บทที่ 652 เดินทางไปด่านชายแดน

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

ผู้ชายคนหนึ่งกลับกล้าพูดอย่างเปิดเผยว่าตัวเองนั้นชอบผู้ชาย เซียวจิ่นหยูไม่รู้ว่าควรจะว่าเขาไม่รู้ตัวว่าพูดอะไร หรือแค่พูดล้อเล่น

เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจริงหรือเท็จเก็บไว้ในใจดีที่สุด พูดออกมาแล้วมันทำให้คนฟังสยดสยอง

มันได้ทำให้ทำลายความสามารถและการกระทำที่ทำให้คนอื่นรู้สึกดีกับนางไปหมดแล้ว

“คำพูดนี้คุณชายซ่างกวงเก็บไว้ในใจก็พอแล้ว ทำไมต้องพูดออกมาให้คนอื่นฟัง แบบนี้มันไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด”

เรื่องบุรุษรักชอบกับบุรุษ ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้คนฟังสยดสยอง แค่ไม่ควรพูดกันอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นเขาจึงได้เอ่ยเตือน

ใครจะไปรู้………

หลานเยาเยาที่สวมชุดบุรุษด้วยรูปลักษณ์ที่งดงาม ยื่นมือจับแต่งแขนเสื้อไปครู่หนึ่ง ก็ได้ทำท่าทางที่สง่างามเช่นเดียวกันกับเซียวจิ่นหยู พูดในสิ่งที่ไม่เข้ากับขนบธรรมเนียมทั่วไปในสังคม

“มีความปรารถนาเดียวกัน ต่างคนต่างชอบกัน ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ เพียงแค่กับผู้ชายเท่านั้น มันผิดกฎหมายประเทศไหน? ทำไมถึงจะไม่ได้? ทำไมถึงเข้ากับขนมธรรมเนียมของสังคมไม่ได้ล่ะ?”

น้ำเสียงเว้นวรรคตามจังหวะ ชัดเจนทุกตัวอักษร ถามจี้ทุกตัวอักษร

ถามจนเซียวจิ่นหยูพูดไม่ออก!

เขาตอบไม่ได้ สำหรับคำพูดของซ่างกวนหนานซู่เขาไม่กล้าตอบส่งเดช ก็ไม่ถึงกับขยะแขยง ก็แค่จงใจออกห่างกว่าเมื่อก่อน

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นกว่าคนอื่นอย่างเซียวจิ่นหยู่ ที่รับเรื่องชายรักชายไม่ได้

ดังนั้นเมื่อเผชิญกับคำถามของคนลึกลับที่อยู่ตรงหน้าเขา เดิมเขาก็มีเหตุผลมากมายที่จะตอบ แต่กลับติดอยู่ในลำคอ จึงกลืนมาลงไป แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด

“ข้าน้อยเถียงสู้คุณชายซ่างกวงไม่ได้ ข้าเห็นพระราชธิดาจาวหยางเป็นเพียงน้องสาว อย่างไรก็ตาม จาวหยางเป็นคนไร้เดียงสา หวังว่าคุณชายซ่างกวงจะปฏิบัติกับนางอย่างจริงใจ”

จากสายตาที่พระราชธิดามองซ่างกวงหนานซู่

เซียวจิ่นหยูรู้ จาวหยางนั้นชื่นชมซ่างกวงหนานซู่อย่างมาก แต่เมื่อกี้ที่คุยกับซ่างกวงหนานซู่ พบว่าความคิดของคุณชายซ่างกวงไม่สอดคล้องกับของเขาเลย เขามีความกังวลเล็กน้อยที่จาวหยางติดต่อกับซ่างกวงหนานซู่

“พูดง่าย ข้าไม่ใช่คนที่พูดจาโกหกไปทั่ว และพระราชธิดาจาวหยางเป็นคนที่มีความจริงใจ ข้าไม่มีทางรังแกนาง เรื่องนี้เจ้าก็วางใจเถอะ”

เมื่อรู้ความคิดของเซียวจิ่นหยู

นางก็วางใจแล้ว

ในเวลานี้เพียงรู้ว่าในใจพระราชธิดาจาวหยางคิดอย่างไร นางก็สามารถทำให้เป็นเรื่องที่ดีได้

สิ่งเดียวที่ทำให้มีความยากลำบาก………

นั่นก็คือความแตกต่างของฐานะ

อย่างไรเสียการที่เป็นพระราชธิดา เรื่องการแต่งงานส่วนใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะตัดสินใจได้

การสนทนาหลังจากนั้นของทั้งสองคน ได้หยุดลงหลังจากที่เย่แจ๋หยิ่งออกมา

เมื่อมองดูสองคนที่อยู่ไม่ไกล คนหนึ่งก็อ่อนโยนและสง่างามเหมือนเมื่อก่อน แรงสังหารได้ลดลงไปไม่น้อย

คนหนึ่งคือผู้หญิงที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลา สามารถทำเพื่อนางได้ทุกอย่าง เพียงแค่เปลี่ยนร่าง ใจยังคงเป็นดวงเดิม แววตาที่มองเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยน

เห็นเขามาแล้ว

หลานเยาเยามองไปที่เขาก่อน ก็เห็นรอยยิ้มของเขาที่โผล่ขึ้นมาในพริบตา

เย่แจ๋หยิ่งเดินไปทางหลานเยาเยา ด้วยฝีเท้าที่ไม่เร็วและไม่ช้า แววตามีเพียงเด็กน้อยที่มีรอยยิ้มจางๆคนนี้ เดิมเซียวจิ่นหยูอยากที่จะทักทายเขา กลับพบว่าสายตาของคนอื่นไม่มีเขาเลย

สายตาจึงได้มองไปบนร่างของเย่แจ๋หยิ่งกับซ่างกวงหนานซู่มองสลับกันไปมาหลายที

ทันใดนั้นก็เข้าใจคำพูดก่อนหน้านี้ของซ่างกวงหนานซู่ทันที

แต่ว่าอ๋องเย่นั้นรักเทพธิดามาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ?

จากหลานเยาเยามาเป็นเทพธิดาตอนนี้เป็นซ่างกวงหนานซู่ ทั้งๆที่อ๋องเย่เป็นคนรักเดียวใจเดียว ทำไมถึงหลายใจเช่นนี้?

ในใจมีความสงสัยมากมาย แต่ทำได้เก็บไว้ในใจ หลังจากที่รู้ว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ไม่แม้กระทั่งจะทักทาย เพียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ แล้วหันกายเดินจากไป

กลุ่มคนออกเดินทางพร้อมอ๋องเย่

เหลือคนสิบกว่าคนไว้ช่วยจัดการธุระที่เมืองเลยหมิง ถือโอกาสปกป้องเจ้าพระยาเซียวไปด้วยในตัว เกรงว่าจะมีคนของสำนักหู้เสินที่หลงเหลือจากการกำจัดจะมาทำร้ายจวนตระกูลเซียว

พวกเขาเดินทางกันอย่างทรงพลังอำนาจ ไม่ไกลนัก มีรูปเงาสีแดงรูปหนึ่งยืนต้านลมบนโขดหิน

เสื้อผ้าพลิ้วไสว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ชาย แต่กลับมีเสน่ห์ราวกับเป็นหญิงงาม

มองกองกำลังที่ห่างออกไป

เขาอดไม่ได้ที่จะโบกมือขึ้น เรียกลูกน้องมาหนึ่งคน

“ไปดูที่ถ้ำหน่อย!”

คนจากนอกแผ่นดิน?

เขาอยากเห็นว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่

พูดจบ!

รูปเงาที่สดใสราวกับสีเลือด ก็หายไปจากบนโขดหินในพริบตา

……

เพราะเร่งเดินทางทั้งคืน

เย่แจ๋หยิ่งและกองกำลังคนใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ก็ตามกองทัพทัน ในกองทัพมีแม่ทัพใหญ่น้อยหลายคนเมื่อเห็นอ๋องเย่ ก็เหมือนกับเห็นพลังที่พึ่งพาได้

เมื่อสายตาของพวกเขาจ้องมองไปที่ชายหนุ่มรูปงามข้างกายอ๋องเย่แล้ว สีหน้าก็กระวนกระวายทันที

ในกองทัพ

แม้จะไม่มีสงคราม การฝึกหมวดประจำวันนั้นน่าเบื่อมาก สำหรับเรื่องต่างๆที่ร่ำลือกันอย่างดุเดือดในเมืองหลวง พวกเขาก็ได้ยินมาบ้าง

สำหรับเรื่องของอ๋องเย่ ยิ่งจะต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

อย่างไรเสีย!

ฮ๋องเย่เป็นเทพสงครามของประเทศก่วงส้า เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในกองทัพ หากเขาล้มลง ขวัญกำลังใจคงจะสู้เมื่อก่อนไม่ได้อย่างแน่นอน

การเดินทางไปทะเลทรายในปีที่แล้ว

อ๋องเย่เสียเทพธิดาไป และได้รับบาดเจ็บสาหัส

จากนั้นก็ไม่เคยก้าวออกจากประตูจวนเลยแม้แต่ก้าวเดียว ข้างนอกลือกันต่างๆนาๆ คาดเดาไปทุกรูปแบบ

บัดนี้ไม่ง่ายเลยที่ยอมก้าวออกมาข้างนอก พบเจอผู้คน ในข่าวลือพูดว่าเพราะหมอเทพที่รูปโฉมงดงามคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าซ่านกวงหนานซู่

ต่างก็ว่าเขามีรูปโฉมที่สวยงาม และท่าทางที่สง่างามมาก ทันทีที่เขาเข้าสู่เมืองหลวงก็เกิดเรื่องราวใหญ่โตหลายเรื่อง เหมือนเกิดขึ้นเพราะเขา และก็จบลงเพราะเขา

คนวงในจะมองสิ่งที่ที่เป็นแก่นแท้และหลักการในการปฏิบัติ

คนนอกจะมองแค่ภายนอกและความตื่นเต้นเท่านั้น

แต่พวกเขาที่มีความหวังดีต่ออ๋องเย่อย่างจริงใจ ก็ต้องสงสัยและเกลียดชังซ่างกวงหนานซู่เป็นธรรมดา

ตอนที่ยังไม่เคยเห็นคนแต่ได้ยินชื่อก่อนนั้น พวกเขาก็รู้แล้วว่าซ่างกวงหนานซู่ต้องไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆ วันนี้ได้เห็นตัวจริงของเขา เหล่าแม่ทัพยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิม

รูปโฉมที่งดงามเช่นนี้………

แววตาที่ทำให้คนมองไม่ทะลุปรุโปร่ง………

และกลิ่นอายที่ลึกลับและคาดเดาไม่ได้เปล่งออกมาจากตัวเขา นั้นสะดุดตามากจริงๆ…

ถึงขั้นสามารถเรียกมันว่ากลิ่นอายปีศาจ!

พวกเขาต้องระวังให้ดี ไม่ยอมให้เขามีโอกาสทำอะไรอ๋องเทพสงครามของพวกเขา และจะทำลายคำร่ำลือที่อ๋องเย่ชอบผู้ชายให้ได้

ดังนั้นในเวลานี้

หลานเยาเยาที่เผชิญสายตาของเหล่าแม่ทัพ นางสังเกตความเป็นศัตรูในแววตาของพวกเขา

ความคิดของนางตอนนี้มีเพียงเรื่องของเย่แจ๋หยิ่งกับคนจากนอกแผ่นดิน ก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปคาดเดาความคิดของพวกเขา

จากการแนะนำของเย่แจ๋หยิ่ง นางได้คารวะพวกเขาอย่างอ่อนโยน กลับได้รับการสายตาที่ท้าทายเล็กน้อยจากพวกเขา

สำหรับเรื่องนี้!

นางก็ไม่เก็บมาใส่ใจเลย จนมารู้สึกหดหู่ใจในภายหลัง

กองทัพมาถึงชายแดนที่เชื่อมกับประเทศเชียนหลิง ด่านชายแดนซึ่งมีความขัดแย้งระหว่างประเทศมาโดยตลอด หลังจากที่ทูตของประเทศต่าง ๆ ถูกสังหาร และยุทธวิธีของศัตรูถูกเปิดเผย กองทัพก็ประจำการอยู่ที่ชายแดนแล้ว

เดิมอยากจะร่วมมือกับประเทศอื่นๆเพื่อโจมตีประเทศก่วงส้า คิดไม่ถึงมันไม่ได้สำเร็จอย่างที่ปรารถนาเอาไว้

ประเทศก่วงส้าเพราะมีฮ่องเต้ที่เลอะเลือน ล้าหลังไปมาก เมื่อเทียบกับอีกสามประเทศ เหมือนจะต่ำกว่าหนึ่งขั้น บวกกับก่อนหน้านี้ที่อ๋องเย่ไม่สนใจเรื่องภายนอก ทำให้ประเทศศัตรูมีเหตุผลที่จะไม่เกรงกลัว

ตอนนี้ร่วมมือกับประเทศอื่นไม่สำเร็จ อ๋องเย่ก็นำทัพมาด้วยตัวเอง

ประเทศก่วงส้ากับประเทศศัตรูสู้รบกันขึ้นมา ไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบเลย ยิ่งไปกว่านั้นด้านบนชายแดนยังมีประเทพซีเม่าและประเทศผึงไหลที่เฝ้าดูการสู้รบของพวกเขาอยู่ รอให้พวกเขาแพ้พ่ายหรือบาดเจ็บสาหัสก็จะเข้ามาเอาผลประโยชน์

เห็นได้ชัดแม้จะทำร้ายผู้อื่นสำเร็จแต่ก็ไม่เป็นผลดีกับตัวเอง

แต่ว่าประเทศศัตรูก็ยังจะทุ่มเทแรงและเงินทั้งหมดเพื่อการสู้รบ……..

มันเป็นเพราะอะไร?

หลานเยาเยาไม่สามารถเข้าใจได้ในขณะนี้ ในระหว่างที่เดินทางมาชายแดน นางเคยคุยเรื่องนี้กับเย่แจ๋หยิ่ง เย่แจ่หยิ่งก็ไม่เข้าเหมือนกัน

แต่เขากลับกล่าวขึ้นมา “ประเทศเชียนหลิงไม่มีทางทิ้งโอกาสที่จะดึงประเทศอื่นเข้าร่วมเป็นพวก”

สำหรับจุดนี้ หลานเยาเยาชูสองมืออย่างเห็นด้วย

อย่างไรก็ตาม!

พวกเขาที่เพิ่งจะมาถึงด่านชายแดน คนที่เฝ้าอยู่ก็บอกกับพวกเขา เมื่อคืน กองทัพของข้าศึกฉวยโอกาสโจมตีในยามกลางคืน ต้องการชนประตูเมืองให้พัง รวมราวบันไดสูงเพื่อขึ้นมาโจมตีพร้อมกัน ด้วยจำนวนคนนับหมื่น

หลายครั้งที่เขาเกือบทลายกำแพงเมืองได้สำเร็จ โชคดีที่แม่ทัพเหยียนซึ่งประจำการอยู่ที่นี่ได้เตรียมพร้อมนานแล้ว ไม่เช่นนั้นสถานที่ตรงนี้คงถูกยึดครองไปแล้ว

แม้จะรักษาประตูเมืองเอาไว้ได้ แต่กองทัพของเราก็สูญเสียอย่างหนัก ทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย แม้กระทั่งแม่ทัพเหยียนก็บาดเจ็บสาหัส ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย

หากกองกำลังเสริมยังมาไม่ถึง เกรงว่าคงจะปกป้องไม่อยู่แล้ว

คนที่รายงานพูดถึงตรงนี้ในใจยังมีความกลัวหลงเหลืออยู่เลย ร่างกายของเขาสกปรกมอมแมม เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนก็ร่วมสู้ปกป้องกำแพงเมืองด้วย วันนี้แม้แต่จะพักผ่อนยังไม่กล้าเลย

กองกำลังเสริมถึงแล้ว!

คนที่นำทหามารยังเป็นอ๋องเย่ ทำให้พวกเขาที่เป็นทหารที่ประจำอยู่ที่นี่โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

ทหารดีใจ มีขวัญและกำลังในการต่อสู้เพิ่มขึ้น

แต่แม่ทัพเหยียนที่ประจำการอยู่ที่นี่กับไม่ดีใจเลย ต่อให้บาดเจ็บสาหัส แม้กระทั่งแรงที่จะลุกขึ้นยังไม่มี แต่ก็ยังสามารถมองเห็นสีหน้าที่ยิ่งอยู่ยิ่งหนักใจของเขาออก

ทหารที่ดูแลเขาอยู่ข้างกายไม่เข้าใจ

แม่ทัพเหยียนถามกลับ “อ๋องเย่คือใครมาจากไหน?”

“เป็นอ๋องเทพสงครามที่น่าเกรงขามของประเทศก่วงส้าไง!” ทหารตอบด้วยใบหน้าที่จริงจัง

สนามรบที่อ๋องเย่เคยผ่านมาอย่างน้อยเป็นแสนคน อย่างมากถึงหลักล้านคน ทำไมถึงต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง? แม่ทัพเหยียนก็ได้กล่าวขึ้นอีกครั้ง

ได้ยินมาว่า!

ทหารเสียขวัญแล้ว

“หรือว่าที่นี่จะมีการสู้รบกันครั้งใหญ่กองกำลังจะมาปะทะกัน? แต่สายสืบรายงานมาว่า กองกำลังของข้าศึกมีไม่ถึงห้าหมื่นคน”

นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้แม่ทัพเหยียนหนักใจ พูดถึงตรงนี้ แม่ทัพเหยียนก็ไออย่างหนัก บาดแผลฉีก ทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด แต่เขายังคงพูดมันจนจบ

“หลังจากการสู้รบในเมื่อคืน กองกำลังข้าศึกเหลือไม่ถึงห้าหมื่นคนแล้ว”

แต่ทหารก็ยังคงสงสัย

“แต่การมาของอ๋องเย่ในครั้งนี้ กองกำลังมีมากถึงหนึ่งแสนกว่าคน แต่ข้างกายเขาได้พาผู้หญิงมาด้วย และผู้ชายที่อ่อนโยนสุภาพ ไม่เหมือนมาสู้รบเลย”

เมื่อคำพูดออกมา

แม่ทัพเหยียนไม่กล้าที่จะเชื่อหูของตัวเอง เบิกตากว้างทันที “อะไรนะ?”