บทที่ 636 เขาน่ากลัวจริงๆ

Lucky baby คุณพ่อ ต้องพยายามจีบแม่

เจียงหยุนเอ๋อแกะกล่องยาออกมา และกำลังจะหยิบยานั่นออกมากิน ก็พบว่าข้างในมีข้อความเล็กๆ บนกระดาษนั้นมีลายมือของเคซี่ย์

ข้อความนั้นทำให้เจียงหยุนเอ๋อได้รู้ถึงสาเหตุที่เธอถูกพาตัวมา

“เจ้าของฐานทัพนี้จับกุมเธอมา ก็เพราะอยากจะช่วยเหลือคนรักของเขา คนรักของเขามีภาวะเลือดเป็นพิษ การรักษาก่อนหน้านั้นมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น เลยต้องการเปลี่ยนถ่ายเลือด และคนที่มีกรุปเลือดและยีนตัวเดียวกันกับคนรักของเขาก็คือคุณ”

“พวกเขาต้องการจะสูบเลือดคุณจนหมดตัว จากนั้นก็นำเลือดของคุณไปให้กับภรรยาของเขา ด้วยวิธีนี้ จึงต้องผ่าเอาลูกของคุณออกมา และสุดท้ายคุณเองก็ต้องตายอยู่ที่นี่ แต่ว่าตอนนี้ ทุกอย่างยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณต้องพักผ่อนให้มากๆ ดูแลสุขภาพตัวเอง เผื่อบางทีมีโอกาสหนีรอดออกไปได้ ……”

เมื่อเจียงหยุนเอ๋อเห็นคำพูดเหล่านี้ การสูบเลือดออกจนหมดและการผ่าเอาเด็กออก ก็ตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน ในใจร้อนรนกระวนกระวาย แต่เมื่อเธอเห็นโอกาสที่จะหนีออกไปได้ ก็ควบคุมอารมณ์ให้เย็นลง แล้วปลอบตัวเอง

สิ่งที่เคซี่ย์พูดอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง บางทีอาจจะแค่โกหกเธอ แต่เธอต้องดูแลตัวเอง เผื่อว่ามีโอกาสที่จะหลบหนี เจียงหยุนเอ๋อคิดในแง่ดี

แต่ว่า ความจริงทำลายความฝันของเธออีกครั้ง ศาสตราจารย์คูลี่ได้ให้คนมาพาเธอไปยังห้องพยาบาลเพื่อเจาะเลือด

บางทีอาจเป็นเพราะยาที่ศาสตราจารย์คูลี่ให้เธอกิน อีกทั้งการพักผ่อนและการออกกำลังกายนั้นส่งผลดี การเจาะเลือดครั้งนี้ แม้ว่าเจียงหยุนเอ๋อจะมีอาการลมจับบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมดสติไป ดังนั้นเธอจึงได้ยินบทสนทนาที่ศาสตราจารย์คูลี่คุยกับชายอีกคนที่อยู่ด้านนอก

ฟังสิ่งที่ชายคนนั้นพูด ก็พอจะเดาได้ว่าชายคนนั้นเป็นเจ้าของฐานทัพแห่งนี้

เมื่ออาเธอร์เห็นศาสตราจารย์คูลี่เจาะเลือดของเจียงหยุนเอ๋ออย่างระมัดระวัง อีกทั้งยังเจาะไปเพียงนิดเดียว ก็โกรธมาก

“ศาสตราจารย์คูลี่ ต้องรอถึงเมื่อไหร่การเปลี่ยนถ่ายเลือดถึงจะเสร็จสิ้น?” อาเธอร์เอ่ยถามพูดเสียงทุ้ม เสียงที่ผ่านเข้าหูของเจียงหยุนเอ๋อทำให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า

“คุณอาเธอร์ ใกล้แล้ว” ศาสตราจารย์คูลี่มองไปยังเจียงหยุนเอ๋อแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “แต่ยังต้องใช้เวลาอีกหน่อย”

“ยังไงคุณก็เร่งมือหน่อย ไม่อย่างนั้น ผมกลัวว่าผมจะรอไม่ไหวจนต้องปล่อยให้พวกคุณตายอยู่ที่นี่ ตายไปพร้อมกับเบ็ตตี้” อาเธอร์เก็บกักอารมณ์โกรธเอาไว้ พูดจบก็เดินจากไป

หลังจากที่อาเธอร์จากไป ศาสตราจารย์คูลี่ก็มองไปยังร่างที่ไหวสั่นของเจียงหยุนเอ๋อ ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ “ได้ยินหมดแล้ว?”

เจียงหยุนเอ๋อลืมตาขึ้นและร่างกายสั่นไหว ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ศาสตราจารย์คูลี่เห็นเธอในสภาพแบบนี้ ก็ถอนหายใจ

“คุณใจเย็นๆก่อน ในเมื่อผมไม่ได้บอกคุณอาเธอร์เรื่องที่คุณฟื้น นั้นก็หมายความว่าผมจะไม่ทำอะไรกับคุณ คุณไม่ต้องกลัว”

“หากคุณไม่เชื่อ คุณถามเคซี่ย์ได้ เขาเป็นผู้ช่วยผม ยาที่คุณกินก่อนหน้านั้นผมเป็นคนให้เขาเอาไปให้คุณเอง”

ศาสตราจารย์คูลี่เห็นว่าเจียงหยุนเอ๋อยังคงมีอาการหวาดกลัว ก็รู้ว่าเจียงหยุนเอ๋อไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูด เขาหันกลับไปมองเคซี่ย์อย่างจนใจ

เคซี่ย์เดินเข้ามา แก้อุปกรณ์ที่ยึดมือและเท้าของเจียงหยุนเอ๋อออก จากนั้นก็ค่อยๆประคองเธอลงจากเตียง เพื่อให้เธอนั่งบนรถเข็นที่เตรียมเอาไว้ให้เธออยู่ก่อนแล้ว

ศาสตราจารย์คูลี่เหลือบมองไปยังทิศทางของห้องทดลอง แล้วส่งสัญญาณให้เคซี่ย์

จากนั้นเคซี่ย์ก็เข็นเจียงหยุนเอ๋อมายังหน้าห้องทดลอง เจียงหยุนเอ๋อมึนงงสงสัย แต่ในตอนที่เธอมองไปยังด้านในนั้น ก็เห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ในนั้น ดูไปแล้วอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ เพียงแต่หญิงสาวคนนั้นนอนอยู่บนเตียงคนป่วย ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายมีท่อสายยางเสียบอยู่เต็มไปหมด ด้านข้างยังมีเลือดสดๆที่เพิ่งเจาะไปจากเธอ

“นั่น…เป็นเลือดของฉันเหรอ? เธอเป็นภรรยาของผู้ชายคนเมื่อกี้ใช่ไหม ?”

เจียงหยุนเอ๋อวางมือไปบนกระจกของห้องทดลอง สายตาจับจ้องไปยังหญิงสาวที่อยู่ข้างในอย่างไม่กะพริบตา

“ใช่ เธอชื่อเบ็ตตี้ คุณอาเธอร์รักเธอมาก เลยจับตัวคุณมา และตอนนี้คุณอาเธอร์ก็แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

“เหรอ? เขาน่ากลัวจริงๆ ”เจียงหยุนเอ๋อพูดอย่างคนไร้จิตวิญญาณ

เจียงหยุนเอ๋อก็มองดูอีกครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆเธอก็ลุกขึ้น ทำเอาเคซี่ย์กับศาสตราจารย์คูลี่ที่อยู่ข้างๆถึงกับตกใจ

เดิมทีเจียงหยุนเอ๋อคิดว่าจะเดินกลับไปเอง แต่พอเดินไปได้ไปสองก้าว ร่างทั้งร่างก็แทบจะล้มพับไป ยังดีที่เคซี่ย์ยืนอยู่ข้างๆเธอ ในตอนที่เธอกำลังจะล้มลงไปนั้น มือและสายตาที่ว่องไวก็คว้าร่างเธอเอาไว้

ศาสตราจารย์คูลี่ให้ผู้ช่วยคนอื่นเข็นเตียงผู้ป่วยมาให้เตียงหนึ่ง จากนั้นเคซี่ย์ก็อุ้มร่างเจียงหยุนเอ๋อวางขึ้นไป แล้วห่มผ้าให้เธออย่างเบามือ

“เคซี่ย์ส่งเธอกลับไปเถอะ” ศาสตราจารย์คูลี่ถอนหายใจแล้วมองเจียงหยุนเอ๋อที่นอนสลบไม่รู้ตัว “ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อกี้ เธอเองคงไม่เชื่อ คุณส่งเธอกลับไป จากนั้นก็หาโอกาสคุยกับเธอ ให้เธอได้มีเวลาเตรียมใจเอาไว้เถอะ”

เคซี่ย์พยักหน้า จากนั้นก็เข็นเตียงของเจียงหยุนเอ๋อกลับไปยังห้องเธอ

ภายในประเทศ แม้ว่าลี่จุนซินจะถูกปลดออกจากตำแหน่งรักษาการประธานแล้ว ก็ทำให้เธอมีเวลาว่างมากขึ้นเล็กน้อย ในช่วงหลายวันมานี้ลี่หุยกับลี่หยูนห่วน ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร และไม่ได้มาก่อกวนอะไรลี่จุนซินเช่นกัน

วันนี้ เนื่องจากทางโรงเรียนจะจัดบรรยายบัณฑิตที่มีการศึกษาดีเด่น ลี่จุนซินจึงได้เดินทางไปยังโรงเรียนเก่าอีกครั้ง ตอนที่เธอไปนั้นก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว เวียร์โทรมาเธอจะชวนเธอไปกินข้าวด้วย เมื่อได้ยินว่าลี่จุนซินอยู่ที่โรงเรียน ก็อาสาจะไปรับเธอ ประจวบเหมาะกับที่เธอไม่ได้ขับรถมาพอดี

ชั้นหนึ่งของโรงเรียนเป็นห้องเรียนเปล่าๆ มีเพียงโคมไฟถนนที่ตรงบันไดยังคงส่องแสงสลัว ลี่จุนซินวิ่งลงมายังชั้นล่างก็เห็นภาพคนคนหนึ่งที่กำลังยืนพิงอยู่ที่กำแพง

ไม่ใช่ว่าไม่เคยดูหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นของเด็กผู้หญิง ที่มีพระเอกรูปร่างหล่อสูงใหญ่เอนกายยืนทอดขา พิงกำแพง ท่าทางที่หยาบโลนทำให้ดูหล่อมากขึ้นไปอีก แต่ความจริงที่เห็นกลับตบหน้าเธออย่างแรง เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่เป็นเหมือนในหนังสือการ์ตูนเลยสักคน แต่ตอนนี้เวียร์เพียงแค่ยืนอยู่อย่างเงียบๆ มิหนำซ้ำยังมีท่าทีที่ง่วงและเกียจคร้านปนด้วย รอบๆบริเวณราวกับจะหยุดนิ่ง เป็นเหมือนภาพพื้นหลังของเขา

ไฟที่ติดตั้งตรงบันไดนั้นเป็นแบบไฟเซนเซอร์ ในตอนที่ลี่จุนซินวิ่งลงมานั้น เพราะได้ยินเสียง และรับรู้ถึงแสงสว่าง หรืออาจเป็นเพราะสายตาที่ร้อนแรง เวียร์ก็มองมาที่เธอ

ลี่จุนซินก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เธอยืนนิ่งงุนงง แล้วจ้องมองไปที่เขา

เมื่อได้สติเวียร์ก็มายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว และต่อว่าเธอว่า“เชือกรองเท้าหลุดแล้วไม่รู้ตัวหรือไง ?”

เมื่อลี่จุนซินได้ยินก็ก้มลงมอง เป็นไปตามคาด เชือกรองเท้าทั้งสองตกลงบนพื้น อาจเพราะเพิ่งเหยียบมันเข้า เชือกรองเท้าสีขาวก็กลายเป็นสีดำ มองเห็นได้อย่างชัดเจน ลี่จุนซินก้มลงหวังจะผูกเชือกรองเท้านั่น เวียร์ที่ก้มลงไปก่อนสองก้าวนั่งยองๆแล้วผูกเชือกรองเท้าให้เธอ

ลี่จุนซินจ้องมองไปที่ศีรษะของเวียร์อย่างงุนงง เธอไม่เคยให้ใครผูกเชือกรองเท้าให้ อีกทั้งก่อนหน้านั้นเวียร์เองก็ไม่เคยทำแบบนี้ให้เธอ เธอรู้สึกอึดอัดจนอยากจะดึงเท้ากลับ แต่เวียร์ก็จับเท้าเธอเอาไว้ไม่ให้เธอขยับ