บทที่ 658 เจี่ยงเถิงมีเรือนในจวนหลินแล้ว
บทที่ 658 เจี่ยงเถิงมีเรือนในจวนหลินแล้ว
“ออกมาแล้ว เราไปคุยกันหน่อยได้หรือไม่?” ตอนที่เหยาเอ้อหลางเข้ามาในจวนหลิน เหยาซูรับรู้ แต่แค่นางยังจัดการเรื่องราวไม่เสร็จ จึงออกมาไม่ทันเวลา
เดิมทีคิดว่าวันนี้คงจับเขาไม่ได้ ใครเลยจะรู้ว่าตอนที่นางเดินมา จะเห็นเหยาเอ้อหลางกำลังดูแลซวีจ้าวอย่างขะมักเขม้น
นางเข้าใจหลานชายคนนี้ดี เป็นคุณชายจอมเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะได้รับการฝึกฝนอยู่ในค่ายทหารมานาน แต่ก็ไม่เคยได้รับความลำบากแต่อย่างใด แค่เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้นเล็กน้อย
ยากนักที่จะได้เห็นเขาตั้งใจดูแลคนคนหนึ่งเช่นนี้ เหยาซูจะไม่แปลกใจได้อย่างไร
“ขอรับ” เมื่อถูกผู้เป็นอาจับได้ เหยาเอ้อหลางจะพูดสิ่งใดได้ ทำได้แค่ฝืนใจตอบรับ จากนั้นก็เดินตามเหยาซูไปยังจวนของนาง
นับตั้งแต่ญาติผู้น้องฟื้น ช่วงนี้สภาพจิตใจของผู้เป็นอาจึงดีขึ้น ดังนั้นเหยาเอ้อหลางจึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าผู้เป็นอาจะขุ่นเคืองเขา แต่เรื่องที่ตัวเองพาซวีจ้าวออกไปดื่มสุราถูกท่านอาจับได้ ไม่รู้ว่านางจะนำไปบอกบิดาหรือไม่
ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดีขึ้นบ้างในสายตาของบิดา ถ้าความทุ่มเทก่อนหน้านั้นสูญเปล่าคงจะน่าสงสารมาก
“เอ้อหลาง นั่งสิ”
“ขอบคุณขอรับท่านอา” กล่าวพลางนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย พร้อมกับมองพฤติกรรมของผู้เป็นอาของตัวเอง
ดูเหมือนเหยาซูจะไม่เห็นสายตาของเหยาเอ้อหลาง ครั้นตัวเองนั่งลงก็ให้สาวใช้ยกชาและขนมเข้ามา แล้วสั่งให้ทั้งหมดออกไป
“วันนี้เจ้าพาซวีจ้าวออกไปดื่มสุรามาใช่หรือไม่?”
“ท่านอา เป็นเรื่องจริงขอรับ ข้าเห็นซวีจ้าวอารมณ์ไม่ดีจึงพาเขาออกไปดื่มสุรา”
“เจ้าอย่าได้กังวล ข้าแค่ถามเท่านั้น” ครั้นเห็นท่าทางระแวดระวังราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจของเหยาเอ้อหลาง เหยาซูจึงสงสัยว่าตัวเองดูน่ากลัวเพียงนั้นเลยหรือ
หลานชายผู้ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินมาตลอด ครั้นเห็นตนกลับกลัวจนเป็นเช่นนี้
“ท่านอา ท่านอยากพูดสิ่งใดกับข้า”
“ช่วงนี้พ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เหยาซูรู้เรื่องที่เสี่ยวเวยออกจากจวนแล้ว ถึงกระนั้นแรกเริ่มที่พี่ชายรู้จักกับเสี่ยวเวย นางก็รู้ และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวเวยกับพี่ชายว่าลึกซึ้งเพียงใด แต่เพราะตอนนี้ตัวเองได้ออกเรือนกับหลินเหราแล้ว หากไม่มีเรื่องก็ไม่อาจกลับจวนเหยาได้ ทำได้แค่ถามจากหลานชายของตัวเอง
ใครเลยจะรู้ว่าทุกครั้งที่หลายชายตัวดีผู้นี้เจอตนก็มักจะหลบเลี่ยง นางยังคิดอยู่เลยว่าตัวเองอาจจะน่ากลัวมาก
“ช่วงนี้ท่านพ่อสบายดีขอรับ แต่จะเหม่อลอยเป็นครั้งคราว ข้าคิดว่าเขาคงนึกถึงท่านอาเสี่ยวเวยขอรับ” เหยาเอ้อหลางรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวเวยกับบิดานั้นดีมาก ดังนั้นช่วงนี้เขาจึงมักเป็นห่วงเหยาเฉาอยู่เสมอ
แต่ไหนแต่ไรมาเหยาเฉามักจะดื้อดึงอยู่แล้ว ไฉนเลยจะแสดงด้านอ่อนแอของตัวเองออกมาต่อหน้าผู้อื่น ต่อให้อยู่ต่อหน้าเหยาเอ้อหลางเขาก็ยังแสดงท่าทีไม่ใส่ใจ
มีแค่ยามที่ได้อยู่กับตัวเองเพียงลำพัง จึงจะนึกถึงเสี่ยวเวย ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้างยามอยู่ข้างนอก
“อารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง ยามว่างก็คอยอยู่เป็นเพื่อนพ่อเจ้าด้วย แม้ว่าเขาจะอารมณ์ไม่ดี แต่เขามักดีกับเจ้าเสมอ”
เหยาซูรู้จักนิสัยพี่ชายดี มักทำตัวเข้มแข็งมาตลอด ไฉนเลยจะยอมให้ผู้อื่นเห็นด้านอ่อนแอของตัวเอง ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งเป็นห่วง
“อาเสี่ยวเวยคุยเรื่องพวกนี้กับข้าแล้ว ท่านอาโปรดวางใจ” ครั้นนึกถึงคำพูดก่อนจากกันของเสี่ยวเวย เหยาเอ้อหลางก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ตัวเองที่คิดว่าผู้เป็นพ่อเก่งมาตลอด ไม่มีเรื่องใดทำร้ายเขาได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นท่านอาหรืออาเสี่ยวเวย ดูเหมือนจะเป็นคนละคนกับที่ตัวเองรู้จัก หรือว่าเขาไม่เข้าใจผู้เป็นพ่อมากพอ?
“งั้นก็ดี อีกเรื่องหนึ่ง หลังจากนี้เจ้าห้ามพาซวีจ้าวออกไปดื่มสุราอีก” ครั้นได้ยินคำพูดของเหยาเอ้อหลาง เหยาซูจึงวางใจลง กระทั่งหยิบยกเรื่องวันนี้ขึ้นมาพูดกับเหยาเอ้อหลาง
“ทำไมล่ะ?”
“ซวีจ้าวไม่ใช่คนอื่น เขาเป็นทหารที่ควรอยู่ในค่าย ทหารคือเรื่องใหญ่ จะเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ไม่ได้ เอ้อหลาง ซวีจ้าวมีวินัยในตนเองมาตั้งแต่เด็ก เจ้าคงไม่อยากถูกลงโทษใด ๆ เพราะเขาหรอกนะ?”
“ท่านอา แต่ซวีจ้าวก็เป็นคนทั่วไป เหตุใดเขาถึงไม่มีชีวิตเหมือนกับข้า?”
“เขาและเจ้าแตกต่างกัน เอ้อหลาง เจ้าคือคุณชายรองแห่งตระกูลเหยา มีพ่อเจ้าคอยสนับสนุนเจ้ามาตั้งแต่เกิด แต่ซวีจ้าวต้องอาศัยทักษะการต่อสู้ถีบตัวเองขึ้นมาทีละก้าว เจ้าล้มเหลวก็ยังมีโอกาสเริ่มใหม่ แต่เขาไม่มี เข้าใจหรือไม่?”
คำพูดของเหยาซูฟังดูไม่เกรงใจนัก กระทั่งหยิบยกความเป็นจริงทั้งหมดออกมาพูดต่อหน้าเหยาเอ้อหลางอย่างไม่ปรานี
“อารู้ว่าเจ้ารู้สึกดีกับซวีจ้าวและอยากเป็นเพื่อนกับเขา อาสนับสนุนเจ้าเสมอ แต่เรื่องราวมากมายที่ซวีจ้าวแบกอยู่บนบ่า ล้วนทำให้เขาไม่สามารถทำเรื่องเหล่านั้นได้อย่างอิสระ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“ข้าไม่เข้าใจ!”
“เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดพูดไม่กี่ประโยคก็ฉุนเฉียวแล้ว?”
“ท่านอา ท่านมักเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดก็พูดเพียงครึ่งเดียว ตั้งใจให้ข้าเดาเองใช่หรือไม่?”
อารมณ์ของเหยาเอ้อหลางเดิมทีไม่ดีอยู่แล้ว แต่เพราะเป็นท่านอาจึงพยายามสำรวมกิริยาของตัวเอง แต่ทุกครั้งท่านอาก็มักจะพูดเพียงครึ่งเดียว ทำไมเขาต้องเดาด้วยว่าประโยคต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร?
“ฮูหยิน คุณหนูขอเข้าพบเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างนอกเข้ามารายงาน
“ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ” เหยาซูให้สาวใช้ออกไป จากนั้นก็มองเหยาเอ้อหลางพูดต่อ
“เอาละ อาพูดในสิ่งที่สมควรพูดแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะทำเช่นไรนั้น เจ้าต้องคิดเอง กลับจวนไปคุยกับพ่อเจ้าเถอะ พ่อเจ้าอายุอานามก็ปูนนี้แล้ว คงต้องการให้เจ้าคอยเคียงข้าง”
“ขอรับ งั้นหลานขอตัว ท่านอารักษาสุขภาพด้วย” ครั้นถูกเหยาซูขัดเกลาไม่หนักไม่เบา สุดท้ายเหยาเอ้อหลางก็ทำได้แค่จบเรื่องราวนี้ลงอย่างค้างคา
เหยาเอ้อหลางคิดไม่ออกไปชั่วขณะ เดิมทีเขาตั้งใจจะมาหาสหายแข่งม้า แต่บัดนี้ถูกเหยาซูกระตุ้นเช่นนี้ ม้าแข่งล้วนไม่น่าสนใจทั้งสิ้น
กระทั่งตรงกลับจวนเหยา ถามคนในจวน ทุกคนล้วนบอกว่าเหยาเฉาออกไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับ จึงจำใจต้องกลับห้องตัวเองก่อน
ครั้นนึกถึงทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจของซวีจ้าว แม้ว่าจะเมาแอ๋แต่ก็ยังว่องไวโดยสัญชาตญาณ เขาจะแย่ไปกว่านี้ไม่ได้ จึงหยิบดาบของตัวเองออกมา
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เหยาเอ้อหลางกลับไป เหยาซูก็รีบมายังจวนของเจี่ยงเถิง
หลังจากหลินซือรู้ว่าเจี่ยงเถิงนอนอยู่จวนถัดไป ก็ทำความสะอาดจวนที่ติดกับของเจี่ยงเถิง วันปกติตัวเองจะอยู่กับเจี่ยงเถิง เหนื่อยก็กลับมาพักในจวนที่อยู่ติดกัน คอยเป็นห่วงอาการของเขาตลอดเวลา
เดิมทีเจี่ยงฉีต้องอยู่กับลูกชายตัวเอง แต่เห็นหลินซือเป็นห่วงเช่นนี้ หลังจากรู้ว่าเจี่ยงเถิงไม่ได้อยู่ในขีดอันตราย จึงกล่าวลาเหยาซู และกลับจวนเจี่ยงไป
แต่นางหมั่นมาเยี่ยมเจี่ยงเถิงอยู่บ่อยครั้ง นางเชื่อว่ามีเอ้อเป่าอยู่ข้างกายลูกชายของตน ลูกชายของตนจะต้องฟื้นขึ้นเร็ววันแน่นอน
ดังนั้นเหยาซูจึงมาหาหลินซือ ซึ่งอยู่ในจวนของเจี่ยงเถิง คนในจวนหลินไม่ได้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด…