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยก้าวออกไปข้างหน้า นักพรตเต๋าตั๋วเป่าก็ได้หยิบสมบัติวิญญาณโฮ่วเทียนจำนวนสามถึงสี่ชิ้นออกมาจากแขนเสื้อของเขาเพื่อเป็นของขวัญแสดงความยินดี
หลี่ฉางโซ่วไม่อาจเสียมารยาทได้ เขาหยิบโอสถวิญญาณสองขวดออกมาจากแขนเสื้อ
ประโยชน์ของความถนัดในการหลอมโอสถของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินก็สะท้อนให้เห็นเช่นกัน ในสายตาของหลี่ฉางโซ่ว โอสถวิญญาณระดับสี่และระดับห้า ซึ่งถือว่าไม่โดดเด่นนัก แต่มันนับว่าเป็นของขวัญชั้นเยี่ยมเช่นกันสำหรับบรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย
หลังจากมอบของขวัญแสดงความยินดีแล้ว เขาก็มั่นใจในการกินอาหารในงานเลี้ยงมากขึ้น
ทว่าหลี่ฉางโซ่วนั่งอยู่ระหว่างนักพรตเต๋าตั๋วเป่าและเทพธิดาอวิ๋นเซียว เขาจึงต้องสำรวมตัวเองจริงๆ จนไม่กล้าแม้กระทั่งขยับตะเกียบ เวลานี้ เขาเพียงนั่งยิ้มอยู่ที่นั่นเฉยๆ ราวกับเป็นรูปปั้นดินเผา
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินข้อความเสียง
เทพธิดาอวิ๋นเซียว ที่อยู่ทางซ้ายถามเขาว่า “สหายเต๋า เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
ในขณะที่นักพรตเต๋าตั๋วเป่าที่อยู่ทางด้านขวา ก็ถามว่า “ฉางเกิง เกิดอันใดขึ้นระหว่างเจ้าและศิษย์น้องอวิ๋นเซียว?”
บางที นั่นอาจเป็นความเข้าใจกันเองเป็นอย่างดีระหว่างเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ด้วยกัน
หลี่ฉางโซ่วหันไปทางเทพธิดาอวิ๋นเซียว และกล่าวว่า “ข้าบังเอิญพบผู้อาวุโสตั๋วเป่าขณะกำลังหาสมบัติ จากนั้น ข้าก็ได้พบกับรองเจ้าสำนักหรานเติ้ง เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนยิ่งจนยากจะอธิบายได้”
หลังจากนั้น เขาก็หันไปหานักพรตเต๋าตั๋วเป่าและตอบว่า “ผู้อาวุโสโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าเคยพบปะพูดคุยกับเทพธิดาอวิ๋นเซียวเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นขอรับ”
อวิ๋นเซียวกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ เล่าเถิด”
ในขณะที่นักพรตเต๋าตั๋วเป่า ซึ่งอยู่อีกทางด้านหนึ่ง ยังคงสงบและลอบยิ้มอย่างลับๆ
“พบปะพูดคุยกันเพียงไม่กี่ครั้ง? แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น เมื่อครู่ ข้าสัมผัสได้ หลังจากที่ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นเซียวเห็นเจ้า ไม่เพียงแต่นางจะมีสีหน้าท่าทีเปลี่ยนไป แต่อักขระเต๋าของนางก็อ่อนโยนลงราวกับสายน้ำ แม้แต่กลิ่นอายของนางก็ยังเปลี่ยนไป เหตุใดกัน เจ้ายังไม่พอใจศิษย์น้องหญิงอวิ๋นเซียวหรือ? โปรดเรียนรู้ถึงกระบี่สังหารเซียนสี่เล่มด้วย”
กระบี่สังหารเซียน…
บัดนั้น มีสัตว์วิญญาณบรรพกาลจำนวนมากวิ่งผ่านจิตใจของหลี่ฉางโซ่ว
นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน?
ทุกคนในสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยล้วนกลัวว่า เทพธิดาอวิ๋นเซียวจะหาคู่บำเพ็ญเต๋าไม่ได้ใช่หรือไม่? การเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าของใครบางคน ถือเป็นการหมิ่นผู้ดำรงอยู่เฉกเช่น เทพธิดาอวิ๋นเซียวที่งดงามราวกับภาพวาดหรือไม่?
ทันใดนั้น สัตว์วิญญาณบรรพกาลต่างๆ ก็วิ่งผ่านไปมาในใจของหลี่ฉางโซ่ว
หลี่ฉางโซ่วไม่มีเวลาแม้แต่จะบ่น เขาเริ่มส่งข้อความเสียงตอบไปทั้งทางด้านซ้ายและขวาแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขากำลังพูดคุยกับปรมาจารย์เช่นนี้ เขาย่อมต้องคิดให้รอบคอบและพิจารณาทุกคำที่เขาพูด ด้วยกลัวว่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและทำผิดพลาดได้
หากพวกเขาเพียงกำลังพูดคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยเท่านั้นก็แล้วไป
ขณะที่นักพรตเต๋าตั๋วเป่ากำลังลากเขาไปคุยซุบซิบอย่างเมามันนั้น อวิ๋นเซียวก็กำลังถามถึงรายละเอียดในเรื่องของหรานเติ้งและตั๋วเป่าอย่างระมัดระวัง
ไม่นานหลังจากนั้น ฉยงเซียวก็มาร่วมวงสนุกด้วยอีกครั้ง นางถามเขาว่าเขามีวิธีใหม่ๆ ในช่วงเวลานี้หรือไม่ และขอให้หลี่ฉางโซ่วช่วยคุยกับเทพธิดาอวิ๋นเซียวเพื่อให้นางและปี้เซียวสามารถออกไปข้างนอกและเคลื่อนไหวไปทำกิจกรรมต่างๆ รอบๆ ได้
นั่นเป็นเรื่องแตกต่างจากการควบคุมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์อย่างสิ้นเชิง หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกหมดแรงและเกือบจะระเบิด… โชคดีที่อวิ๋นเซียวสังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่ฉางโซ่วได้ทันการณ์ นางรู้สึกว่าหลี่ฉางโซ่วตอบนางล่าช้ามากขึ้นกว่าเดิม และเขาจะพูดเพียงว่า “ใช่” และ “ดี” เป็นตัวเสริมเพื่อบ่งบอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เท่านั้น
อวิ๋นเซียวถามเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ตั๋วเป่าก็กำลังส่งข้อความเสียงพูดคุยอยู่ด้วยเช่นกันหรือ?”
“เอ่อ ขอรับ…”
“แล้วไฉนไม่บอกข้า?” อวิ๋นเซียวกล่าวเบาๆ “เช่นนั้น เจ้าก็ควรตอบศิษย์พี่ตั๋วเป่าก่อน ไม่ต้องห่วง ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันในภายหลังได้”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจและซาบซึ้ง เขาขอบคุณเทพธิดาอวิ๋นเซียวและเพ่งเริ่มสมาธิจดจ่ออยู่กับการพูดคุยอย่างอิสระกับตั๋วเป่าผ่านการส่งข้อความเสียง
………………………………………………………………..