แม้ว่าลี่จุนถิงจะไม่พอใจกับคำตอบของเขา แต่จะให้ถามต่อไปก็คงจะไม่ได้อะไรมากไปกว่านี้ พอมาคิดอีกที ขอแค่ผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่นก็พอแล้ว
ลี่จุนถิงให้ชิงโม่ไปเร่งพวกเขาให้ทำลายนิ้วมือและหน้ากากผิวหนังเทียมออกมาให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าของพวกเขาออกมา
วันรุ่งขึ้นให้คนไปซื้อวัตถุดิบและอาหารที่จำเป็นต้องใช้ของเกาะร้างนั้น ตกดึกลี่จุนถิงกับชิงโม่ก็ได้พาลูกน้องคนสนิทสองสามคน เปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเขา ขึ้นเรือกลับไปยังเกาะร้างนั้น
“คุณว่าการตรวจลายนิ้วมือ และจดจำลักษณะจำเพาะของตัวบุคคล ดูเหมือนจะปลอดภัยดี แต่ก็ไม่ได้ล้ำสมัยอะไรเลย ทำไมเขาไม่สแกนรูม่านตาเอา ไม่เข้าใจเขาจริงๆ” ชิงโม่พึมพำ ในระหว่างทางที่ไปยังเกาะร้างนั้น
ลี่จุนถิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ไม่อย่างนั้นพอนายเข้าไปแล้วก็ไปเสนอเขาดูสิ เผื่อเข้าตาเขา นายอาจจะได้อยู่ทำงานอยู่ที่นั่น ถึงตอนนั้นนายก็แค่คอยส่งข่าวมาก็พอ ”
“ไม่ได้ๆ ผมทำไม่ได้ ผมชอบที่จะติดตามประธานลี่มากกว่า” ชิงโม่ยิ้มแห้ง แล้วก็รีบหุบปากลงทันที
ลี่จุนถิงแค่นเสียงฮึในลำคอ แล้วไม่สนใจชิงโม่อีก
…………
ในส่วนภายในประเทศ หลังจากที่ลี่หุยรับตำแหน่งรักษาการประธาน ก่อตั้งกลุ่มแก๊งของตัวเองขึ้นมา จัดการกับคนของลี่จุนถิง รวมถึงซู่จี้งยี้ก็ถูกย้ายให้ไปอยู่กับลี่จุนซินด้วย
คนที่ถูกเล่นงานนั้นต่างก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซู่จี้งยี้เองก็เป็นกังวลมากเช่นกัน แต่ยังดีที่สำนักงานนี้ยังมีคนของเขาอยู่ และสามารถรายงานความเคลื่อนไหวของลี่หุยได้ตลอดเวลา
“เราอย่าเพิ่งใจร้อนกัน ในช่วงนี้ก็ถือซะว่าตัวเองพักร้อนก็แล้วกันนะ ทำงานมาตลอดทั้งปี ใช้โอกาสนี้พักผ่อนก็แล้วกัน รอประธานลี่กลับมา พวกคุณถึงจะทำงานให้ประธานลี่ได้อย่างเต็มที่ และพวกคุณเองก็คงไม่อยากจะทำงานกับประธานลี่คนนี้หรอกมั้ง” ซู่จี้งยี้พูดปลอบ
ทุกคนต่างก็พูดออกมาพร้อมกัน“ไม่แน่นอน แล้วประธานลี่จะกลับมาเมื่อไร? เราควรไปหาคุณหนูลี่เพื่อปรึกษาแผนการรับมือดีไหม”
“ผมก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก เราอดทนกันไปก่อน อย่าเคลื่อนไหวอะไรในเวลานี้เลย ตอนนี้คุณหนูลี่เองก็ยุ่งจนหัวหมุน สถานการณ์ของเธอแย่กว่าพวกคุณอีก”
หลายวันก่อน ลี่จุนซินยังว่างอยู่เลย เวลาทำงานก็ยังทำตัวเหมือนเมื่อก่อน แต่หลังจากที่ลี่หุยตั้งกลุ่มแก๊งขึ้นมา เวลาที่ลี่จุนซินทำงาน ทุกที่ก็ถูกจำกัดไปเสียหมด
กระดาษถ่ายเอกสารของลี่จุนซินใช้หมด ให้แผนกโลจิสติกส์ส่งกระดาษมา แผนกโลจิสติกส์ก็อ้างว่ายุ่ง มาส่งให้ลี่จุนซินไม่ได้ พอลี่จุนซินไปเอาเอง ก็ไม่มีใครสนใจเธอ สุดท้ายก็เป็นพนักงานคนเก่าที่เคยส่งกระดาษให้เธอ เป็นคนแอบเอามันให้เธออีกที
“ประธานลี่ ประธานลี่ที่ดูแลอยู่ตอนนี้ได้สั่งเอาไว้ เพราะฉะนั้นพวกเราเลยไม่กล้าไปส่งกระดาษให้คุณ คุณใช้พวกนี้ไปก่อน หากคุณใช้หมดแล้ว ฉันจะแอบเอาไปส่งให้คุณ”
ลี่จุนซินรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
แต่ ไม่เพียงแค่แผนกโลจิสติกส์เท่านั้น ยังรวมไปถึงฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายการเงินของบริษัทด้วย ต่างก็แอบใช้วิธีต่างๆทำร้ายเธอลับหลัง แต่ก็ยังมีคนที่แอบช่วยเหลือเธอด้วยเช่นกัน
แม้ว่าลี่จุนซินจะรู้สึกขอบคุณพวกเขามาก แต่เธอก็รู้สึกโกรธมากด้วยเช่นกัน เวียร์ที่เห็นลี่จุนซินถูกรังแกแบบนี้ เขาก็ไปบีบบังคับลี่หุยกับงานในโครงการต่างๆ และในทางกลับกัน ลี่หุยก็ยิ่งเอามันไปลงกับทุกแผนกของบริษัทที่ลี่จุนซินต้องเข้าหา
เวียร์ก็โกรธมาก แต่เขาก็ช่วยอะไรลี่จุนซินไม่ได้ ทำได้เพียงดูเธอถูกรังแก และสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือคอยดูแลปรนนิบัติเธอ ให้เธอมีความสุขในช่วงหลังเลิกงาน
โม่เสี่ยวฮุ่ยเองก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับลี่จุนซินในบริษัท โกรธมากจนอยากจะไปคุยกับลี่หุยและลี่เจี้ยนหวา แต่ก็ถูกซูม่านลีกับลี่จุนซินห้ามเอาไว้
“แม่ค่ะ อย่าวู่วามไป แม่ไปหาพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์ ไปแล้วก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ จะอารมณ์เสีย ให้ได้อะไรขึ้นมา”
“ใช่ โม่เสี่ยวฮุ่ย คุณก็รู้ว่าพวกนั้นหน้าไม่อาย ตอนนี้พวกเขาอยากเห็นเราดิ้นพล่าน หากตอนนี้คุณไปหาพวกเขา ก็เท่ากับตกหลุมพรางที่เขาวางเอาไว้ ลี่จุนซินก็บอกอยู่ว่าถึงแม้เธอจะทำงานลำบาก แต่ก็ยังมีคนคอยช่วยเหลือเธออยู่ คุณอย่าวู่วามไป ต้องมีทางออกกับทุกปัญหาอยู่แล้ว” ซูม่านลีก็เกลี้ยกล่อมเธอเช่นกัน
แต่โม่เสี่ยวฮุ่ยก็รับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ “ไม่ได้ ฉันต้องไปถามพวกเขาให้รู้เรื่อง ”
“มีอะไรน่าถามละค่ะ” ลี่จุนซินเห็นโม่เสี่ยวฮุ่ยลุกขึ้นยืนจะเดินออกไปข้างนอก เธอก้าวเร็วกว่าก้าวหนึ่ง แล้วจับไปที่ไหล่ของโม่เสี่ยวฮุ่ย กดลงให้นั่งลงที่โซฟา “อย่าไปเลย แม่ แม่จะไปให้เขาดูถูกทำไม พวกเขาก็ไม่ได้มาโอ้อวดอะไรกับเรา ลูกรู้ว่าแม่หวังดี แต่แม่อย่าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้เลยจะดีกว่านะคะ”
“อะไรคือฉันยุ่งวุ่นวาย ไม่ใช่เพราะเห็นแกถูกรังแกแล้วเจ็บแทนหรอกเหรอ แล้วนี่อะไรยังมาว่าแม่แบบนี้อีก” โม่เสี่ยวฮุ่ยได้ยินลี่จุนซินตำหนิตัวเอง ก็อดไม่ได้จนร้องไห้ออกมา
เมื่อลี่จุนซินเห็นโม่เสี่ยวฮุ่ยร้องไห้ ก็รีบเข้าไปนั่งข้างเธอ กอดเธอเอาไว้ และถวนจื่อก็เข้ามาปลอบเธอด้วยเช่นกัน
“แม่ค่ะ หนูผิดไปแล้ว แม่อย่าร้องไห้เลยนะ หนูแค่ไม่อยากให้แม่ต้องอับอายขายหน้า แม่อย่ากังวลไปเลย รอจุนถิงกลับมา ก็จะไม่มีอะไรแล้วทั้งนั้น รอให้จุนถิงกลับมาจัดการกับพวกเขา พวกเราค่อยไปด่าพวกเขากัน ถึงตอนนั้นอยากจะประจานทำให้อับอายยังไงก็ทำได้เต็มที่”
“คุณย่า อย่าร้องไห้เลย ผมจะตีคุณป้าให้เอง” ถวนจื่อทำท่าตีลี่จุนซินไปสองที
ลี่จุนซินก็ให้ความร่วมมือกับถวนจื่อร้อง“โอ๊ย”ออกมา “แม่ ดูสิถวนจื่อตีหนูแทนแม่ไปแล้วนะ แม่อย่าร้องไห้อีกเลย ”
โม่เสี่ยวฮุ่ยมองดูท่าทางของทั้งสองคน ก็เปลี่ยนน้ำตาเป็นเสียงหัวเราะ แล้วตีไปที่ลี่จุนซินเบาๆ จากนั้นก็อุ้มถวนจื่อขึ้นมาบนตัก “ได้หลานชายของฉันคนนี้แหละที่รักฉัน”
ถวนจื่อใช้มือเช็ดน้ำตาของโม่เสี่ยวฮุ่ยออก “คุณย่าอย่าร้อง ต่อไปผมจะปกป้องดูแลคุณย่ากับคุณยายเอง รวมถึงคุณแม่คุณป้าและคุณพ่อด้วย ผมจะไม่ปล่อยให้ใครต้องถูกรังแกเป็นอันขาด ”
ซูม่านลีที่อยู่ข้างๆก็ยิ้มออกมา แล้วลูบไปที่หัวของถวนจื่ออย่างรักใคร่
โม่เสี่ยวฮุ่ยกอดถวนจื่ออย่างรักใคร่แล้วโยกไปมา รู้สึกว่าหลานชายเธอนั้นช่างรู้ความและช่างเอาใจเก่งจริงๆ จากนั้นก็คิดไปถึงเจียงหยุนเอ๋อ และเด็กในท้องของเธอ อดไม่ได้ถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าทางฝั่งจุนถิงนั้นเป็นยังไงบ้าง เจียงหยุนเอ๋อเองตอนนี้สบายดีอยู่หรือเปล่า ?”
“คุณย่า อย่ากังวลไปเลย แด๊ดดี้เก่งมาก เขาสัญญากับผม ว่าจะพาแม่กลับมาโดยไม่ให้สึกหรออะไรเลย”
“จริงเหรอ งั้นย่าก็สบายใจ ย่าก็เชื่อในความสามารถของแด๊ดดี้เหมือนกัน” โม่เสี่ยวฮุ่ยยิ้มแล้วลูบไปที่ใบหน้าของถวนจื่อ ถึงแม้โม่เสี่ยวฮุ่ยจะบอกว่าไม่ได้เป็นกังวล แต่ในใจก็ยังร้อนรนเช่นกัน
ลี่จุนถิงอยู่ต่างประเทศก็รู้เรื่องที่ลี่จุนซินถูกยึดอำนาจ และในบริษัทตอนนี้เธอก็ยังถูกสั่งห้ามและจำกัดพื้นที่ด้วย แต่ตอนนี้ในหัวและความคิดของเขามีเพียงเรื่องที่จะช่วยเจียงหยุนเอ๋อเท่านั้น ยังไม่มีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่น
หลังจากที่ฟังรายงานจากซู่จี้งยี้จบ ก็เพียงแต่ให้ซู่จี้งยี้คอยดูแลบริษัทไปก่อนตราบใดที่ไม่เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นรอเขากลับไปแล้วจะไปจัดการทีหลัง