จากความเข้าใจที่ซู่เทียนหยวนมีเกี่ยวกับจีเทียนเด๋า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จีเทียนเด๋าจะยอมปล่อยลูกชายของเขาแบบนี้ อันที่จริงซู่เทียนหยวนคิดมาโดยตลอดว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกับลูกชายด้วยซ้ำ ตัวเขารู้ซึ้งถึงกฎของภูเขาทองดี กฎที่เหล่าสาวกทุกคนจะต้องตัดสัมพันธ์กับอดีตที่เคยมีมา นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจทำการใหญ่ ซู่เทียนหยวนไม่คิดเลยว่าจีเทียนเด๋าจะยอมปล่อยให้ผู้เป็นลูกชายตัดสินใจแทน
ลู่โจวเอามือไขว้หลังก่อนที่จะหันไปทางด้านข้าง ลู่โจวในตอนนี้กำลังเหลือบมองไปยังท้องฟ้า ครึ่งหนึ่งของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ถูกย้อมไปด้วยแสงสีแดงจางๆ มันเป็นแสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน มันเป็นภาพที่สวยงามเป็นพิเศษ ลู่โจวคิดมาเสมอว่าการสั่งสอนลูกศิษย์เป็นเหมือนกับการเดินทางอันยาวนานและเต็มไปด้วยความอยากลำบาก แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ใช่จีเทียนเด๋า ตัวเขาจะต้องสั่งสอนผู้เป็นศิษย์ให้ได้ดีที่สุด
ซู่ฮ่องกงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปหาซู่เทียนหยวนและคุกเข่าลง
พรึ๊บ!
แม้ว่าซู่เทียนหยวนจะไร้ยางอายมากแค่ไหน จะมีหน้าที่หนาราวกับกำแพงเมืองก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่อาจเก็บซ่อนอารมณ์ที่มีได้
ซู่ฮ่องกงคารวะลงสามครั้งก่อนจะพูดขึ้น “ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่ไปกับท่านไม่ได้…ท่านอาจารย์ได้เลี้ยงดูและฝึกฝนข้ามาตั้งแต่เด็ก ข้าจะไปทิ้งท่านอาจารย์ได้ยังไงกัน?”
ซู่เทียนหยวนที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจ
เจียงผู่และคนอื่นๆ ส่ายหัว ทุกคนต่างก็รู้สึกผิดหวัง
เจียงผู่ถอนหายใจก่อนที่จะพยายามเกลี้ยกล่อมซู่ฮ่องกง “นายน้อย ถ้าหากท่านไม่ยอมกลับมาลัทธินักบุญโบราณ ลัทธิพวกเราจะต้องตกอยู่ในมือคนอื่นแน่!”
ซู่เทียนหยวนยกมือก่อนจะขัดเจียงผู่ไว้ “ข้าเคารพในการตัดสินใจของเจ้า” ไม่มีความสง่างามไหนที่จะงดงามไปกว่าการเลี้ยงดูใครสักคนให้เติบใหญ่ขึ้นมาได้ แม้ว่าตัวเขาจะประหลาดใจกับการตัดสินใจของซู่ฮ่องกง แต่ถึงแบบนั้นซู่เทียนหยวนก็ยอมรับมันได้
ซู่ฮ่องกงพูดต่อ “ข้าไม่ได้สนใจลัทธินักบุญโบราณและไม่ได้มีเจตนาที่จะกลายเป็นปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์…”
ซู่เทียนหยวนถอนหายใจอีกครั้ง “อืม…ไม่ว่ายังไงข้าก็ดีใจที่ได้พบกับเจ้า”
“ติ้ง! สั่งสอนซู่ฮ่องกงสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 500”
ลู่โจวไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะได้รับรางวัลจากเรื่องในครั้งนี้ ตัวเขาก็แค่ทำตามใจ เป็นเพราะเรื่องนี้จึงทำให้ลู่โจวมองเห็นความจริงบางอย่าง แม้ว่าศิษย์ไม่รักดีคนนี้จะปากร้าย แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังจริงใจ ‘บทเรียนทั้งหมดที่ได้รับมาไม่ได้สูญเปล่าไปสินะ’
ลู่โจวมองท้องฟ้าก่อนที่จะตะโกนขึ้น “ซู่ฮ่องกง”
ซู่ฮ่องกงลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินตามลู่โจวไป
แม้ว่าจะเป็นเวลาแค่ชั่วครู่เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าซู่เทียนหยวนจะทำใจได้ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้ถามออกมา “ลูกข้า เจ้าเรียกข้าว่าพ่อสักครั้งก่อนที่จะจากไปได้ไหม?”
“…”
‘เรียกพ่ออย่างงั้นเหรอ?’ ซู่ฮ่องกงที่ถูกจับตัวมาในก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกพอใจกับผู้เป็นพ่อเลย แต่เมื่อเห็นสิ่งที่ซู่เทียนหยวนทำแล้ว อารมณ์ความโกรธแค้นทั้งหมดก็หายจางไป แต่ถึงแบบนั้นซู่ฮ่องกงก็ยังรู้สึกอึดอัดใจ ตัวเขายังคงนิ่งเงียบในขณะที่เดินตามลู่โจวเดินออกจากลาน
“เดินทางปลอดภัยพี่จี!”
“นายน้อย!” หลังจากที่ทั้งคู่จากไป ซู่เทียนหยวนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง “ข้าน่ะล้มเหลวมาโดยตลอด…”
เจียงผู่คุกเข่าลง “เป็นเพราะข้าไร้ประโยชน์!”
“พอได้แล้วล่ะ…ยังไงซะพวกเราก็กำลังพูดถึงจีเทียนเด๋า เจ้าคิดว่าพวกเราจะเอาชนะเขาได้จริงๆ อย่างงั้นเหรอ?” ซู่เทียนหยวนพูดอย่างหมดหวัง
“เอ่อ…” เจียงผู่หน้าแดง
“จีเทียนเด๋าเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ ถ้าหากเขาตั้งใจจะฆ่าเจ้า เจ้าก็คงจะตายไปแล้ว เจ้าคิดว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อีกอย่างงั้นเหรอ? แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังคิดว่ามันแปลก ข้าไม่คิดเลยว่านิสัยของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้”
“ถ้าหากนายน้อยไม่คิดที่จะสืบทอด พวกเราจะนั่งเฉยๆ และปล่อยให้ลัทธินักบุญโบราณตกอยู่ในมือคนนอกอย่างงั้นเหรอ?” เจียงผู่ถาม “ลัทธินักบุญโบราณกำลังตกต่ำลงแล้ว…ถ้าหากสุดท้ายมันหายไป ข้าก็ไม่เสียใจ ยังไงซะข้าก็ได้พบกับลูกข้าแล้ว”
“แล้วตอนนี้พวกเราควรจะทำไง?”
“พวกเราจะอยู่ต่อ…ข้าจะไม่จากไปไหนแน่จนกว่าเขาจะเรียกข้าว่าพ่อ…ลูกไม่รักดี!” ซู่เทียนหยวนพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“…”
…
ย้อนกลับไปที่ตำหนักต้าเฉิง
ซู่ฮ่องกงได้กลับมาพร้อมกับลู่โจวโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ในตอนนี้ลู่โจวไม่ได้คิดเรื่องซู่ฮ่องกงเลย ตัวเขากำลังคิดถึงเรื่องของบันทึกอยู่ตลอดเวลา ลู่โจวเดินกลับไปที่เบาะนั่งก่อนที่จะครุ่นคิดต่อไป
ซู่ฮ่องกงไม่กล้าที่จะรบกวนผู้เป็นอาจารย์ ในตอนที่ตัวเขาหันกลับมา ตัวเขาก็ได้พบกับศิษย์พี่สาม ต้วนมู่เฉิงเดินผ่านตำหนักต้าเฉิงเมื่อได้เห็นแบบนั้นซู่ฮ่องกงก็โค้งคำนับผู้เป็นศิษย์พี่ “ท่านอาจารย์ ข้ายินดียอมรับการลงโทษจากศิษย์พี่สาม”
ลู่โจวยังคงพลิกดูบันทึก ตัวเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ซู่ฮ่องกงพูดด้วยซ้ำไป
ซู่ฮ่องกงออกจากตำหนักต้าเฉิงไป “ศิษย์พี่…”
“มีอะไรกัน?”
“ได้โปรดลงโทษข้าด้วย!” ซู่ฮ่องกงโค้งคำนับให้
ต้วนมู่เฉิงขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้มีงานอดิเรกแปลกๆ แบบนั้นหรอกนะ”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ข้าทำผิดและสมควรที่จะได้รับโทษ ในตอนนี้ท่านอาจารย์กำลังยุ่งอยู่ ท่านถือเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในหมู่พวกเรา มันเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วที่ท่านจะลงโทษข้า ลงโทษข้าเถอะ อย่าได้ออมแรงเลยศิษย์พี่” ซู่ฮ่องกงชี้ไปที่หลังของตัวเอง ต้วนมู่เฉิงมองไปที่ซู่ฮ่องกงด้วยสายตาอันซับซ้อน “แปลกจริงๆ …” เมื่อพูดจบตัวเขาก็หันหลังก่อนจะเดินไปยังลานกว้าง
ต้วนมู่เฉิงไม่ได้เดินมาไกลอะไรนักตัวเขาก็ได้ยินเสียงซู่ฮ่องกงอุทานออกมาซะก่อน “ถึงศิษย์พี่สามจะงี่เง่าก็ตาม แต่เขา…เขาก็ยังดีกับข้าจริงๆ …”
ต้วนมู่เฉิงหันกลับมา “เจ้าแปด มานี่”
“หืม?” ซู่ฮ่องกงสับสน
เมื่อต้วนมู่เฉิงเห็นว่าซู่ฮ่องกงไม่ขยับ ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นเดินไปหาซู่ฮ่องกงแทน ท้ายที่สุดต้วนมู่เฉิงก็ตัดสินใจเตะก้นของเขาอย่างดุเดือด
แม้ว่าซู่ฮ่องกงจะหนักกว่าหลายร้อยชั่ง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่สามารถทนทานต่อลูกเตะของต้วนมู่เฉิงได้ ซู่ฮ่องกงที่ถูกเตะกลิ้งไปกับพื้น
เพราะแบบนั้นเองที่ตำหนักต้าเฉิงจึงเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวน “ข้าก็แค่ทำตามความปรารถนาของเจ้า ถ้างั้นนี่ก็เป็นโอกาสดีแล้วที่ข้าจะได้ขัดเกลาวิชาหอกของข้า!”
“โอ๊ย!”
…
ภายในตำหนักต้าเฉิง
ลู่โจวกำลังพลิกดูบันทึกต่อไป แม้ว่าข้อความข้างในจะดูเลือนราง แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังพออ่านข้อความส่วนใหญ่ได้
“ยังไม่แน่ว่าปัญหาทุกอย่างจะเกิดมาจากดอกบัวทองคำ…จะมีใครเต็มใจทดลองกัน?”
ลู่โจวเปิดอ่านที่หน้าถัดไป: ใจของคนเรายากแท้หยั่งถึง ข้าจะต้องควบคุมพลังให้ดีเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ข้ารู้ดีว่าผู้ฝึกยุทธหลายคนต้องการที่จะขโมยวิธีการฝึกยุทธ วิธีการฝึกยุทธบางอย่างลึกล้ำเกินไป แต่ถึงแบบนั้นข้าก็จดจำมันได้ แล้วใครกันที่เป็นผู้สร้างวิธีการฝึกยุทธเหล่านี้ขึ้นมา? ลู่โจวรู้สึกสับสนเมื่อได้อ่านข้อความนั้น วิธีการฝึกยุทธที่แม่นางแซ่หลัวมีไม่ได้มาจากบ้านเกิดของนางอย่างงั้นเหรอ? ถ้าหากเป็นเช่นนั้นนางจะไปเอาวิธีการฝึกยุทธมาจากที่ไหนได้? บันทึกไม่ได้พูดถึงที่มาของการฝึกยุทธที่นางมีอีก ลู่โจวทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น
อีกหลายสิบหน้าถัดจากนั้นเป็นความรู้สึกที่นางมี ความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับตัวลู่โจว
เมื่ออ่านไปได้ครึ่งทาง ตัวเขาก็พบกับสิ่งที่น่าสนใจอีกครั้ง: หลังจากที่ค้นคว้ามาเป็นเวลานาน ข้าก็พิสูจน์ได้ว่าดอกบัวทองคำนั่นแหละที่คอยดูดซับพลังชีวิต ส่วนดอกบัวแดงนั้นไม่ได้ดูดซับ เฟิงเค่อแห่งหม้อเป่ย ผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบและมีอายุขัย 600 ปีล้มเหลวที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ เวลา 400 ปีที่เหลือไม่เพียงพอที่จะข้ามขีดจำกัดได้ เซี่ยฮันแห่งมณฑลหยาง ผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบและมีอายุขัย 400 ปีก็ล้มเหลวที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ แม้แต่เวลา 600 ปีก็ยังไม่เพียงพอ ฮันซองแห่งมณฑลเหลียง ผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบและมีอายุขัย 300 ปีก็ล้มเหลวเช่นกัน เวลาที่เหลือกว่า 700 ปีก็ยังไม่เพียงพอ
โดยรวมแล้วบันทึกสามหน้าต่อจากนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความพยายามที่ล้มเหลวในการฝึกยุทธ
เมื่ออ่านทุกอย่างลู่โจวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมซู่เทียนหยวนถึงได้เรียกแม่นางแซ่หลัวคนนี้ให้กลายเป็นตำนาน ผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบที่ถูกพูดถึงล้วนแต่เป็นผู้มีเชื่อเสียงโด่งดัง แต่ถึงแบบนั้นทุกคนก็เป็นเพียงหนูทดลองสำหรับนาง
คนที่มีอายุน้อยที่สุดก็คือผู้ที่สามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้เป็นผู้มีอายุ 100 ปี
ม่อเจียงหนาน ยอดอัจฉริยะแห่งดินแดนหยาน มณฑลชิงเป็นผู้ที่ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบตั้งแต่อายุ 100 ปีได้ ท้ายที่สุดเขาก็ล้มเหลวที่จะข้ามขีดจำกัดและได้เสียอายุขัยไปกว่า 900 ปี เป็นไปได้ไหมที่ผู้คนทั้งหลายไม่อาจที่จะไปถึงพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้? บางทีข้าควรจะไปเสาะหาชนเผ่าอื่นเพื่อทดลองแทน
หน้าต่อไปยังคงเป็นบันทึกความรู้สึกด้านลบของแม่นางแซ่หลัว
“วันหนึ่งข้าจะต้องพบคำตอบ การสำรวจน่ะไม่มีวันสิ้นสุด! ข้าจะไม่ยอมแพ้!”