บทที่ 592 หยางซู่หลินเสียใจจริง ๆ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 592 หยางซู่หลินเสียใจจริง ๆ

บทที่ 592 หยางซู่หลินเสียใจจริง ๆ

มู่มู่กระตือรือร้นเรื่องหาเงินกับคนบ้านซูมาก

ปีใหม่ที่ได้ทำธุรกิจร่วมกันทำให้เขาหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำเลย มองย้อนกลับไปยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่เสมอ

หลังจากที่เราสองพี่น้องแยกกับคนบ้านซูแล้ว เขาเองก็พยายามลองขายตามเมืองเล็ก ๆ ดูบ้าง ทว่ามันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนร่วมมือกับพวกเขาเลย ดีสุดก็ได้เงินมาหน่อยหนึ่ง เพราะงั้นช่วงหกเดือนมานี้ ชายหนุ่มได้แต่สงสัยว่าคนบ้านซูเป็นพระเจ้าหรือเปล่า?

คนกลุ่มใหญ่เดินทางไปยังโรงงานต่าง ๆ เพื่อกำหนดแบบเสื้อผ้าที่ต้องการ จากนั้นก็พากันไปดูพวกเครื่องประดับ หมวก และออกแบบด้วยเช่นกัน

มีเรื่องเกิดขึ้นบ้าง แต่โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น

มู่มู่มองเห็นโชคที่ทำให้เส้นทางนี้ราบรื่นแล้ว เขาอดทอดถอนหายใจไม่ได้ คนบ้านซูนี่ยังไงกันนะ? หรือพระเจ้าจะโปรดปรานเป็นพิเศษ?

คนอื่นใช้เวลาตั้งสี่ห้าวันถึงจะสำเร็จด้วยซ้ำ

ทว่าสี่ห้าวันที่ว่าก็ไม่แน่จะเจรจาได้เสมอไปหรอก

ส่วนพวกพนักงานขายในโรงงานนั้นปกติจะชอบทำตัวเหมือนพวกคนหัวสูง แต่วันนี้กลับพูดจารื่นหูอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

คราวนี้เหมือนจะหาเงินได้อีกแล้วนะ

แม้แต่หยางซู่หลินที่เอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลายังตกใจเลย

หัวหน้าส่งเขามาทำหน้าที่ดูแลพวกเด็ก ๆ ตอนแรกคิดว่าคงเป็นพวกงานการไม่ทำ แต่เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น พวกเขากำลังวางแผนทำอะไรกันอยู่

ที่จริงก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าที่เมืองหลวงมีห้างร้านหรงฟาที่กำลังเป็นที่นิยมมาก แถมเด็กพวกนี้ก็เปิดคนเปิดด้วย เขาไม่เชื่อจนกระทั่งได้มาเห็นกับตาตัวเอง

ชายวัยกลางคนได้แต่เสียใจที่ไม่ได้เอาเงินมาเพิ่มกว่านี้ ไม่งั้นคงทำเงินได้บ้างแล้วละ

เขาเสียใจจริง ๆ นะ

ก่อนเดินทาง หัวหน้ายังเตือนให้เขาเอาเงินในบ้านไปอีกด้วย จะมีเรื่องน่าตื่นใจให้ได้ชม

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ฟัง แล้วเอาเงินติดตัวมาด้วยแค่สองร้อยหยวนเท่านั้นเอง

เงินสองร้อยหยวนใช้วันเดียวยังว่าเยอะ แต่ถ้าซื้อของในหรงเฉิงด้วย มีอยู่แค่นั้นซื้ออะไรไม่ได้หรอก

สองร้อยหยวนซื้อนาฬิกาได้มากสุดสามเรือนเอง จากที่เด็กกลุ่มนี้บอกไว้ว่า ถ้าหาเรือนที่ดีกว่านี้หน่อยจะหาเงินได้อีกเท่าเลยนะ แถมเขาเองยังได้เงินคืนทุนด้วย

นั่นละ ก็เลยได้แต่เสียใจ แต่ในชั่วครู่หนึ่งกลับโล่งใจว่าถึงจะได้แค่สองร้อยก็ยังหาเงินได้อยู่ดี

ฐานะบ้านเราไม่ดีเท่าไร มีสมาชิกกันอยู่สี่ห้าคน มีสองคนทำงานหาเงิน ส่วนเงินเดือนได้เดือนหนึ่งไม่ถึงร้อย อาหารการกินอะไรก็ไม่เคยพอ และการเดินทางในคราวนี้ทำให้เขาหาเงินได้เยอะกว่าเดิมถึงสองร้อยเชียวนะ ไม่ใช่น้อย ๆ เลย

วันที่สาม หลังจากสั่งสินค้าที่กำหนดไว้เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ได้นอนหลับสบายเสียที

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ทุกคนช่วยกันซื้อของที่จะเอาไปขายยังตะวันตกเฉียงเหนือตามสถานที่ที่เคยไปมาก่อน

ครั้งก่อนที่มาเราหาเงินได้เพียบเลย

ก่อนจะเอามันมาแลกเป็นสินค้า เราเลือกของที่มีค่าและมีราคา แม้จะเป็นสิ่งที่พกพาไม่ลำบากแต่ก็ยังต้องใส่กระเป๋าใบใหญ่หลายใบอยู่ดี

พละกำลังของหยางซู่หลินยอดเยี่ยมมาก แค่คนเดียวก็ถือได้ครึ่งนึงแล้ว คาดคะเนน้ำหนักไม่ออกเลย

ด้วยเงินสองร้อยหยวนที่มีอยู่ ชายวัยกลางคนตัดสินใจซื้อนาฬิกามาสามเรือน ตั้งใจเอามาขายกับพวกเด็ก ๆ

คนที่เหลือแบกกระเป๋าไว้บนหลัง แม้ใบจะไม่ใหญ่เท่าของลุงบอดี้การ์ด แต่ขนาดของมันก็ไม่ได้เล็ก

น้ำหนักมากถึงขนาดปวดไหล่

ฉืออี้หย่วนมองไหล่บางๆ ของเด็กหญิงก่อนจะเอ่ย “เสี่ยวเถียน เอากระเป๋ามาให้พี่มา!”

เธอเพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเอง การต้องมาแบกกระเป๋าหนักแบบเรา ๆ เหนื่อยไม่ใช่เล่น ๆ นะ

เสี่ยวเถียนรีบส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะพี่อี้หย่วน หนูแข็งแรงดี ไม่เหนื่อยที่ได้ทำหรอกค่ะ”

เขาไม่อยากเชื่อเลย แต่พอนึกถึงความแข็งแรงของน้องที่ตนแทบทัดเทียมไม่ได้ จึงหัวเราะออกมา

เราออกเดินทางจากโรงแรม แวะกินข้าวที่บ้านมู่มู่ก่อนขึ้นรถไฟด้วย

หลินหลินยังเป็นคนทำอาหารให้

ทักษะของเธอไม่มีอะไรต้องพูดเยอะ

ทุกคนได้รับการดูแลอย่างดี

ไม่เพียงเท่านั้น หญิงสาวได้เตรียมอาหารให้ทุกคนไปกินบนรถไฟด้วย

“พี่หลินหลินต้องระวังไว้ด้วยนะคะ เป็นผู้หญิงเก่งแบบนี้ ไม่รู้บ้านไหนจะได้ไปเป็นสะใภ้”

เสี่ยวเถียนยิ้ม ทั้งยังหรี่ตามองโส่วเวินด้วย

ตอนนั้นเองที่อี้หย่วนเห็น

นี่กำลังหาพี่สะใภ้ให้ตัวเองอยู่หรือ?

แต่เรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่พี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ?

เสี่ยวเถียนก้าวก่ายถึงขนาดนี้ เป็นคนอื่นคงไม่พอใจ และโดนตำหนิไปแล้ว

ทว่าพอได้เห็นสีหน้าพี่ใหญ่ก็เข้าใจ

ดูเหมือนไม่ใช่เสี่ยวเถียนที่หัวไวหรอกนะ

แบบนี้ก็วางใจขึ้นหน่อย

เสี่ยวเถียนไม่ได้ชอบมู่มู่

แต่เพราะพี่ใหญ่ถึงวัยที่ควรหาภรรยาได้แล้ว อายุอานามเองก็ไม่น้อยแล้วด้วย

ฉืออี้หย่วนยิ้มอ่อนโยน ใบหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความสุข

ฝั่งหลินหลินหน้าแดงแจ๋

เธอมองน้องสาวด้วยแววตาตำหนิ “พูดจาเลอะเทอะ เป็นสาวเป็นแส้ไม่รู้จักอายบ้างเลยนะ!”

เสี่ยวเถียนกอดแขนเธอแน่น “พี่หลินหลิน หนูมีพี่ชายเยอะนะคะ มีพี่ที่อายุไล่ ๆ กับพี่ด้วยนะ พี่ลองดูสักหน่อยซี่ว่าชอบคนไหนบ้าง?”

คำพูดติดตลกของเด็กสาว ทำหลินหลินที่เป็นคนเงียบเงียบหนีกลับเข้าห้อง

เธอหัวเราะลั่น

ส่วนพวกพี่ ๆ อดส่ายหัวไม่ได้

“เด็กคนนี้ ยิ่งโตยิ่งดื้อ”

แต่เธอสนใจเสียทีไหนล่ะ

หยางซู่หลินเห็นว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว จึงเตือนให้ทุกคนหยิบข้าวของเตรียมออกเดินทาง

มู่มู่เห็นว่าต้องไปหลายวัน เขาจึงกังวลมากที่ต้องทิ้งน้องให้อยู่คนเดียว

“หลินหลิน ดูแลตัวเองด้วย! ล็อคประตูหน้าต่างให้ดี ใครเคาะก็อย่าเปิดให้นะ!”

ก่อนจะออก เขาตะโกนบอกน้องสาว

“มู่มู่ หลินหลินไม่ใช่เด็กแล้วนะ เธอดูแลตัวเองได้!” ซื่อเลี่ยง

เสี่ยวเถียนเรายังดูแลตัวเองได้เลย นับประสาอะไรกับหลินหลินที่แก่กว่าหลายปี

มู่มู่นี่ขี้กังวลจริง ๆ ในฐานะพี่ชายที่ห่วงน้องมากแบบพวกเราเรียกได้ว่าอาการเข้าขั้น!

ชายหนุ่มยิ้ม “ฉันไม่เคยห่างจากหลินหลินนานขนาดนี้เลยนี่”

ว่าจบก็ขบคิดอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ตอบตกลงแล้วว่าจะให้น้องไปกับเสี่ยวเถียนด้วย แถมสองวันมานี้ที่กินยาเหมือนสภาพจิตใจจะดีขึ้นไม่น้อย เหมือนว่าจะมีผลนะ

แล้วถ้าน้องต้องไปเมืองหลวงจริง ๆ จากนี้ไปเราจะแยกทางกันอีกนานเลยนะ

เฮ้อ!

เริ่มเสียใจขึ้นมาแล้วสิ ทำยังไงดีล่ะ?