บทที่ 704 พ่อมดศักดิ์สิทธิ์แห่งสกุลเยว่

ประตูที่ทั้งหนาและหนักถูกผลักออกจนมีเสียงดังเอี๊ยด

อามู่และอาฮวาแทบทนรอไม่ไหว พวกเขาเดินเข้าไปข้างใน เห็นร่างของคนผู้หนึ่งนั่งหันหลังให้ ร่างนั้นดูเด่นชัดในความทรงจำของอาฮวานับคร้ังไม่ถ้วน แต่เมื่อตื่นจากฝันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย อาฮวาไม่กล้ากะพริบตาเพราะกลัวว่านี่จะเป็นเพียงความฝันแค่ตื่นหนึ่งเท่านั้น

ทั้งสองเดินเข้าไปจนใกล้

“ท่านแม่” อาฮวาเรียกเบาๆ แต่นางไม่ตอบสนองเลย เมื่อได้เห็นใบหน้าอย่างใกล้ชิดก็พบว่ามารดาของนางผ่ายผอมลงไปมาก ผมบนศีรษะของนางเปลี่ยนเป็นสีขาว นางดูเปลี่ยนไปจากภาพจำของอาฮวาไม่มากนัก

มารดามักจะอุ้มนางไว้ในวงแขนเพื่อกล่อมให้นางนอน

ทำอาหารอร่อยๆ ให้กิน ดูแลอาฮวาเป็นอย่างดี

ชอบดึงหูบิดายามที่นางโมโหที่เขาไม่ยอมดูแลสองพี่น้องให้ดี

หลายปีผ่านไปในที่สุดอาฮวาก็ได้เจอมารดาอีกครั้ง น้ำตาของอาฮวาไหลพรากลงมาอย่างไม่อาจระงับไว้ได้

“ท่านแม่” อาฮวาร้องออกมาทั้งน้ำตา นางอยากจะฝังตัวเองในอ้อมกอดของมารดา แต่จู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นกลับเงยหน้าขึ้น มองอาฮวาด้วยสายตาที่ตื่นกลัว

“เจ้าเป็นใคร อย่าเข้ามานะ เจ้าพรากลูกของข้าไปใช่หรือไม่? ไม่ว่าใครก็จะเอาพวกเขาไปไม่ได้”

ผู้หญิงคนนั้นกรีดร้องพร้อมกับกอดหมอนที่อยู่ในอ้อมแขนไว้แน่น อาฮวาตกใจมาก

“ท่านแม่..” ความทรงจำบางอย่างที่ลางเลือนผลุดขึ้นมา

หญิงสาวกอดหมอนแล้ววิ่งกลับไปขังตัวเองในห้อง

“เสี่ยวฮวาไม่ต้องกลัวนะ แม่จะไม่ยอมให้ใครพรากเจ้าไป” น้ำเสียงหนักแน่นของหญิงผู้นั้นดังออกมาจากข้างในห้อง อาฮวาและอามู่ยืนอยู่ที่หน้าประตู พวกเขาพากันเคาะประตูเรียกมารดา แต่ไม่ว่าอย่างไรประตูก็ไม่เปิด ยิ่งพวกเขาตะโกนดังเท่าใด ผู้หญิงในห้องก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น

“พวกเจ้าไปให้พ้นอย่ามายุ่งกับลูกข้า อาเซินกำลังจะกลับมา”

สองพี่น้องได้แต่ชะงัก อาฮวาเอาหน้าแนบประตูเพื่อฟังเสียงด้านใน

“เสี่ยวฮวา เจ้าง่วงนอนหรือยัง?” ผู้หญิงคนนั้นร้องเพลงกล่อมเด็กออกมา

“อาเซินกลับมาแล้วหรือ? เสี่ยวฮวาเพิ่งจะหลับไป” นางลดน้ำเสียงให้เบาลง

“อามู่ไปไหน เหตุใดไม่กลับมากับเจ้า?” อาฮวาและอามู่ยืนน้ำตาไหลอยู่ที่หน้าประตู

ทั้งๆ ที่พวกเขาอยู่ต่อหน้า แต่มารดากลับจำพวกเขาไม่ได้

ท่านแม่เสียสติไปแล้ว!

พวกเขายืนนิ่งที่หน้าประตู ความสุขที่ได้กลับมาพบท่านแม่เแห้งเหือดไปจนหมด ทั้งคู่ใช้เวลานานกว่าจะเดินออกไป

ผู้เฒ่าเยว่ยืนอยู่ตรงนั้นยันร่างด้วยไม้เท้า มีสาวใช้คอยพยุงอยู่เคียงข้าง ท่าทางที่สง่างามของนางแฝงไว้ด้วยความไม่สบายใจ นางคิดว่าอาโหรวจะดีขึ้นหากได้เจอกับเด็กๆ แต่ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้

อาฮวาเดินตรงไปหาผู้เฒ่าเยว่ ดวงตาแดงก่ำ

“ท่านยาย ท่านแม่เป็นเช่นนี้มานานเพียงใดแล้วเจ้าคะ?”

“ผ่านมาสิบปีแล้ว ตอนแรกก็ไม่กินไม่ดื่มจากนั้นสติก็เริ่มเลอะเลือน” นางเยว่ถอนหายใจ

“ท่านแม่ได้หาหมอหรือไม่?” อาฮวายังคงถาม

“นางตรอมใจ..”

“ถึงตรอมใจต้องกินยารักษา” อาฮวาคิดถึงเรื่องที่มารดาเรียกชื่อบิดาตลอด

“ท่านยาย แล้วท่านพ่อของข้ามีชีวิตอยู่หรือไม่?”

“เขาถูกตระกูลเหยาขังเอาไว้”

“ข้าจะช่วยให้ท่านแม่เจอกับท่านพ่อได้หรือไม่?”

ความอ่อนโยนบนใบหน้าของผู้เฒ่าเยว่หายไป น้ำเสียงของนางกระด้างขึ้น

“อย่าให้คนจากสกุลเหยาเหยียบเข้ามาในสกุลเยว่ของข้า” นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสริมขึ้นมา

“เมื่อเจ้าต้องสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสกุลเยว่ เจ้าก็ต้องตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับตระกูลเหยาเสีย”

หัวใจของอาฮวาห่อเหี่ยว แม่ของนางสติเลอะเลือน ส่วนบิดาก็เป็นคนสกุลเหยา ทั้งสองสกุลมีรอยร้าวที่ฝังลึกมากเกินไป นางฝันถึงวันที่ครอบครัวได้มารวมตัวกันอีกครั้ง แต่นั่นคงเป็นเรื่องที่สุดเอื้อม เกินกำลัง

…..

ที่วิหารธิดาเทพ

หวังหยูเปลี่ยนชุดเป็นชุดพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ เขาสวมเสื้อคลุม มีหมวกสีดำ เมื่ออยู่ในชุดนี้ก็ทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่แข็งกร้าวอยู่แต่เดิม ดูน่าเกรงขามมากขึ้น ผนวกกับรูปร่างที่สูงเพรียวของเขา ทำให้เขาดูสง่างาม หล่อเหลามากยิ่งขึ้น หวังหยูที่เคยติดตามซานเป่าราวกับเงา ตอนนี้กลับเปล่งประกายเจิดจ้า บรรยากาศโดยรอบเย็นชามากขึ้น

เมื่อเห็นว่าซานเป่ามองมา ดวงตาของหวังหยูสว่างวาบ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ

“ธิดาเทพ” ซานเป่ามองกวาดไปทั่วตัวของเขาแล้วพยักหน้า

“ดูดี”

ใบหน้าของหวังหยูเปลี่ยนเป็นสีแดง ไม่รู้ว่าควรจะเอามือเอาเท้าวางไว้ที่ไหน

“ไปทำนายฤกษ์เถิด”

“ขอรับ” หวังหยูอาบน้ำชำระล้างกายเปลี่ยนเสื้อผ้าดีแล้ว เขาตรงไปยังสถานที่ทำนายฤกษ์ แล้วได้วันฤกษ์ดีอันเป็นมงคลในอีกสามวันข้างหน้า วันนั้นพ่อมดศักดิ์สิทธิ์จะขึ้นสู่ตำแหน่ง นี่ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและยิ่งใหญ่มาก ผู้คนในวิหารจึงมีงานยุ่งล้นมือ

สามวันมานี้ซานเป่าก็ไม่ได้ว่างเลย มีเรื่องให้นางสะสางมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาที่เหยาเจี๋ยทิ้งไว้แทบทั้งสิ้น

ในฐานะของธิดาเทพ ซานเป่าได้ออกคำสั่ง ระงับการก่อสร้างวิหารที่ใช้เงินอย่างเปล่าประโยชน์ รวมถึงยกเลิกการจัดเก็บภาษี

ในส่วนของเหยาเซิงนั้น ก็มารายงานการลงโทษคนในสกุลเหยาให้ซานเป่าฟัง เขาใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะกวาดล้างคนในสกุล และพบว่ามีผู้คนถึงครึ่งหนึ่งของสกุลเหยาที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือสมรู้ร่วมคิดกับเหยาเจี๋ย

บางคนถูกขับออกจากสกุล บางคนถูกขังในเขตกักกัน บางคนถูกโบยด้วยไม้

หลังจากที่เหยาเซิงพูดจบก็อดมองธิดาเทพอย่างไม่สบายใจไม่ได้ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่านางพึงพอใจในการตัดสินของเขาหรือไม่?

ซานเป่าไม่พูดอะไร สีหน้าของนางครุ่นคิด

“ธิดาเทพ ข้าจะตรวจสอบอีกครั้งและไม่มีวันปล่อยคนที่สมรู้ร่วมคิดกับเหยาเจี๋ยไปแน่นอน สกุลเหยาจะต้องสะอาดหมดจดตั้งแต่บนลงล่าง” เหยาเซิงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ดี” ซานเป่าพยักหน้า

เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากได้ฟังคำตอบจากธิดาเทพ

ทันทีที่เหยาเซิงจากไป ซานเป่าก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที ท่าทีสง่างามของนางหายไป ไหล่เล็กๆลู่ลง ท่าทางหดหู่

“ท่านแม่ ข้าเหนื่อยมากเลย”

ซานเป่ารู้ว่ามารดายังบาดเจ็บอยู่ จึงไม่กล้าออกแรงมาก นางกอดมารดาเบาๆ

เมื่อถังหลี่เห็นใบหน้าที่อ่อนล้าของบุตรสาวก็รู้สึกทุกข์ใจ เด็กสาวตัวน้อยๆ คนนี้เติบโตขึ้นมาโดยไม่เคยมีเรื่องต้องทุกข์ใจมาก่อน ตอนนี้กลับต้องแบกความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงไว้บนบ่า ไม่น่าแปลกใจที่นางจะเหนื่อยล้า

“ไม่เป็นไร ไม่นาน เจ้าจะคุ้นเคยกับความเหนื่อยเช่นนี้ไปเอง” ถังหลี่กล่าว

“….” ซานเป่ามองมารดาด้วยสีหน้าเจ็บปวด นี่นางไม่ใช่ลูกรักของท่านแม่แล้วหรือ?

ถังหลี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“เมื่อหวังหยูได้ขึ้นเป็นพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ปล่อยงานให้เป็นหน้าที่ของเขา”

เมื่อซานเป่าได้ยินก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น แม้ว่านางจะรู้สึกเห็นใจหวังหยู แต่ยังดีกว่าที่นางจะต้องมาเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงสามวันเท่านั้น นางต้องอดทนเข้าไว้

“ท่านแม่ เหยาจู้ถูกขังในเขตกักกัน ในขณะที่เหยาคูถูกประณามว่าเป็นคนทรยศ เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูล”

คนทรยศที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล จะถูกสักบนใบหน้า นับเป็นบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดในครอบครัว พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตอย่างอับอายและสิ้นใจไปเพียงลำพัง

เหยาเซิงพูดถึงคนหลายคนแต่ซานเป่าจำสองคนนี้ได้ เพราะความขุ่นเคืองที่มีต่อสองคนนั้น นางเล่าให้มารดาฟังถึงชะตากรรมที่พวกเขาได้รับ

ถังหลี่พยักหน้า ทั้งคู่สมควรที่จะถูกลงโทษแล้ว

หลังจากผ่านมาสิบปีสกุลเหยากลายเป็นตระกูลที่ใหญ่สุดในเผ่าอู๋ซาน จึงไม่ได้หมายความว่าสกุลเหยาจะหมดโอกาสที่จะพลิกฟื้นกลับมาได้อีก การปล่อยให้สกุลเหยาได้จัดการกับเรื่องภายในของสกุลด้วยตัวเองถือได้ว่าเป็นการให้โอกาส

สกุลเหยาเป็นหนึ่งในเผ่าอู๋ซานเช่นกัน มีความเลื่อมใสศรัทธาและเชื่อมั่นในพ่อมดศักดิ์สิทธิ์และธิดาเทพเช่นเดียวกับคนสกุลอื่น หากธิดาเทพชี้ชะตาให้กับพวกเขา พวกเขาจะปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ต่อให้จะต้องต่อสู้ฝ่าฟันหรือแม้จะต้องตัดปีกของตนออกก็ตามที พวกเขาล้วนเต็มใจ

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สถานะและศักดิ์ศรีของสกุลเหยาย่อมลดลง พวกเขาจำต้องมีชีวิตอยู่โดยเอาหางซุกหว่างขาของตนไว้ให้แน่น

วิธีนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด ซานเป่าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว

พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน

พิธีเข้ารับตำแหน่งของพ่อมดศักดิ์สิทธิ์จัดขึ้นที่แท่นบูชาด้านนอก

ในตอนเช้ามีคนมาเข้าร่วมพิธีกันอย่างหนาตา พิธีนี้เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่มากของเผ่าอู๋ซาน อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่พวกเขาได้เห็นเพียงครั้งเดียวตลอดชีวิตนี้

อามู่และอาฮวาอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น ในฐานะของคนสกุลเยว่ พวกเขาได้นั่งในตำแหน่งที่สูงกว่าคนทั่วไป ผู้เฒ่าเยว่ อาฮวาและอามู่ต่างมีสีหน้าตื่นเต้นและคาดหวัง นั่นคือการได้เห็นธิดาเทพบุคคลที่เป็นยิ่งกว่าตำนานของพวกเขา

ทั้งสองไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้เห็นธิดาเทพด้วยตาของเขาเอง

ธิดาเทพอาจจะมองเห็นพวกเขาเช่นกัน!

ในขณะที่ทุกคนตั้งตารอแบบใจจดจ่อ เด็กหญิงที่อยู่ในอาภรณ์สีขาวก็ก้าวขึ้นมายังแท่นพิธี นางดูงดงาม หรูหรา ร่างกายประหนึ่งอาบไปด้วยแสงอ่อนๆราวกับเทพธิดาที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์

ข้างกายของนางมีเด็กหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่ เขาสวมชุดสีดำหน้าตาหล่อเหลา เด็กหนุ่มคอยปกป้องนางอย่างใกล้ชิด

ธิดาเทพ…นั่นซานเป่าไม่ใช่หรือ?

แม้ว่าท่าทีของนางจะเปลี่ยนไป แต่เป็นซานเป่าในความทรงจำไม่ผิดแน่ นางเป็นเด็กอ่อนโยนและน่ารัก แต่ธิดาเทพที่พวกเขาเห็นในตอนนี้ดูสง่าและสูงศักดิ์มาก พวกเขาไม่แปลกใจเรื่องเด็กหนุ่มเพราะเคยเห็นดอกบัวเพลิงที่ฝ่าเท้าของเขามาก่อนหน้าแล้ว แต่ธิดาเทพคือซานเป่าเองหรือ พวกเขาเคยได้ใช้เวลาอยู่กับธิดาเทพจริงหรือ? ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

————————————————