บทที่ 593 พวกเราออกเดินทาง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 593 พวกเราออกเดินทาง

บทที่ 593 พวกเราออกเดินทาง

คนกลุ่มใหญ่ก้าวขึ้นรถไฟ

ป้ายแรกคือเมืองจินหราน

เหตุผลมีแค่คุ้นเคยกับที่นี่ดี

แต่สำหรับซู่หลินมู่มู่ นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่เดินทางไปเยือนภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จึงมีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องทางฝั่งนี้มา

ได้ยินว่าเป็นพื้นที่ล้าหลังมาก แต่มากถึงขนาดไหนอันนี้เราไม่รู้

เมื่อไม่รู้จึงเอ่ยถาม

“ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่เป็นพื้นที่แห้งแล้ง ประชากรน้อย” เสี่ยวเถียนไม่รู้จะตอบยังไง “เพราะแล้งน้ำ หลายปีมานี้ผลผลิตทางการเกษตรจึงมีจำกัด อุตสาหกรรมไม่สามารถพัฒนาได้”

แล้วน้ำ?

เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนทั้งสอง

มันจะแล้งได้ยังไงน่ะ?

“แล้งน้ำหรือ? ทำไมล่ะ?” มู่มู่สงสัย “ไม่มีแม่น้ำหรือ?”

“มีค่ะ แต่มันน้อยหากเทียบกับเมืองอื่น ๆ ทางตอนใต้ แห้งแล้งกว่าเมืองหลวงด้วย แถมพื้นที่แถบนี้ยังเป็นภูเขา ไม่มีทางน้ำออก และถึงมีเส้นทางน้ำก็หาทางให้ไหลขึ้นไปบนเขาไม่ได้”

นี่คือเรื่องจริง ไม่ใช่ว่าเราไม่มีแม่น้ำหรอกนะ แต่เพราะน้ำไม่สามารถหล่อเลี้ยงในภูมิภาคนี้ได้เลย มันจึงเกิดภัยแล้งเสียส่วนใหญ่

ได้ยินเช่นนี้ อี้หย่วนก็ขบคิดอย่างหนัก

กองชุมชนหงซินอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ จึงไม่มีการขาดแคลนน้ำ เพราะงั้นสภาพความเป็นอยู่ของที่นี่จึงค่อนข้างดี

ได้ยินว่ากองชุมชนโดยรอบแย่กว่าของเราเยอะเลย

“แล้วฝนตกไหม?” มู่มู่สงสัย

ภาคใต้มีวันที่ฝนตกมากกว่าแดดออกเสียอีก เขาคิดว่าตราบใดที่ฝนตกก็คงไม่เกิดภัยแล้งแล้ว

“ฝนตกหรือคะ? น่าจะมีนะ” เสี่ยวเถียนครุ่นคิด “แต่เมื่อเทียบกับภาคใต้แล้วน้อยมากค่ะ อาจจะน้อยกว่าปริมาณน้ำฝนในเมืองหลวงด้วย”

เธอนึกถึงข้อมูลที่เคยอ่านเจอในหนังสือ “ตัวอย่างอำเภอซางอวี๋ของเรา ปริมาณน้ำฝนต่อปีประมาณ 350 มิลลิเมตรค่ะ แต่การระเหยกลับสูงถึง 1,600 มิลลิเมตร อากาศจึงแห้งและไม่มีฝนตกตลอดทั้งปี และสภาพธรรมชาติก็ย่ำแย่ไปด้วย”

มู่มู่กำลังคิดภาพอาศัยธรรมชาติในการดำรงชีวิต แต่เหมือนจะไม่รู้ว่าธรรมชาติที่ว่ากับของเสี่ยวเถียนจะไม่เหมือนกัน

“อนาคตคงมีวิธีแก้ปัญหาก็ได้นะ” ฉืออี้หย่วน

เสี่ยวเถียนยิ้มขื่น ต่อให้ผ่านไปอีกหลายปีสถานการณ์ที่นี่ก็ยังเหมือนเดิม แต่มันก็เป็นการให้ความหวังกันสินะ?

“ถ้าฝนไม่ตก แล้วจะปลูกพืชผลกันยังไงล่ะ? คนกับสัตว์กินอะไรกัน?” มู่มู่กลายเป็นเด็กขี้สงสัยไปเสียแล้ว

“พื้นที่ส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีการทำชลประทานแบบผันน้ำ*[1]ค่ะ เราจึงทำได้แค่พึ่งพาธรรมชาติในการดำรงชีวิตเท่านั้นค่ะ ส่วนพืชผลต่าง ๆ จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ น้ำสำหรับคนและสัตว์จะเก็บไว้ในบ่อเก็บน้ำค่ะ ใช้กันทั้งครอบครัวได้ครึ่งปี ชีวิตปกติดีไม่มีปัญหาค่ะ”

“แล้วถ้าไม่รดน้ำ พืชจะโตยังไงล่ะ?”

“ผลผลิตเราน้อยอยู่แล้วค่ะ ถ้าปีนี้ปกติดีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าปีหน้าแล้งผิดปกติ พืชจะล้มตายกันหมด แถมน้ำในบ่อก็ไม่มีพอ ต้องเดินทางหลายลี้ไปตักน้ำค่ะ” เสี่ยวเถียนอดถอนหายใจไม่ได้

พี่ใหญ่พี่รองมองน้องเล็กด้วยความรู้สึกหลากหลาย ประหลาดใจที่น้องรู้สถานการณ์โดยรอบดีตั้งแต่เมื่อไร? พวกเรายังไม่เห็นรู้เลย

แต่พอคิดว่าน้องเรียนเก่ง คงหาอ่านเจอจากหนังสือจึงไม่ติดใจอะไร

ในที่สุดรถไฟก็เดินทางโครงเครงมาจนทางตะวันตกเฉียงเหนือ

ระหว่างทางไม่เจอเรื่องอะไรเลย เรียกได้ว่ารายรื่นทุกอย่าง

ในที่สุดหัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของหยางซู่หลินก็ถูกปล่อยลงมาเสียที

เขากังวลมาตลอดทางว่าจะเจอเข้ากับอะไร ไม่รู้ว่าตัวคนเดียวจะรับมือไหวไหมด้วย

เป็นเรื่องดีที่เราได้มาอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือเสียที

สถานีรถไฟตั้งอยู่ที่ชายขอบของเมืองจินหลาน ที่นี่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและสันเขาอันแห้งแล้ง ฤดูร้อนที่ควรมีพืชพรรณเขียวชอุ่มมากที่สุด กลับไม่มีให้สำหรับที่นี่

มู่มู่ตกใจมาก

หยางซู่หลินคิดว่าภูเขาในเมืองหลวงแห้งแล้งพอแล้วนะ แต่ไม่คิดเลยว่าภูมิภาคทางนี้แห้งแล้งกว่ามากแม้แต่ต้นไม้ยังไม่มีเลย

“ทำไมภูเขาที่นี่ไม่มีต้นไม้เลยล่ะ?”

หยางซู่หลินเป็นคนเอ่ยถาม

ทุกที่เต็มไปด้วยกรวดทรายสีเหลือง ต่อให้งดงามแต่ไม่เจริญตาสักนิด

เสี่ยวเถียนอับจนหนทาง “มันแห้งแล้งค่ะ ต้องพึ่งพาธรรมชาติอย่างที่ว่านั่นล่ะ เราใช้เวลาหลายปีกว่าจะปลูกต้นไม้ได้ต้นหนึ่งเลยนะคะ ถ้าเกิดภัยแล้งร่วมหลายเดือน พวกมันก็เฉาตายหมดค่ะ”

“แต่หนูคิดว่าหลังจากนี้สถานการณ์คงจะเปลี่ยนไปบ้าง สภาพแวดล้อมคงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ”

เสี่ยวเถียนอินกับสิ่งเหล่านี้มาก เพราะมันต้องใช้เวลาหลายปีเลยกว่าจะแก้ไข

และหัวข้อบทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านี้

จุดประสงค์ของการมาเยือนครั้งนี้ของเราคือหาเงิน ไม่ใช่แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

หลังจากนั้นเราจึงหาที่พักเพื่อลงหลักปักฐาน จากนั้นก็เดินทางไปขายของที่หน้าประตูโรงงาน หรือทางฝั่งสถานศึกษา

ถึงเมืองจินหลานจะตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ก็ยังมีโรงงานขนาดใหญ่อยู่บ้าง เช่น โรงงานเส้นด้ายขนสัตว์ โรงงานทั่วไป และโรงงานโทรทัศน์อีกสองแห่ง พวกเขามีคนงานเยอะมาก ตอนนี้ได้ผลประโยชน์ดี ค่าจ้างก็ไม่ได้ต่ำ

พวกเสี่ยวเถียนแบ่งกันไปเช้าบ่าย ครบครึ่งวันก็เปลี่ยนที่ และเลือกเวลาที่คนจะเลือกงานกัน

สินค้าที่เรานำมาจากหรงเฉิงไม่ว่าจะส่วนไหนก็เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของเมือง จินหลานทั้งสิ้น

ต่อให้เราขายออกในราคาที่สูง ก็ยังดึงดูดคนมาซื้อได้อยู่ดี

“ไม่คิดเลยว่าในพื้นที่ชายแดนของตะวันตกเฉียงเหนือจะมีลูกค้าที่กำลังซื้อสูงขนาดนี้!” หยางซู่หลินสะเทือนใจมากหลังจากนาฬิกาขายนาฬิกาทั้งสามเรือนได้

เขาเอาเงินติดตัวมาแค่สองร้อยเท่านั้น และระหว่างทางที่มานี้ก็ได้เป็นจากสองร้อยมาเป็นสี่ร้อยแล้ว

เหตุการณ์นี้ทำเขาเสียใจจริง ๆ ที่ว่า ทำไมถึงไม่เอาเงินที่เก็บไว้ซื้อบ้านมาซื้อ

ถ้าเอาเงินพันกว่าหยวนนั่นมา รอบนี้เราได้กลับไปสองพันกว่าเลยนะ

แต่จะเสียใจก็สายเกินไปแล้ว

เขาคิดว่าหลังจากนี้จะเปลี่ยนนิสัยตัวเองเสียบ้าง

ไว้กลับหรงเฉิงเมื่อไรค่อยเอาเงินสี่ร้อยนี้ซื้อสินค้ากลับไปอีกบ้างดีกว่า พอถึงเมืองหลวงก็จะได้ขาย ตอนนั้นน่าจะมีสักหกเจ็ดร้อยแล้วล่ะ

เรียกได้ว่าเป็นเงินที่มากพอสมควร

ต้องบอกว่าหยางซู่หลินเป็นคนที่พอใจที่สิ่งที่มีอยู่มาก ๆ

เพราะแบบนี้ต่งหยวนจงจึงจดจำได้และมอบโอกาสให้

ทว่าด้วยนิสัยแบบนั้นจึงทำให้เขาพลาดโอกาสในการสร้างโชคไป

และไม่ใช่แค่นาฬิกาของเขาที่ขายได้ แต่สินค้าอื่น ๆ ในมือพวกเราก็จังขายออกได้ในวันเดียว เหลืออยู่ในมืออีกแค่นิดเดียวเอง

“นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมของมีค่าย่อมมีคุณค่าต่อการเก็บไว้ไงคะ” เสี่ยวเถียนยังตกใจกับความเร็วนี้เช่นกัน

[1]引水灌溉 การทำชลประทานแบบผันน้ำ คือ การดึงน้ำจากแหล่งน้ำมายังพื้นที่ทำการเกษตร โดยจะมีการผันน้ำทางเขื่อน และ ผันน้ำไม่ใช่เขื่อน