ณ ที่แห่งนั้นเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเกิดความโกลาหลขึ้น
แน่นอนว่าหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวไม่กลัวหนอนประหลาดเหล่านี้ แต่เมื่อมองไปยังหนอนมากมายยั้วเยี้ยปีนขึ้นมาดุจสายน้ำไหล หนอนกู่ที่เขาเลี้ยงเอาไว้ก็สั่นเทาส่งเสียงคร่ำครวญออกมา ทำให้จิตใจเขาหวั่นไหวยิ่งขึ้น
สตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวฝึกฝนวิชาสกัดหนอนกู่ได้สำเร็จแล้ว
เมื่อร่ายวิชากู่ หนอนพิษมากมายล้วนฟังคำสั่งนาง
ส่วนผู้ที่ตกตะลึงกว่าหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวนั่นก็คือหัวหน้าผู้อาวุโส
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ หัวหน้าผู้อาวุโสลุกขึ้นทันใดแล้วตะโกนว่า “อาซัง!”
ด้วยน้ำเสียงอันดังนี้ ทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องมองไป
เจียงซื่อมองไปทางหัวหน้าผู้อาวุโสอย่างสงบ “ท่านมีสิ่งใดกำชับหรือ”
เนื่องด้วยถูกสายตามากมายจับจ้องอย่างตกตะลึง หัวหน้าผู้อาวุโสพยายามสงบสติอารมณ์ ยกมือขึ้นโบก กล่าวว่า “อย่าได้ก่อความวุ่นวาย”
จากนั้นเมื่อนางขยับมือ หนอนประหลาดเหล่านั้นก็หยุดเคลื่อนไหว กระจัดกระจายมุดลงไปที่ไหนสักแห่ง พวกมันทั้งสิ้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หัวหน้าผู้อาวุโสจึงนั่งลงช้าๆ ก่อนจะหันไปยิ้มขอโทษต่อหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวว่า “ท่านหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว โปรดอย่าถือสาอาซังที่นางก่อความวุ่นวายเลย”
ตรงกันข้ามกับใบหน้าอันสงบนิ่ง ในใจของหัวหน้าผู้อาวุโสดุจดั่งคลื่นซัดสาด
ไม่สิ น่าแตกตื่นมากกว่าถูกคลื่นซัดถาโถมเสียด้วยซ้ำ
วิชาสกัดหนอนพิษกู่ที่แม้แต่อาซังยังไม่อาจควบคุมได้ แล้วสตรีแห่งต้าโจวผู้นี้ควบคุมมันได้อย่างไร
หรือว่า นางคิดผิดมาโดยตลอด…
นางจะคิดมากไปไม่ได้ ควรจัดการเรื่องตรงหน้านี้ก่อนค่อยว่ากัน
หัวหน้าผู้อาวุโสละจากความคิดอันยุ่งเหยิง ใบหน้าของนางมองไปทางผู้คนทั้งหลายพร้อมรอยยิ้ม
สตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวได้แสดงความสามารถของตนต่อหน้าผู้คนมากมาย นับแต่นี้จะมีชนเผ่าใดกล้าสงสัยอีก
วินาทีนี้ หัวหน้าผู้อาวุโสดีใจเสียจนน้ำตาแทบไหลริน
หลายสิบปีแล้ว นับตั้งแต่รุ่นของนางก็ไม่มีผู้ใดสืบทอดทักษะนี้ได้เลย หัวใจของนางดุจหินก้อนโตทับเอาไว้ ในวันนี้ นางสามารถหายใจหายคอได้สักที ในที่สุดนางก็วางใจลงได้แล้ว
เบื้องบนเมตตาสงสาร เป็นความโชคดีของอูเหมียวยิ่งนัก!
“ท่านหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวพอใจแล้วหรือไม่” หัวหน้าผู้อาวุโสเอ่ยถามเบาๆ
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “ในวันนี้เมื่อได้เห็นกับตาตนเอง ความสามารถของสตรีศักดิ์สิทธิ์เก่งกาจสมคำร่ำลือ ยินดีกับหัวหน้าผู้อาวุโสด้วย”
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวยกจอกสุราขึ้น ไม่ได้เอ่ยท้าทายอีก
ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่ไม่อาจทำได้
สตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวสำเร็จวิชาสกัดหนอนพิษกู่ ต่อให้หัวหน้าผู้อาวุโสอายุมากแล้ว แต่ก็ยังสามารถปกครองอูเหมียวได้นับสิบปี เผ่าเสวี่ยเหมียวของพวกเขาจึงทำได้เพียงหยุดความคิดลงก่อน แล้วรอดูการเปลี่ยนแปลง
การยั่วยุผู้แข็งแกร่งกว่าเป็นการกระทำของคนโง่เง่า
ผู้คนมากมายพากันยกจอกขึ้นพร้อมเปล่งวาจาเป็นเสียงเดียวกันว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์เก่งกาจสมคำร่ำลือ ขอแสดงความยินดีต่อหัวหน้าผู้อาวุโส”
หัวหน้าผู้อาวุโสอิ่มเอมใจยิ่งนัก แต่นางยังคงทำสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม “หาได้เป็นเช่นนั้น อาซังอายุใกล้สิบแปดปีแล้ว จะว่าไปก็ยังช้าอยู่เล็กน้อย”
ผู้คนต่างพากันกล่าวว่า “ผู้ที่สามารถเปรียบเทียบกับหัวหน้าผู้อาวุโสได้มีน้อยนัก สตรีศักดิ์สิทธิ์ช่างมีความสามารถยิ่ง…”
คำชมจากคนนอกชนเผ่าเหล่านี้ ทำให้ผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวทั้งหลายน้ำตานองหน้า
สตรีศักดิ์สิทธิ์สำเร็จวิชาสกัดหนอนพิษกู่ เผ่าอูเหมียวจึงหมดสิ้นความกังวลเรื่องไร้ผู้สืบทอด ทั้งยังสามารถสร้างความน่าเกรงขามแก่เผ่าอื่นๆ
กว่าจะรอมาได้ถึงวันนี้ ช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย!
เมื่อเทียบกับความตื้นตันใจของผู้อาวุโสเหล่านี้แล้ว ในใจของผู้อาวุโสฮวาช่างซับซ้อนยิ่งนัก
นางลักพาตัวสตรีนางหนึ่งที่หน้าตาคล้ายสตรีศักดิ์สิทธิ์มาจากต้าโจว แต่เหตุใดท้ายที่สุดแล้วนางกลับเหมือนสตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
ความรู้สึกของผู้อาวุโสฮวาในบัดนี้ราวกับฝันไป
นางตื่นเต้น ประหลาดใจ และเกรงว่านี่เป็นเพียงฝันดี เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วทุกสิ่งจะกลับไปเป็นดังเดิม
งานเลี้ยงจากนั้น หัวหน้าผู้อาวุโสและผู้อาวุโสฮวาที่รู้ความจริงทั้งหมดของเรื่องราว อยากจะจับตัวเจียงซื่อมาถามจึงความจริงเสียเหลือเกิน แต่สีหน้าของทั้งสองก็ไม่กล้าเผยความสงสัยออกมา
รอบกายเต็มไปด้วยผู้คนเริงระบำข้างกองไฟ แม้นตรงหน้าจะมีสุราและอาหารเลิศรส แต่ในใจของพวกเขาทั้งหลายกลับล่องลอยไปไกลแสนไกล
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้เคลื่อนศพได้เดินตามหญิงสาวคนหนึ่งไปอย่างเงียบๆ ในส่วนลึกของบริเวณเผ่า
อาฮวาเดินถืออาหารตรงเข้าไปด้วยอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อครู่นางได้พบกับคนแปลกๆ บัดนี้ก็ต้องเดินทางมาพบคนแปลกๆ อีกคนหนึ่ง
หลายวันมานี้หากไม่ใช่เพราะนางมั่นคงหนักแน่น นางคงจะสงสัยว่าผู้ที่แปลกประหลาดนั้นคือตัวนาง ไม่ใช่คนอื่นแต่อย่างใด
เมื่อเดินทางมาถึงประตูห้อง อาฮวาก็หยุดลง พึมพำกับตนเองว่า “ไม่รู้ว่าเจ้านี่เป็นผู้ใด ต้องมีคนดูแลส่งข้าวส่งน้ำ คนอื่นๆ กำลังร้องรำทำเพลงกินอาหารอย่างสนุกสนาน แต่ข้ากลับต้องเอาอาหารมาให้เขา!”
อาฮวาโมโหหงุดหงิด นางเอื้อมมือมาผลักประตูออก ก้าวขาเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็วแล้ววางอาหารลงบนโต๊ะ ทำหน้าบูดบึ้ง “กินเสีย”
เจียงจั้นเห็นว่าอาฮวาเดินทางมา จึงฉีกยิ้มขึ้นกล่าวว่า “แม่นางอาฮวา เหตุใดวันนี้ที่ข้างนอกจึงครึกครื้นนัก ข้าอยู่ที่นี่ยังได้ยินเสียงของกลองดัง”
อาฮวากลอกตามอง แล้วตอบกลับไปห้วนๆ “สิ่งใดไม่ควรถามอย่าได้ถาม!”
เจียงจั้นกะพริบตา “แม่นางอาฮวา เหตุใดวันนี้จึงดุนักหนา ทั้งๆ ที่วันนั้น…”
นางยังอยากจะจูบเขาอยู่แท้ๆ…
เพียงแต่เขาเป็นคนหน้าบาง เรื่องชัดเจนเพียงนี้ไม่ต้องกล่าวออกมาก็ได้กระมัง
หากเจียงจั้นไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ยังไม่เท่าไร แต่เมื่อกล่าวขึ้นจึงทำให้อาฮวาโมโหยิ่งนัก นางตะคอกว่า “เจ้า! อาหารนี่ไม่กินแล้วใช่หรือไม่”
เจียงจั้นเหลือบตาไปมองอาหารอันร้อนระอุ ยังมีกลุ่มควันลอยออกมาหอมกรุ่น เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วตอบเพียงว่า “กิน!”
จะว่าไปแล้ว อาหารเหล่านี้มีความผิดปกติ
ในวันนั้นเขาหิวโหยไม่ได้กินข้าวมาสองมื้อ เขาไม่ได้หิวจนหน้ามืดตาลาย แต่ร่างกายกลับมีพลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ เขาจึงเดาได้ว่าอาหารเหล่านั้นมีปัญหาอย่างแน่นอน หลังจากที่สังเกตการกินอยู่สองวัน จึงได้รู้ว่ามีสาเหตุมาจากข้าว
เขาจึงกินเพียงกับข้าวและไม่กินข้าวอยู่สองวัน เมื่อร่างกายฟื้นฟูพลังขึ้นมาบ้างแล้ว เขารอให้แม่นางที่มาส่งอาหารเดินจากไป ตัวเขาก็ได้หนีออกไป พบว่าประตูไม่ได้ลงกลอน!
วินาทีนั้น เขาโมโหยิ่งนัก
ถึงอย่างไรเขาก็ฆ่าศัตรูมากมายในสนามรบ แต่สตรีเหล่านี้กลับไม่เห็นเขาในสายตา ไม่แม้แต่จะลงกลอนประตู!
คุณชายรองเจียงโมโหและหนีออกไปที่ตรงประตูก่อนจะหมอบลง เขาเกรงว่าจะมีคนมาพบเข้า ดังนั้นจึงใช้วิธีหมอบคลาน
แหกกฎสวรรค์กันแล้ว พวกนางใส่ยาพิษลงไปในอาหารยังไม่พอ แต่ดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่งได้ท่ามกลางฤดูหนาวเช่นนี้ ยังส่งกลิ่นหอมเสียจนแขนขาเขาอ่อนแรง!
นี่มันที่ใดกันแน่!
เจียงจั้นคิดได้ดังนั้น สายตาของเขาก็มองไปทางสตรีที่อยู่ตรงหน้าอย่างเร่าร้อน
ดูเหมือนนอกจากแผนใช้ความหล่อเป็นอาวุธแล้ว เขาไม่มีหนทางอื่นจริงๆ!
เมื่อพบว่าท่าทีของชายหนุ่มรูปหล่อตรงหน้าดูผิดแปลกไป ราวกับว่าถูกมนต์ดำของผู้อาวุโสมั่ว อาฮวาก็ได้ระมัดระวังตนมากขึ้นแล้วถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง กล่าวว่า “คุณชายเชิญกินอาหารเถิด อาหารค่ำข้าจะนำมาให้ตรงเวลา”
เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวก็หันหลังจากไปอย่างไม่คิดรีรอ เหลือไว้เพียงเจียงจั้นที่อยู่ในอาการงุนงง ปากบ่นพึมพำว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่คนเดิมแน่ๆ นางไม่ใช่อาฮวาคนนั้นอย่างแน่นอน!”
“เจ้าหมายความว่ามีอาฮวาสองคน?” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเล็กน้อย
จู่ๆ ก็ปรากฏเด็กหนุ่มขึ้นตรงหน้า ทำให้เจียงจั้นถึงกับสะดุ้งโหยง “เจ้าคือใคร”
อวิ๋นชวนไม่ตอบ แต่กลับเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “มีอาฮวาสองคนงั้นหรือ!”
เด็กหนุ่มท่าทางมุ่งมั่นเช่นนั้นทำให้เจียงจั้นตกใจเล็กน้อย เขายิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย “น้องชาย หากข้าบอกเจ้าไปแล้ว เจ้าจะช่วยอะไรข้าได้หรือไม่”
“ช่วยเรื่องใด”
“ช่วยพาข้าออกไปจากที่นี่” เมื่อกล่าวจบ เจียงจั้นก็ได้สติกลับคืนมาแล้วถอนหายใจ
ดูเอาเถิด เขาเติบโตมาจนป่านนี้ กลับถูกบีบบังคับให้จนมุมโดยใช้แผนชายรูปงามกับเด็กหนุ่ม!
ส่วนอวิ๋นชวนเมื่อได้ยินคำร้องขอจากเจียงจั้นแล้ว เขาก็ได้พยักหน้าตอบรับทันทีโดยไม่ลังเล “ตกลง”
เจียงจั้นตกตะลึงแล้วใช้แรงขยี้ไปยังใบหน้าของตน