บทที่ 646 ทำหน้าที่แทนจักรพรรดิ
บทที่ 646 ทำหน้าที่แทนจักรพรรดิ
ฉู่จงเทียนสั่นเทาโดยไม่อาจควบคุมขณะมองไปยังขอบฟ้า เมฆซึ่งล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายเมื่อครู่นี้ต่างมารวมตัวกัน พลังที่ไร้ขอบเขตค่อย ๆ ปกคลุมพื้นที่ ผู้คนของเมืองจันทร์กระจ่างต่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ในเรือนของหมอเทวะจี้ที่ปิดผ้าม่านทั้งหมด จี้เติ้งถูอยู่ภายใต้ผ้าห่มของเขา มือข้างหนึ่งถือหนังสือในขณะที่อีกมือหนึ่งกำลังทำบางอย่างอยู่ซึ่งใครก็รู้ว่าอะไร
ทันใดนั้น หมอจี้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัว ทั้งร่างกายของเขาสั่นสะท้านในทันที เขาโยนหนังสือทิ้งข้าง ๆ ก่อนจะตวาด “บัดซบ! บัดซบ!! ข้าเกือบจะถึงอยู่แล้วนะโว้ย! ทำไมเจ้าต้องโผล่มาในจังหวะนี้พอดีด้วย!? ไอ้สารเลว เจ้ารู้ไหมว่ากว่าข้าจะแข็งอีกรอบข้าอาจจะต้องรอถึงสามเดือน…ไอ้จักรพรรดิสุนัข ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้าชนะเจ้าไม่ได้ในการต่อยตี ข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”
หลังจากสาปแช่งอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ครุ่นคิด คราวนี้เจ้าเด็กนั่นทำให้เรื่องยุ่งเหยิงไปหมดจริง ๆ
ซางหลิวอวี้กำลังเล่นพิณของนางอยู่ในสถาบันจันทร์กระจ่าง นางมองไปในทิศทางของตระกูลฉู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ซูอันกำลังซ่อนตัวอยู่ในเรือนแห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นทรัพย์สินของสำนักดอกบ๊วย เขาก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางสยดสยอง แรงกดดันนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความกลัวโดยสัญชาตญาณ เขาพยายามยืนตัวตรง แต่รู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่จะคุกเข่า ขณะที่เขาใกล้จะถึงขีดจำกัด เขาก็ได้ยินเสียงที่ตกใจ
“แรงกดดันที่น่าสะพรึง! เจ้าหนู เจ้าไปยั่วยุคนที่ไม่ควรล่วงเกินอีกแล้วเหรอ?!”
ซูอันเกือบจะน้ำตาไหลเมื่อได้ยินเสียงนี้ “พี่หญิงใหญ่ ขอกอดหน่อย ปลอบข้าที!”
หมี่ลี่เอื้อมมือหยุดเขาไม่ให้กอดนาง “ทำไมเจ้าต้องพยายามหาเศษหาเลยจากข้าทันทีที่เราพบกันตลอด!?”
แม้จะพูดแบบนี้แต่ความสนใจทั้งหมดของนางก็ยังมุ่งไปที่นอกหน้าต่าง แม้แต่ซูอันก็ยังมองไปในทิศทางนั้น
เมฆครึ้มเหนือคฤหาสน์ตระกูลฉู่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของชายวัยกลางคนที่สวมชุดมังกรสีทองอร่าม
ร่างที่ก่อตัวขึ้นจากก้อนเมฆ ค่อย ๆ อ้าปาก เสียงที่ไม่ชัดเจนแต่กดข่มดังก้องไปทั่วเมืองจันทร์กระจ่าง
จากนั้นที่กลางอากาศบนท้องฟ้า พระราชโองการสีเหลืองสดใสขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นจากที่ไหนไม่มีใครทราบ แต่มันค่อย ๆ คลี่ออก กินพื้นที่เกือบครึ่งท้องฟ้า
ทูตยุทธ์เสื้อแพรลุกขึ้นและพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ตระกูลฉู่มอบตัวบุตรเขยซูอันมาภายในสามวัน หากไม่ทำตามหรือไม่อาจส่งตัวได้สำเร็จ ตระกูลฉู่จะต้องโทษฐานกบฏ สมาชิกทุกคนในตระกูลและผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกตัดสินประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร!”
หลงจากทูตยุทธ์เสื้อแพรเอ่ยคำพูดจบ พระราชโองการที่เคยว่างเปล่ากะพริบไปด้วยแสงสีทองก่อนตัวอักษรจะปรากฏจางลงในนั้น
จากนั้นพระราชโองการที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าระเบิดออกกลายเป็นประกายแสงสีทองระยิบระยับและตกลงมาใส่ม่านพลังของเหล่ากองทัพผ้าคลุมสีชาด ทันทีที่มันได้สัมผัสกับม่านพลังนี้ซึ่งแม้แต่หลิวเหย่าหรืออ๋องเหลียงยังไม่สามารถทะลวงได้ ม่านพลังกลับละลายเหมือนหิมะที่ถูกดวงอาทิตย์แผดเผาและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทหารสามพันคนของกองทัพผ้าคลุมสีชาดต่างกระอักเลือด คุกเข่าอยู่ใต้แรงกดดันอันทรงพลัง
ฉู่จงเทียนเองก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด ร่างกายของเขาอ่อนระโหย
อ๋องเหลียง หลิวเหย่า และคนอื่น ๆ ทั้งหมดคุกเข่าลงและกล่าวสรรเสริญว่า “ขอฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่น ๆ ปี!”
เหล่าทหารราชองครักษ์ตะโกนก้องออกมาด้วยความเคารพ ในที่สุดทุกคนในเมืองจันทร์กระจ่างก็คุกเข่าลงด้วยความกลัวและตะโกนด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์
“ขอฝ่าบาทอายุยืนหมื่น ๆ ปี!”
จักรพรรดิเป็นผู้บ่มเพาะอันดับหนึ่ง ในสายตาของคนทั่วไปเขาถูกมองว่าเป็นตัวตนที่ไม่มีใครเทียบได้ เกือบทุกคนต่างสรรเสริญออกมาอย่างจริงใจ
ในขณะเดียวกันภายในรถม้าของเรือนจำ ซ่างหงกล่าวกับลูกชายของเขาเอง “เชียนเอ๋อร์ พ่อจำได้ว่าเจ้าเคยถามว่าเหล่าทูตยุทธเสื้อแพรนั้นทำหน้าที่อื่นใดอีกแทนองค์จักรพรรดิ นี่ไงล่ะคือคำตอบ!”
ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก อะไรที่ทำให้จักรพรรดิทรงเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์และเลือกที่จะใช้กำลังเพื่อปราบตระกูลฉู่อย่างไม่สนวิธีการเช่นนี้?
จักรพรรดิไม่ใช่คนธรรมดา ในหลาย ๆ กรณีเขาไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้
หากไม่มีเหตุผลเพียงพอในการจัดการกับตระกูลฉู่ ทุกคนจะเริ่มตั้งคำถามกับการกระทำของเขา เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น รากฐานของราชวงศ์จะสั่นคลอน
ต่อให้ขณะนี้เขาแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะทุกคนได้ แต่ถ้าหากเขาตายไปอะไรจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกหลานของเขา? อนาคตของอาณาจักรจะกลายเป็นไม่แน่นอนไม่ใช่เหรอ?
สิ่งนี้ทำให้ซ่างหงสับสนอย่างยิ่ง จากการที่ตัวเองได้รับใช้องค์จักรพรรดิอย่างใกล้ชิดมาหลายปี องค์จักรพรรดิไม่ใช่คนบุ่มบ่ามหรือทำอะไรที่ไร้ความคิด โดยเฉพาะการทำให้เหล่าผู้คนคลางแคลงใจ ไม่เช่นนั้นองค์จักรพรรดิจะส่งเขามาที่นี่ทำไมตั้งแต่แรก?
คิดได้เพียงเหตุผลเดียวสำหรับเรื่องนี้ นั่นคือ ซูอันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อองค์จักรพรรดิ ความสำคัญของซูอันไม่เพียงแต่เกินตระกูลฉู่ เท่านั้น แต่ยังเกินสิ่งอื่นใดที่สามารถจินตนาการได้ จนทำให้จักรพรรดิสูญเสียหลักการของตัวเอง
“เด็กคนนั้นไปขโมยอะไรจากจักรพรรดิมา?” ในตอนแรกเขาไม่เชื่ออ๋องเหลียง แต่ตอนนี้เขาเริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามันเป็นเรื่องจริง
ซ่างเชียนตกตะลึง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาถึงกลัวทูตยุทธ์เสื้อแพรถึงแม้คนเหล่านั้นจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่เพียงแค่ระดับห้าหรือหกเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขารู้ได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “นี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเรา ตอนนี้จักรพรรดิกำลังจดจ่ออยู่กับซูอัน ดังนั้นพระองค์อาจจะไม่ลงโทษเรารุนแรงใช่ไหมท่านพ่อ?”
ซ่างหงกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ถ้ามันง่ายอย่างที่เจ้าว่าก็คงดี…แต่จริง ๆ แล้ว คนที่อยากให้เราตายไม่ใช่องค์จักรพรรดิน่ะสิ…”
ซ่างเชียนตกตะลึง เขาถามพ่อทันทีว่าหมายถึงอะไร แต่ซ่างหงไม่ได้ตอบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เขาคิดว่าถึงบอกลูกชายไปก็ไร้ประโยชน์ซ้ำยังอาจทำให้จิตใจของลูกชายตัวเองแตกสลาย
ในรถม้าคุมขังอีกคัน เจิ้งตานได้ยินการสนทนาของพวกเขา มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นด้วยความกังวลใจ “อาซู…”
…
ใบหน้าของซูอันซีดเผือด ทุกคนในเมืองได้เห็นเนื้อหาของพระราชโองการนี้ซึ่งเขาเองก็เห็นมันเช่นกัน
ชายหนุ่มรู้สึกไร้อำนาจอย่างสมบูรณ์ แผนการที่ซับซ้อนที่สุดก็ไร้ประโยชน์ในทางปฏิบัติเมื่อเผชิญกับความแตกต่างอย่างมากในความแข็งแกร่ง เขาไม่เห็นทางออกใด ๆ จากสถานการณ์นี้เลย
หมี่ลี่อดไม่ได้ที่จะพูดพร้อมกับถอนหายใจว่า “ข้าไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ ทำไมเจ้าถึงหาเรื่องใส่ตัวเองเก่งขนาดนี้?”
นางนึกถึงสัญญาชีวิตและความตายที่ทำร่วมกัน กี่ครั้งแล้วที่พวกนางต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้?
เด็กคนนี้มีความแข็งแกร่งไม่มากนัก แต่แทบจะทุกครั้งกลับต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่ามากอยู่เสมอ…