บทที่ 642 สอนข้าบ้างสิ

บทที่ 642 สอนข้าบ้างสิ

เหยาเอ้อหลางคาดไม่ถึงว่าหัวหน้าโจรคนนี้จะยอมทอดทิ้งชีวิตของคนในรังตัวเองเพื่อปกป้องพรรคพวกเหล่านั้น

หากจะฆ่าล้างผลาญคนเหล่านั้นให้สิ้นซากใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เหยาเอ้อหลางจะไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์ ในรังโจรแห่งนั้นยังมีอาวุโสและเด็ก ๆ ที่ไม่มีทางสู้อีกมากมาย เดิมทีพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนของตัวเองออกไปทำสิ่งใด ถ้าฆ่าพวกเขาไป เกรงว่าเหยาเอ้อหลางคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิต

“ข้าว่าเจ้าฆ่าพวกเขาให้สิ้นซากเถอะ ถึงอย่างไรก็ได้ติดตามข้า และได้มีชีวิตที่ควรมีแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่พวกเขาต้องตอบแทน ส่วนข่าวอื่น ข้าเพียงคนเดียวคงพูดไม่ได้”

“เจ้า! ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะอาจหาญเช่นนี้!”

“อาจหาญ? หึ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้า เรื่องเกลือของเราจะถูกเปิดเผยได้อย่างไร ตอนนี้กองกำลังที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต่างเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะมีความอดทนมากเพียงใด ต้านทานกองกำลังเหล่านี้ทีละคน เจ้าเก่งไม่ใช่หรือไร? ถ้าเก่งจริงก็ฆ่าพวกเขาทุกคนให้ได้สิ!”

ดูเหมือนหัวหน้าโจรผู้นั้นจะมองข้ามอุปสรรคเหล่านั้นไป ยามลั่นวาจาจึงไม่มีความกังวลเรื่องอื่น

“ตอนนี้พวกเจ้าอยากจับพวกเราให้ได้ในคราวเดียวไม่ใช่หรือ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่เรายังมีคนอยู่ข้างนอก พวกเจ้าก็ไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุขได้หรอก เช่นนี้เป้าหมายของเราก็สำเร็จลุล่วงแล้ว”

“เจ้า….”

“เอ้อหลาง ข้าเอง” ซวีจ้าวยืนมองอยู่ข้างกายมาตลอด ตอนแรกเริ่มเหยาเอ้อหลางอยู่เหนือกว่า เขาจึงไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย

เพราะเหยาเฉาเคยพูดกับเขา ประสบการณ์ของเหยาเอ้อหลางยังน้อยนัก จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝน แต่ต่อมาเหยาเอ้อหลางกลับถูกหัวหน้าโจรผู้นี้จูงจมูกเสียได้ เช่นนี้ ซวีจ้าวจึงต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

“ดี” แม้จะรู้ว่าสถานะของตัวเองในตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่เหยาเอ้อหลางก็ไม่ฝืน จากความไว้วางใจที่มีต่อซวีจ้าว เหยาเอ้อหลางมองดูหัวหน้าโจรผู้นั้นปราดหนึ่ง แล้วเดินออกไป

ทันทีที่เหยาเอ้อหลางออกไป ซวีจ้าวก็หยุดข่มพลังที่แผ่ขยายรอบตัว สายตาที่มองหัวหน้าโจรผู้นั้นยิ่งอยู่ยิ่งมุ่งร้ายมากขึ้น

“เจ้าจะทำอะไร?” แม้ว่าซวีจ้าวจะไม่พูดสักคำเดียว แต่สัญชาตญาณของหัวหน้าโจรผู้นั้นได้บอกเขาเสมอ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้อันตรายกว่าคนที่เมื่อครู่มากโข

“เจ้าอย่าเข้ามา!”

ครั้นเห็นซวีจ้าวเดินย่างกรายเข้ามาทีละก้าว การป้องกันตัวเองของหัวหน้าโจรผู้นี้ก็ถดถอยลงทีละก้าว เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้พูดสักคำเดียว แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่ากลัวและอันตรายถึงชีวิตบางอย่าง

“สรุปแล้วเจ้าจะไม่ยอมบอกใช่หรือไม่?” ซวีจ้าวรู้จักยับยั้งชั่งใจได้ดี หยุดในระยะที่ห่างจากหัวหน้าโจรผู้นั้นประมาณสองก้าว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ข้าไม่บอกอะไรทั้งนั้น ให้เจ้าอกแตกตายไปเลย” คาดไม่ถึงว่าเมื่อครู่ตัวเองที่กล้าล่วงเกินเหยาเอ้อหลางจะยอมทุ่มสุดตัว พูดกับซวีจ้าวอย่างตรงไปตรงมา

“ดูท่าเจ้าจะยังไม่เข้าใจ บางครั้งเรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องสนใจว่าเจ้าอยากจะพูดหรือไม่อยากพูด แต่มันดูที่ว่าเจ้าจะพูดได้หรือไม่ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะไม่พูด งั้นข้าคิดว่าลิ้นของเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมี ทหาร ตัดลิ้นของเขาเดี๋ยวนี้”

ประโยคเพียงสั้น ๆ ลิ้นของหัวหน้าโจรผู้นี้ถูกตัดในทันที หัวหน้าโจรไม่ทันจะได้โต้ตอบกลับไป ก็เห็นนัยน์ตาของซวีจ้าวเปลี่ยนไปแล้ว

คนตรงหน้าไม่ใช่คน เขาคือปีศาจ เป็นปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรก

“อยากพูดไหม?”

“อ้า ไอ้ อู้ด (ข้าไม่พูด)”

“ข้าลืมไป เจ้าพูดไม่ได้ งั้นข้าจะให้ดินสอถ่านแก่เจ้า เจ้าเขียนลงไปบนนั้นก็แล้วกัน” คนข้างกายได้ยินคำพูดของซวีจ้าว ก็รีบนำดินสอถ่านวางตรงหน้าของหัวหน้าโจรผู้นั้น

หัวหน้าโจรผู้นั้นคว้าดินสอถ่านด้วยมือข้างเดียว แต่กลับไม่สามารถเขียนคำปฏิเสธได้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาพล่ามสารพัด แต่ตอนนี้กลับเกิดความลังเล

“ทำไม? ไม่อยากเขียนหรือเขียนไม่ได้? ถ้าข้านับหนึ่งถึงสาม ถ้าเจ้ายังไม่เขียน ข้าจะให้คนตัดมือของเจ้า ต่อไปต่อให้เจ้าอยากเขียนก็เขียนไม่ได้ เจ้าว่าดีไหม คนที่อยู่เบื้องหลังของเจ้าคงจะชื่นชมในความจงรักภักดีของเจ้าแน่นอน”

“อือ อือ…อือ อือ อือ อือ”

“เจ้าอย่าคิดว่าข้าตัดมือเจ้าแล้วมันจะจบ ไม่มีมือ เจ้าก็ยังมีเท้า ไม่มีเท้าเจ้าก็ยังมีปาก ถือว่าเหมารวม เจ้าต้องบอกที่กบดานของโจรคนอื่นกับข้าอย่างชัดเจน ต่อให้เจ้าไม่มีปาก ใช้ร่างกายของเจ้าไถลไปกับพื้น เจ้าก็ต้องไถลให้เป็นคำออกมา”

ซวีจ้าวเดินมาตรงหน้าของหัวหน้าโจรผู้นั้นอย่างช้า ๆ จับจ้องปากที่ถูกตัดลิ้นจนเลือดไหลอาบ นัยน์ตาไร้ซึ่งความอบอุ่นใด

“ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร ข้างนอกยังมีคนอีกมากมาย แต่ละคนรักตัวกลัวตายทั้งนั้น ข้าไม่มีอะไรต้องทำ ก็เลยมีเวลาเยอะ ลากตัวเข้ามาทีละคน ข้าชักอยากเห็นแล้วสิว่าศักดิ์ศรีโจรอย่างพวกเข้าจะมีมากน้อยเพียงใด!”

ครั้นหัวหน้าโจรได้ยินคำพูดของซวีจ้าว ความกลัวที่มีต่อเข้าได้ลึกล้ำเข้าไปในใจอีกขั้น

เขาไม่ได้ไถ่ถามถึงเบาะแสให้ชัดเจนทีละลำดับขั้นตอนเหมือนกับเหยาเอ้อหลางในตอนแรกเริ่ม แต่ใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดบอกเขา ถ้าเขียนเขาจะปล่อยตนไป แต่ถ้าไม่เขียน แม้แต่พี่น้องของเขาก็ไม่มีทางรอด

ข่มขู่ ข่มขู่กันชัด ๆ แต่หัวหน้าโจรไม่กล้าต่อต้านเขา ได้แต่จับดินสอถ่านขีด ๆ เขียน ๆ ด้วยมือที่สั่นเทาอย่างช้า ๆ

“เขียนช้า ๆ ไม่ต้องรีบ เจ้าอย่าคิดว่าจะใช้ข่าวลวงมาหลอกข้าได้ ถ้าข่าวที่ข้าได้รับมันไม่ใช่ความจริงแม้แต่น้อย บรรดาพี่น้องที่เจ้าห่วงนักห่วงหนาจะต้องได้รับบทลงโทษที่น่ากลัวว่าเจ้าพันเท่า”

หลังกล่าวจบ ซวีจ้าวก็เดินออกไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไต่สวนนักโทษมาเป็นเวลานานแล้ว แต่วิธีการเหล่านี้ก็ยังฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของเขาไม่มีทางลบเลือน

ความจริงแล้วการไต่สวนนักโทษคือสงครามประสาทอย่างหนึ่ง มีแค่ต้องจับนักโทษขึงไว้กับเสาให้อยู่หมัดตั้งแต่เริ่ม ตัวเองถึงจะเป็นฝ่ายเริ่มไปได้ตลอด

ปกติแล้ววิธีการนี้จะใช้ในเมืองจิงจ้าว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโจรที่ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วนเหล่านี้ กลับไม่ได้คุกคามเขาโดยสมบูรณ์

เมื่อออกมาเห็นเหยาเอ้อหลางยืนมองเขาอยู่หน้าประตู ซวีจ้าวก็อดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ ต่อหน้าเหยาเอ้อหลาง เขาเหมือนไม่เคยเปิดเผยด้านโหดเหี้ยมของตัวเองออกมาก่อน ตอนนี้พอถูกจับได้ก็รู้สึกลำบากใจ

ตรงกันข้ามกลับเป็นเหยาเอ้อหลาง ที่ใช้สายตาชื่นชมมองเขา ราวกับว่าที่เขาทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว

“ซวีจ้าว ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีวิธีการนี้ ไว้ว่าง ๆ สอนข้าบ้างสิ” ครั้นเห็นซวีจ้าวเดินออกมา เหยาเอ้อหลางก็ย่างสองก้าวไปตรงหน้า ยกมือแตะไหล่ของซวีจ้าว ท่าทางเหมือนพี่น้องที่สนิทกัน ทำให้ซวีจ้าวรู้สึกไม่สบายใจ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ซวีจ้าวผู้นี้ก็โหดใช่ย่อยเหมือนกันเลยนะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)