หลังจากที่อ่านข้อความที่ว่า ลู่โจวก็พบกับความจริงบางอย่าง ดูเหมือนว่าแม่นางแซ่หลัวคนนี้จะมีอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนได้ง่าย แม้ว่าดูเหมือนนางจะยังเด็กแต่นางก็มีวิธีดูแลจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ นางมักจะเผลอใส่อารมณ์ในบันทึกเล่มนี้ เห็นได้ชัดว่านางยึดมั่นอะไรบางอย่างอยู่
ลู่โจวสงสัยว่านางจะเป็นคนที่ผู้ชี้แนะองค์จักรพรรดิแห่งดินแดนหยานพูดถึงรึเปล่า? ทำไมความคิดเห็นของทั้งสองถึงแตกต่างกันเช่นนี้
ลู่โจวอ่านต่อ: ข้าเคยซื้อแผนที่หยาบๆ มาจากร้านขายของ สิ่งที่แปลกของแผนที่นั่นก็คือความแตกต่างของรายละเอียด โครงร่างที่มันมีดูคล้ายกับบ้านเกิดข้ามาก บางครั้งข้าก็สงสัยว่าข้ากำลังฝันไปรึเปล่า? แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังมีวิธีการอีกมากมายหลายอย่างที่พอจะแยกแยะระหว่างความจริงได้ หน้าถัดไปเต็มไปด้วยสัญลักษณ์อันแปลกประหลาด มันเป็นสัญลักษณ์ที่ลู่โจวไม่อาจเข้าใจได้ ‘นี่จะต้องเป็นสัญลักษณ์ที่นางใช้บ่อยๆ แน่’
ลู่โจวอ่านต่อ: แม้จะทดลองมาแล้วหลายครั้งแต่ข้าก็ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ จะต้องใช้อายุขัยเท่าไหร่ถึงจะให้ดอกบัวทองคำพูดซับได้…นี่เป็นคำถามที่ยากจะแก้ไข ผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจะมีอายุขัยเพียงแค่ 1,000 ปีเท่านั้น ดอกบัวทองคำสามารถดูดซับอายุขัยได้มากกว่า 900 ปี
ในวันนี้ข้าได้คิดค้นวิธีการใหม่ขึ้นมา อักษรโบราณสีแดงสามารถใช้เพื่อยืดอายุขัยของมนุษย์ได้ อักษรพวกนั้นจะสามารถเปิดเผยตัวตนของข้าได้ เพราะแบบนั้นข้าเลยเลือกที่จะซ่อนมันไว้ที่สุสานโบราณ
บันทึกหน้าต่อไปล้วนถูกฉีกขาดเป็นจำนวนมาก
หน้าสุดท้าย: วิธีการยืดอายุขัยอาจจะทำให้เอาชนะขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ได้ แต่ถึงแบบนั้นก็มีข้อกำหนดที่เข้มงวดมาก จากการทดลองที่ข้าทำมาทำให้ข้ารู้ว่ายังมีวิธีที่ดีกว่าการใช้อักษรโบราณสีแดง จากการประมาณการของข้า ดอกบัวทองคำควรจะดูดซับอายุขัยได้ประมาณ 1,100-1,200 ปี แม้ว่าเรื่องปัญหาของดอกบัวทองคำจะถูกแก้ไข แต่วิธีการนี้ยังต้องการ… ยังมีวิธีอื่นที่เหมาะสมกับผู้คนรึเปล่า? ถ้าหากทุกคนมีจิตวิญญาณแห่งการเป็นนักสำรวจเช่นเดียวกับข้าก็คงจะดี แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเหมือนข้า น่าเสียดายที่จะไม่มีคำตอบเกี่ยวกับพันธนาการของฟ้าดิน โชคดีที่ผู้คนยังไม่เดือดร้อน
หน้าสุดท้าย: ข้าไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่…
ลายมือหน้าสุดท้ายดูเละเทะ มันดูเลือนรางก็เพราะความเร่งรีบ
จากสิ่งที่ลู่โจวได้อ่าน ตัวเขาก็ได้รู้ว่าแม่นางแซ่หลัวคนนี้มีทั้งพลังและความรู้มากมาย แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ นางมีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยกับหยุนเทียนลั่ว และนางอาจจะเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบหรือไม่ก็สิบกลีบ
ถ้าหากเนื้อหาจากในบันทึกเป็นความจริง คงจะมีคนมากกว่าหนึ่งคนที่มีพลังดอกบัวสีแดง แล้วทำไมในตอนนี้ถึงยังไม่มีหายนะเหมือนกับที่ผู้ชี้แนะคนนั้นได้ทำนายไว้?
บันทึกเกี่ยวกับผลการทดลองของนางดูไม่เหมือนกับสิ่งที่ถูกแต่งขึ้นอย่างไร้ความหมาย มันดูเป็นไปได้สูงโดยเฉพาะเรื่องของดอกบัวทองคำที่ดูดซับอายุขัย แม่นางแซ่หลัวได้สรุปเอาไว้ว่าดอกบัวทองคำสามารถดูดซับอายุขัยได้ราวๆ 1,100-1,200 ปี คงจะไม่มีคนเสียสติที่ไหนสามารถตั้งขอสรุปแบบนั้นได้
ลู่โจวได้แต่สงสัยว่าแม่นางแซ่หลัวคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า? นางจะคิดยังไงเกี่ยวกับปัญหาที่จะถูกแก้ไขโดยการตัดดอกบัวทองคำกันแน่?
ลู่โจวได้ปิดตำราเล่มเก่าไป หลายส่วนในตำราเริ่มเสียหาย มันเป็นความเสียหายจากอายุขัยที่ผ่านมานานนั่นเอง ลู่โจวยังคงใช้ความคิดอยู่กับตัวเองในความเงียบ ตัวเขารู้สึกเสียดายเล็กน้อยเมื่อไม่รู้ที่มาของแม่นางแซ่หลัว ลู่โจวอยากรู้มาโดยตลอดว่าทุกคนในบ้านเกิดของนางจะเป็นผู้มีพลังดอกบัวสีแดงเหมือนกันหมดรึเปล่า
ดอกบัวสีแดง…
ลู่โจวนึกถึงหอยสังข์ บางทีตัวเขาอาจจะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากการฝึกฝนตัวเองของหอยสังข์ก็ได้
เมื่อไม่มีอะไรที่จะคิดต่อตัวเขาก็ได้หลับตาทำสมาธิ ลู่โจวทำสมาธิกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อ
…
เช้าวันรุ่งขึ้นลู่โจวก็ได้เรียกหอยสังข์มาพบที่ตำหนักต้าเฉิงเป็นการส่วนตัว
หอยสังข์ไม่รู้เลยว่าผู้เป็นอาจารย์ต้องการอะไร นางโค้งคำนับอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์?”
ลู่โจวประเมินหอยสังข์จากทางสายตา“แสดงพลังอวตารของเจ้าออกมา”
“ค่ะ” หอยสังข์เอื้อมมือเล็กๆ ออกมา เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นพลังอวตารที่ดูคล้ายนางก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
มันเป็นพลังอวตารสีแดง แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีดอกบัวทองสีแดง นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างงั้นเหรอ? สิ่งที่ลู่โจวได้เห็นในภาพสะท้อนจากกระจกทองคำเป็นเรื่องเข้าใจผิดรึเปล่า?
ลู่โจวพลิกฝ่ามือ กระจกทองคำได้ปรากฏขึ้นมา กระจกทองคำได้ส่องแสงไปที่หอยสังข์ เมื่อแสงสะท้อนกับหอยสังข์ลู่โจวก็ได้เห็นพลังอวตารดอกบัวสีแดง
“ดอกบัวสีแดง…” ลู่โจววางกระจกทองคำก่อนจะถามออกมา “เจ้าใกล้ที่จะเลื่อนระดับพลังวรยุทธแล้วสินะ?”
หอยสังข์ไม่เข้าใจผู้เป็นอาจารย์ นางถามกลับมาด้วยความตื่นเต้นแทน “ท่านอาจารย์ ข้าเองก็ไม่รู้” เลื่อนระดับพลังวรยุทธ…
ทุกๆ คนจะรู้สึกยังไงเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ลู่โจวได้ทำการวัดพลังวรยุทธที่นางมี อันที่จริงหอยสังข์อยู่ในขั้นปลายของวรยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้จะเป็นแบบนั้นนางก็ยังอยู่ห่างจากขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง ในฐานะที่กระจกทองคำเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะแบบนั้นมันจะต้องสามารถตรวจสอบพลังวรยุทธได้อย่างถูกต้องแน่ มันไม่น่าจะผิดพลาดได้ เท่ากับว่าพลังที่แท้จริงของหอยสังข์น่าจะอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แล้ว นี่ไม่ใช่การฝึกยุทธ มันเป็น…การตื่นขึ้นมากกว่า
“หอยสังข์ เจ้าเคยเห็นดอกบัวสีแดงมาก่อนรึเปล่า?” ลู่โจวถาม
หอยสังข์พยักหน้า “อืม”
“ที่ไหน?”
“ข้าจำไม่ได้”
“เจ้าจำได้ไหมว่าเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
“ข้าจำไม่ได้” ลู่โจวสงสัยว่าหอยสังข์ได้สูญเสียความทรงจำของนางไป การสูญเสียการทรงจำเหมือนกับที่ตัวเขาได้สูญเสียไปรึเปล่า?
“พอแค่นี้ ไปฝึกฝนต่อซะ”
“ค่ะ ท่านอาจารย์” หอยสังข์หันกลับมาก่อนจะวิ่งออกไปจากตำหนักต้าเฉิง
บันทึกที่ลู่โจวมีได้บอกเอาไว้ว่าดอกบัวสีแดงจะไม่ดูดซับพลังชีวิต นั่นก็หมายความว่าผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังดอกบัวสีแดงไม่ได้อยู่ภายใต้ขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่
ยังไงซะกระแสน้ำก็ไม่มีวันไหลย้อนกลับ ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไร
…
สิบวันต่อมา
ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงจันทร์…
ในดินแดนที่เต็มไปด้วยเถ้ากระดูก ยู่ฉางตงกำลังนอนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง ตัวเขากำลังนอนอยู่ใกล้ๆ กับดาบยืนยาว เปลือกตาของเขาปิดสนิท ฮี้!
จี้เหลียงวิ่งกลับมาจากที่ไกลแสนไกล จากนั้นมันก็เริ่มวิ่งวนรอบบึงโคลนก่อนที่จะบินจากไป นี่คือวิธีการหาอาหารหรือวิธีการหาคู่ของมันอย่างงั้นเหรอ?
ในที่สุดยู่ฉางตงก็ลืมตาขึ้น หูของเขากระตุก ยู่ฉษงตงขยับตัวก่อนที่จะกระโดดออกจากกิ่งไม้ การเคลื่อนไหวของเขามันเป็นเหมือนกับใบไม้ที่พัดปลิว ยู่ฉางตงปรับร่างกายให้พร้อมก่อนที่จะเริ่มบินเหนือบึงโคลน ตัวเขาได้แต่เหลือบมองลงมา ยู่ฉางตงได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
ยู่ฉางตงที่มองไปบึงโคลนก่อนที่จะยิ้มจางๆ “ท่านโชคดีจริงๆ”
นี่เป็นสัญญาณว่ายู่เฉิงไห่ยังคงมีชีวิต
ชาววู่เฉียนมักจะอาศัยอยู่ในถ้ำและกินดินเป็นอาหาร เมื่อพวกเขาตายจากไป หัวใจของพวกเขาจะไม่เน่าเปื่อย เมื่อชาววู่เฉียนถูกฝังพวกเขาจะสามารถฟื้นคืนกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ยู่ฉางตงสัมผัสได้ถึงพลังรอบตัว พลังรอบตัวกำลังถูกดึงดูดไปที่บึงโคลน ยู่ฉางตงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้ ตัวเขาได้ทำการเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงในบึงโคลนตลอดเวลาสิบวันที่ผ่านมา ในตอนแรกในบึงโคลนนั้นเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดที่เริ่มเคลื่อนไหว ในตอนนั้นยู่ฉางตงรู้สึกกังวลและเริ่มหวั่นไหว ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่คิดยอมแพ้ นี่เป็นโอกาสของยู่เฉิงไห่ โอกาสเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ตัวเขารอด ยู่ฉางตงยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ เพียงแค่อดทนรอไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงเลย
ยู่ฉางตงเริ่มโคจรพลังก่อนที่จะส่งไปที่บึงโคลน ตัวเขาพยายามสัมผัสว่าเกิดอะไรขึ้นภายใต้นั้น อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจึงทำให้พลังที่ส่งไปกระจัดกระจายหายไปในทันที
สวรรค์ได้สั่งสอนการฝึกฝนพลังวรยุทธให้กับมนุษย์ และเพราะแบบนั้นจึงทำให้ทุกคนสามารถควบคุมพลังธรรมชาติจนกลายเป็นพลังลมปราณได้ มันเป็นพลังที่ใช้ปกป้องตัวเองรวมไปถึงพลังที่อาจจะทำลายโลกใบนี้ บางครั้งแม้แต่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบผู้แข็งแกร่งก็ยังไม่สำคัญอะไรเมื่อต้องพบกับโลกอันกว้างใหญ่และเรื่องลึกลับจากธรรมชาติ
“ข้าน่ะไม่เคยขาดความอดทนแบบนี้มาก่อน…ข้าได้แต่หวังว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ” ยู่ฉางตงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
ม้ค่ำคืนยังมืดมิดแต่ก็ยังมีแสงจากดวงดาวที่คอยส่องประกาย
ยู่ฉางตงกลับไปที่ต้นไม้ที่สูงกว่าเดิม ตัวเขากำลังพยายามมองหาจี้เหลียง ยู่ฉางตงมองไม่เห็นจี้เหลียง สิ่งที่ตัวเขาเห็นก็คือขบวนของผู้ฝึกยุทธ พวกเขากำลังบินเข้ามาหายู่ฉางตงอย่างช้าๆ ท่ามกลางแสงจันทร์
ยู่ฉางตงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะหายเข้าไปในป่า