เมืองโยวกวง
ตั้งอยู่ที่ชายแดน ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศเชียนหลิง เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์พิเศษ ซึ่งกำแพงเมืองมีพรมแดนเชื่อมต่อกับประเทศศัตรู ที่เป็นดินแดนสำคัญของยุทธศาสตร์ทางการทหาร และเมืองโยวกวงเป็นพื้นที่สำคัญอันดับต้นๆ ของยุทธศาสตร์ทางการทหาร
เพราะมันจะถูกบุกรุกโดยประเทศเชียนหลิงหรือกองกำลังหรือโจรอยู่ตลอดเวลา กำแพงเมืองจึงได้รับการเสริมไปชั้นแล้วชั้นเล่า ค่อยๆกลายเป็นกำแพงที่ซึ่งยากต่อการโจมตี
มันก็คือสถานที่ที่หลานเยาเยาอยู่ในตอนนี้ และคนที่เป็นศัตรูกับพวกเขาก็คือประเทศเชียนหลิน
แสงอาทิตย์แรกในยามเช้าค่อยๆ สาดส่องลงมายังพื้นโลกผ่านหมู่เมฆ หมอกลงจัด คล้ายควันสีขุ่น เหมือนกับผ้าบางๆ นุ่มนวลและละเอียดอ่อน ภายใต้แสงแดดที่ส่องเข้ามา มันเริ่มบางลงเรื่อยๆ
ภายในห้องนอนที่โบราณ สิ่งอำนวยความสะดวกที่เรียบง่ายแต่จัดไว้อย่างดี
บนเตียงมีผ้าห่มแค่ผืนเดียว เดิมมันน่าจะเพียงพอแค่คนหนึ่งคน แต่ตอนนี้กลับถูกผู้หญิงสามคนยึดครอง ท่านอนแต่ละคนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี
เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาตื่นนอน
ทันใดนั้นด้านนอกก็ดังขึ้นด้วยเสียงกลองของสงคราม เพราะห่างกันค่อนข้างไกล เสียงกลองของสงครามจึงทุ้มและไกลอย่างเห็นได้ชัด
หลานเยาเยาที่อยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นนั่งทันที นางถูกพระราชธิดาจาวหยางกับฮัวหยู่อันนอนหนีบอยู่ตรงกลาง ขาเกือบขยับไม่ได้
เพราะการเคลื่อนไหวที่กะทันหันของนาง ฮัวหยู่อันก็ได้ลืมตาขึ้น
เห็นได้ชัดว่านางก็ได้ยิน
ทั้งสองคนจึงได้ลุกขึ้นมาทันที หลังจากที่สวมชุดเรียบร้อยแล้วไม่ทันแม้แต่จะล้างหน้า ก็รีบวิ่งออกไปเลย วิ่งไปตามเสียงกลองทางกำแพงเมือง
บนกำแพงเมืองที่สูง ทหารหลายแถวยืนเรียงกันอย่างเรียบร้อย สองแถวแรกเป็นพลธนูถือคันธนูและลูกธนู ในมือทุกคนได้ดึงคันธนูค้างไว้แล้ว แถวแรกเล็งลูกธนูไปทางข้าศึกที่อยู่นอกกำแพงเมืองที่มืดมิด
กลางกำแพงเมืองมีอ๋องเย่ที่สวมชุดสีดำยืนอยู่ ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามเท่านั้น ทั้งร่างกายยังได้กระจายไปด้วยแรงของการสังหาร
มีกลองสงครามขนาดใหญ่อยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของเขา และทหารที่ไม่สวมเสื้อสองคน ถือไม้ตีกลองตีกลองอย่างมีจังหวะ
แม่ทัพทั้งหมดก็ก้าวขึ้นไปบนกำแพงทีละคน ยืนอยู่ทั้งสองด้านของอ๋องเย่ เฝ้าดูทุกย่างก้าวของข้าศึก
ภายในกำแพงเมือง มีทหารที่ยืนเรียงกันอยู่สองแถวเหมือนกับมังกรยาวสองตัว พวกเขาสวมชุดเกราะ แต่ละคนถือหอก นำโดยรองแม่ทัพ ดวงตาที่เบิกกว้างเหมือนกระดิ่งทองแดง สายตาดุร้ายจ้องมองประตูเมืองอยู่
เพียงแค่ประตูเมืองเปิดออก พวกเขาก็จะบุกไปต่อสู้โดยไม่รีรอ สู้กับข้าอย่างสุดชีวิต
หลานเยาเยาก็ได้ขึ้นไปบนกำแพงเมือง
มองข้าศึกที่ยืนดำเป็นแถบ ถูกจัดอยู่ในความระเบียบเรียบร้อย นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทหารราบของข้าศึก ได้แก่ ทหารราบเบา ทหารราบหนัก ทหารธนูหน้าไม้ และพลธนู ทหารม้าและทหารรถม้าก็ถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว
แวบแรกที่กวาดมองไป
กองกำลังของข้าศึกครั้งนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณเจ็ดแปดหมื่นคน
ดูแล้วเหมือนจะมาโจมตีให้หนัก
นางถามทหารคนหนึ่งอย่างไม่เป็นทางการ “ข้าศึกในคืนก่อนก็คือทหารราบ ทหารม้า ทหารรถม้า มากันทั้งหมดเลยเหรอ?”
“ไม่ใช่ คืนก่อนมีเพียงทหารราบ กับทหารม้าจำนวนน้อย ไม่มีทหารรถม้าเลย แต่จำนวนข้าศึกน้อยหน่อย ยังดีที่ทหารราบพังประตูเมืองไม่สำเร็จ ดังนั้นทหารม้าก็เลยไม่ได้ถูกใช้งาน”
ก็ถูก
ถ้าหากทหารม้ากับทหารรถม้าก็ถูกส่งมาสู้รบ เกรงว่าเมืองโยวกวงคงจะเสียไปนานแล้ว
แต่ว่า………
มีจุดหนึ่งที่น่าสงสัย
ข้าศึกโจมตีในคืนก่อน ก็ต้องการตีเมืองโยวกวงให้ได้ แต่ว่าทหารม้ามาไม่หมด ไม่มีแม้กระทั่งเงาของทหารรถม้าอีกด้วย
มีเพียงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
นั่นก็คือแม่ทัพใหญ่ที่รับผิดชอบโจมตีเมืองโยวกวง ก็น่าจะเพิ่งมาถึงสองสามวันนี้ ไม่เช่นนั้น คืนก่อนพวกเขาก็สามารถตีเมืองโยวกวงได้สำเร็จ
คิดถึงตรงนี้!
คิ้วของหลานเยาเยายิ่งขมวดลึกขึ้น
แม่ทัพใหญ่ของประเทศก่วงส้ามาถึงแล้ว นำโดยเทพสงครามผู้เด็ดขาดอย่างอ๋องเย่ เขายังคงไม่มีความคิดที่จะขัดขวางการโจมตีของข้าศึก ตราบใดที่การต่อสู้เริ่มขึ้น มันคือการแพ้และเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย ไม่มีฝ่ายใดได้รับประโยชน์เลย
เพื่อฆ่าศัตรูพันคนแล้วต้องเสียทหารของตัวเองแปดร้อยคนความโง่เขลาแบบนี้ มันไม่เหมือนสิ่งที่ประเทศเชียนหลิงจะทำออกมาได้
มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ที่ทำให้ประเทศเชียนหลิงแม้จะต้องเสียหายหนักก็ยังจะโจมตีประเทศก่วงส้า?
บางทีอาจะเพราะเห็นอ๋องเย่อยู่
ผู้นำของข้าศึกเกิดความกังวล เลยไม่ได้สั่งให้ทหารออกมาโจมตีเมืองทั้งหมด แต่ได้สั่งทหารม้า ทหารราบ ทหารรถม้าเพียงส่วนหนึ่งออกมาเท่านั้น
ตามด้วยเสียงกลองสงครามที่ดังยาวนานต่อเนื่อง
แม่ทัพของข้าศึกออกคำสั่ง ทหารม้าที่ถือดาบคมในมือขึ้นนำก่อน และทหารราบที่ด้านหลังถือหอกในมือข้างหนึ่ง และอีกมือถือโล่ ค่อย ๆเคลื่อนไปข้างหน้าใกล้ประตูของเมืองโยวกวง พลธนูที่อยู่ข้างหลังได้ยิงธนูพร้อมกัน ลูกธนูได้พุ่งไปบนกำแพงเหมือนกับฝนธนู
ทหารของเรามีเกราะกันบัง ขัดขวางการโจมตีของลูกธนูเอาไว้ได้
แต่มันไม่สามารถหยุดทหารราบของข้าศึกที่ยิ่งอยู่ยิ่งบุกเข้าใกล้ประตูมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่อ๋องเย่ก็ยังไม่ได้สั่งการให้พลธนูยิงลูกธนูออกไป
เพียงแค่เฝ้าสังเกตการณ์ด้วยสายตาที่เย็นชา ราวกับว่ากำลังรอเวลา
เพราะทั้งข้าศึกและฝ่ายเราต่างก็รู้ดี ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนมีเกราะกันบัง การยิงธนูนอกจากจะทำให้เสียลูกธนู มันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดความเสียหายมากเท่าที่ควร
แต่ไม่ปล่อยลูกธนูออกไปก็ไม่ได้ เพราะนั่นมันสามารถเป็นเครื่องข่มขวัญของศัตรูได้
แต่อ๋องเย่กลับไม่ทำแบบนั้น……….
ในขณะที่แม่ทัพของข้าศึกกำลังพลิ้ว
อ๋องเย่ที่ไม่พูดจา ได้โบกมือขึ้นมาโดยตรง ก็มีแม่ทัพคนหนึ่งสั่งการลงไปทันที
วินาทีต่อมา!
ประตูเมืองค่อยๆเปิดออก
ทหารที่เรียงแถวกันอย่างเรียบร้อย เตรียมลุยเมื่อมีคำสั่ง ได้ถอยห่างออกไปหลายฟุตนานแล้ว ทิ้งช่องว่างระหว่างประตูเมืองกับพวกเขา ทหารสามแถวแรกมือถือหอก เตรียมพร้อมในท่าที่พร้อมลุย ชี้คมหอกที่อยู่ในมือไปทางประตูเมือง
ประตูเมืองจู่ๆก็ถูกเปิดออก ทำให้แม่ทัพทหารม้าที่เป็นผู้นำกองหน้า ไม่เข้าใจทันที
นี่มันหมายความว่ายังไง?
กับดัก?
หรือเป็นกลยุทธ์ที่หลอกให้พลิ้ว?
แต่เมื่อมาถึงตอนนี้เวลานี้ ธนูอยู่ในคันธนูแล้วไม่ยิงก็ไม่ได้ ต่อให้เป็นหลุมไฟก็ต้องกระโดดลงไป
เมื่อเข้ามาใกล้ ประตูเมืองที่เปิดออกอยู่จู่ๆก็มีดาบยาวสามเล่มยื่นออกมา ตรงประตูเมืองด้วยความสูงที่แตกต่างกันโดยตรง ใบมีดที่คมจนสามารถตัดเหล็กได้เล็งตรงอยู่นอกประตูเมือง
นี่ยังไม่เท่าไหร่
กองกำลังที่กำลังรอข้าศึกอยู่ตรงประตูเมือง ได้เหลือพื้นที่ว่างเอาไว้ ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วมันได้ถูกขึงไว้ด้วยเส้นเงินยาว……
ข้าศึกบุกเข้ามา มาแล้วก็จะกลับออกไปไม่ได้
ตามที่คาดการณ์ไว้!
ทหารม้าของข้าศึกเห็นว่าพวกเขากำลังจะชนกับมีดคมที่ยาว แต่ก็สายเกินไปที่จะควบคุมม้าให้หยุด ดังนั้นพวกเขาจึงพุ่งเข้าชนมันโดยตรง คนที่พุ่งชนเร็วที่สุด อยู่ข้างหน้าสุดเป็นคนแรกที่ตาย และแม้กระทั่งม้าก็ไม่สามารถรอดพ้นจากกับดักนี้ได้
การสกัดกั้นด้วยใบมีดมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
แต่ม้าของศัตรูก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เลยทีเดียว แรงจู่โจมของพวกมันไม่น้อยเลยทีเดียว
ด้ามมีดที่ยาวสามเล่ม ภายใต้การจู่โจมของม้าชุดแล้วชุดเล่า ไม่นาน ใบมีดเล่มหนึ่งในนั้นก็หลุดออก หล่นลงบนพื้น
เมื่อมีเล่มแรกหล่นลงพื้น ก็มีเล่มที่สอง เล่มที่สามตามมา
และเมื่อถึงใบมีดด้ามที่สามหล่นลงนั้น
ทหารม้าของข้าศึกได้เสียไปหนึ่งในสามแล้ว พวกเขาคิดว่าขอเพียงพวกเขาสามารถทำลายมีดที่ขวางอยู่ตรงประตูเมือง ชัยชนะก็จะมาถึงแล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ มันคือขุมนรกกำลังกวักมือเรียกพวกเขา
ทหารม้าที่เหลือ พุ่งเข้าใส่บริเวณเส้นเงินโดยตรงหลังจากผ่านเข้าประตูเมือง ไม่ว่าจะเป็นคนหรือม้าศึก พวกเขายังไม่ทันได้กรีดร้อง ก็ได้ถูกตัดเป็นท่อน ในภาพนองไปด้วยเลือดและโหดร้ายมาก
แต่ศึกสงครามมันก็โหดร้ายแบบนี้อยู่แล้ว
สิ่งที่ต่อสู้กันก็คือความเฉลียวฉลาดเชิงกลยุทธ์และอาวุธ
กองทหารม้าแนวหน้าของข้าศึก ยังไม่ทันจะได้ต่อสู้กับทหารของประเทศก่วงส้าแม้แต่คนเดียว ก็ถูกกำจัดไปทั้งหมด
สถานการณ์ที่โหดร้ายนี้ ก็ทำให้ทหารราบที่ถนัดในการโจมตีเมืองอกสั่นขวัญแขวน
แค่ประตูเมืองก็โหดร้ายเพียงนี้
แล้วพวกเขาที่ต้องอาศัยบันไดยาวในการปีนไปต่อสู้กับศัตรูต้องเจอกับความสยดสยองแบบไหน?
เพราะในเวลานี้พวกเขาเห็นอ๋องเทพสงคราม ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวกำลังจ้องมาที่พวกเขาอย่างเย็นชา ด้วยรอยยิ้มที่กระหายเลือด แต่เขายังไม่สั่งให้ยิงธนู
ทหารราบที่อยู่ด้านหน้า แต่ละคนมีความรู้สึกวิตกกังวล ตั้งบันไดยาวขึ้น และปีนขึ้นบันไดยาวอย่างสั่นเทา
เห็นว่าใกล้จะถึงยอดแล้ว
เหล่าแม่ทัพที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย พวกเขาแต่ละคนดึงดาบที่แหลมคมออกจากเอว เพื่อที่จะต่อสู้กับความเป็นความตาย
เวลานี้ไม่มีคนรู้ว่าอ๋องเย่กำลังคิดอะไรอยู่?
รอจนกระทั่งหัวของข้าศึกมาโผล่บนกำแพง อ๋องเย่ก็สั่งการทันที
“จุดไฟ!”
องครักษ์ลับสี่คนที่ได้เตรียมคบเพลิงไว้นานแล้ว ก็ได้จุดไปที่กำแพงเบาๆ
เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นในทันที และจากนั้นก็ลามไปยังกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว ราวกับตาข่ายไฟที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายก็ปกคลุมกำแพงเมืองทั้งเมืองจากบนลงล่าง
กำแพงไฟขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนตาข่ายตั้งอยู่ตรงหน้าข้าศึก
ที่แท้!
บนกำแพงได้ราดน้ำมันเอาไว้
ข้าศึกแต่ละคนตกลงไปในกองเพลิงทะเล หล่นลงไปอย่างต่อเนื่อง
ประตูเมืองเข้าไม่ได้
กำแพงก็โจมตีไม่ได้
ในเวลานี้เมืองโยวกวงเป็นเหมือนกำแพงทองแดงและกำแพงเหล็ก ไม่ว่าทหารและม้าของกองทัพศัตรูจะมีมากขนาดไหน มันก็ไม่มีประโยชน์
ผู้นำกองทัพของข้าศึกจึงจำเป็นต้องสั่งการให้ถอยทัพ………