บทที่ 594 กลับบ้าน

บทที่ 594 กลับบ้าน

หลังจากคิดเรื่องนี้ เสี่ยวเถียนถึงได้เข้าใจ

เพราะไม่มีใครเปิดตลาดทางฝั่งนี้เลย นี่จึงเป็นครั้งแรกของพวกเรา

“ถ้าขายได้ไวขนาดนี้ เราจะขายหมดในวันมะรืนเลยนะ” ฉืออี้หย่วนว่า “ถึงหรงเฉิงจะไกลไปหน่อย แต่ไม่ได้ขวางให้เราเดินทางอีกสองสามรอบหรอกนะ”

วันหยุดเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่วันเอง เรายังมีเวลาอีกตั้งเดือนกว่า ลงทุนกลับไปอีกก็ไม่เสียหายอะไร

“งั้นเราแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม อยู่ขายของที่นี่สักสามสี่คน ที่เหลือกลับหรงเฉิง” โส่วเวินกล่าวคำขาด

ฉืออี้หย่วนพยักหน้าเห็นด้วย

เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะไม่เสียเวลา

แต่ว่าถ้าทำแบบนี้คนเดินทางจะเหนื่อย แต่คนขายสบายนะ

เขาเอ่ยถามออกไป

เรื่องหารายได้ทุกคนตื่นเต้นอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องเหนื่อยอะไรนั่น ใครจะไปใส่ใจ?

หยางซู่หลินเป็นคนแรกที่บอกว่ายินดีตามไปคุ้มครองเด็ก ๆ

แต่ว่าใครจะไปนี่แหละคือปัญหา

รอบนี้คนน้อยกว่ารอบก่อนหลายเท่าเลย

สุดท้ายก็ตัดสินใจกันว่า เสี่ยวเถียนโส่วเวินรออยู่ที่นี่ ส่วนที่เหลือทำหน้าที่ซื้อของ

เธอหัวเราะ พี่ชายกลายเป็นพวกพ่อค้าหน้าเลือดไปเสียแล้ว

ระหว่างที่ตัดสินใจเรื่องต่อไป เราได้โทรไปถามสถานการณ์ทางฝั่งเสี่ยวซื่อด้วย

เสี่ยวเถียนมีความสุขมาก

‘ฉันเคยบอกไปแล้วไงว่าตลาดฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือมันใหญ่มาก ขายที่จินหลานสองรอบพอ แล้วค่อยเปลี่ยนไปเมืองอื่น หาเมืองที่ใหญ่ ๆ ก็ขายได้แล้ว’

ทุกคนคิดเหมือนกัน

เย็นวันนั้นกลุ่มคนไปหรงเฉิงออกเดินทาง

ขามาต้องแบกของเยอะจึงไม่กล้านอน ส่วนขากลับไปสะดวกกว่าเดิมเยอะมาก ส่วนเงินก็เก็บไว้ที่เข็มขัดรัดเอว ได้นอนอย่างสบายใจเสียที

แต่หยางซู่หลินนอนไม่หลับ ใจนึงก็คิดว่าพวกเด็ก ๆ ไม่กลัวกันเลยหรือยังไง นอนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเหมือนกับตัวเองไม่ได้ถือเงินจำนวนมหาศาลขนาดนั้น

ส่วนอีกใจหนึ่งกลับตื่นเต้น เพราะเงินสี่ร้อยที่ว่ากำลังจะกลายเป็นแปดร้อยไหมนะ?

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ขากลับไปเมืองหลวง เงินที่ถืออยู่ในมือคงมีอย่างน้อยสองสามพันแน่ ๆ

เงินจำนวนมหาศาลจะทำให้สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวเขาดีขึ้นได้เสียที

ส่วนทางฝั่งสองพี่น้องที่คิดว่าเหลือกันอยู่แค่นี้คงจะเร่ขายของลำบาก

แต่ไม่คิดว่าหลังจากไปทัวร์โรงงานมาสักสองสามแห่ง สินค้าที่มีอยู่ขายจนหมดเกลี้ยงเลย

บางคนถึงขนาดตามเรามาซื้อเลยด้วยซ้ำ

บางคนถึงกับเสียใจที่ของหมด

เสี่ยวเถียนยิ้มตอบและบอกว่า สินค้าจะมาในอีกสองสามวัน และบอกว่าจะเดินมาขายตามโรงงานด้วย

ถึงจะเสียใจ แต่ในเมื่อของไม่มีก็ทำอะไรไม่ได้

สองพี่น้องกลับที่พัก ตามองกระเป๋าอันว่างเปล่า ไม่รู้พรุ่งนี้จะทำอะไรต่อดี

คนอื่น ๆ ออกเดินทางได้วันครึ่งแล้ว รวมไปกลับเกือบหกวันด้วยซ้ำ ตอนนี้ความเครียดจึงถาโถมเข้ามา

เราจะทนรอจนกว่าพวกเขาจะกลับมาได้หรือ?

“พี่ใหญ่ เราควรทำอะไรสักหน่อยไหมคะ?” เสี่ยวเถียนเบื่อมาก

ถึงจะอ่านหนังสือได้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เธอไม่ได้มีใจอยากจะอ่าน ในใจนึกหวังอยากเดินดูรอบ ๆ เสียหน่อย

“พวกเรากลับบ้านกันไหม? ระยะทางไม่ไกลจากกันเท่าไรด้วยนะ?” โส่วเวินนึกถึงพ่อแม่ที่บ้าน ความคิดถึงในใจเพิ่มพูนขึ้นมา

หลายวันมานี้เขามีเวลาติดต่อกับพ่อแม่น้อยจริง ๆ ถึงเขาเองจะพ้นวัยที่ต้องผูกติดกับพ่อแม่แล้ว แต่เราอยู่ใกล้บ้านขนาดนี้ ยังไงก็อยากกลับไปหาสักหน่อย

เสี่ยวเถียนขบคิด

หลังจากปรึกษาหารือกันสั้น ๆ เราสองคนตัดสินใจว่าจะกลับหงซินไปเยี่ยมพวกท่านกัน

“พวกพี่รองน่าจะต้องรอสี่วันเป็นอย่างต่ำเลยค่ะ เรากลับไปน่าจะอยู่ได้สามคืนนะคะ” เสี่ยวเถียนยิ้ม

พ่อแม่เธออยู่ในเมืองหลวงแล้ว ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่า

แต่พวกพ่อใหญ่พ่อรองอยู่หงซินกันหมดเลย พี่ใหญ่และพี่ชายคนอื่น ๆ ควรคิดถึงอยู่แล้ว

พี่รองไปหรงเฉิงเลยกลับบ้านไม่ได้ ส่วนพี่ใหญ่ได้กลับเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว

อีกอย่างพวกท่านก็รักเธอมาด้วย ยังไงก็ต้องกลับไปเยี่ยมอยู่แล้ว

“งั้นเราเดินทางกันวันนี้เลยค่ะ ไปถึงที่นั้นคงเกือบมืด”

เสี่ยวเถียนเอยด้วยแรงปรารถนา มากกว่าโส่วเวินที่อยากกลับไว ๆ เสียอีก

เพราะเราก็หวังว่าจะได้กลับกันอย่างรวดเร็ว

ที่จริงเดินทางจากจินหลานไปตัวอำเภอใช้เวลาไม่นานหรอก

แต่การเดินทางไปกองชุมชนต่างหากที่จะใช้เวลาหลายชั่วโมงเพราะไม่มีรถ

การกลับในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย

เราออกเดินทางตอนนี้ไปถึงน่าจะดึก

หรืออาจจะใช้เวลาค่อนคืนเลยก็ได้

แต่เราไม่ติดปัญหาอะไรอยู่แล้ว

ที่สำคัญมันคือเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ?

เราได้กลับไปอยู่บ้านตั้งสามวัน และอยู่กับคนที่รักเลยนะ

ตั้งแต่ที่บอกว่าจะไป เราก็เช็คเอ้าท์ทันที

ก่อนออกเดินทาง เราทิ้งโน้ตให้ซื่อเลี่ยง บอกว่าจะกลับบ้านและกลับมาในวันที่สี่

เราแบกสัมภาระกันแบบสบาย ๆ ขณะที่ผ่านห้างในตัวเมืองของมณฑลยังซื้อของขวัญกลับมาฝากให้คนที่บ้านอีกด้วย

“พี่ใหญ่ เอาของขวัญไปให้ลุงฉางจิ่วกันค่ะ” เสี่ยวเถียนนึกถึงอีกฝ่าย แววตาเธอมีร่องรอยความสุข

เขาเป็นคนดี และปฏิบัติต่อทุกคนในกองชุมชนอย่างดีด้วย

และไม่ได้เหยียบคนอื่นเพื่อไต่เต้าขึ้นไปในอาชีพการงานของตัวเอง

เสี่ยวเถียนชอบคนแบบนี้

“ได้สิ เอาไปให้อาจู้จื่อด้วยนะ เขาก็เหมือนครอบครัวของเรา นึกถึงแต่เรา เราเองก็นึกถึงคนเหมือนกันใช่ไหมล่ะ” โส่วเวินเองก็ยิ้มเช่นกัน

เราสองคนมีเงินอยู่แล้ว และไม่รังเกียจที่จะซื้อของขวัญเพิ่มด้วย

จากนั้นเราก็เดินทางขึ้นรถไฟพร้อมกระเป๋าใบใหญ่

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาขบวนรถเข้ามาจอดที่ชานชาลาอย่างราบรื่น ยามมองเมืองอันคุ้นเคย เราต่างรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้บ้านเข้าไปทุกที

“ไปหาแม่รองที่โรงงานอาหารก่อนดีไหมคะ?” เสี่ยวเถียนถาม

“ได้สิ เราไปกันเถอะ ไม่ได้เจอท่านมาครึ่งปีแล้ว ไม่รู้จะสบายดีหรือเปล่า”

ฉีเหลียงอิงเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย แต่โดยรวมแล้วไม่ได้แย่อะไร เทียบกับบ้านอื่นที่แสนวุ่นวายแล้ว แกดีกว่านั้นมาก