บทที่ 656 ห้องพิเศษควรมีอยู่หรือไม่
บทที่ 656 ห้องพิเศษควรมีอยู่หรือไม่
“เมื่อฉันเรียนจบแล้วก็คิดว่าจะมาสร้างสรรค์ผลงานที่ร้านก่อนชั่วคราว ต่อไปฉันจะอยู่เฝ้าร้านเอง!” ซูซื่อเลี่ยงกล่าว
“ผมคิดว่าไม่ได้หรอก พี่รองพี่ต้องมีสมาธิจดจ่อในการทำงานศิลปะ ในร้านอาหารเสียงดังวุ่นวายจะสงบจิตสงบใจได้หรือครับ?” ซูเสี่ยวซื่อไม่เห็นด้วย
“ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราจ้างคนดีไหม? ทางปู่ต่งไม่ใช่ว่ารู้จักทหารเก่าที่ปลดประจำการแล้วอยู่หลายคนหรือ” ซูซานกงเปิดปากเสนอขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปู่ต่งไม่สบายใจมาโดยตลอด ที่ชนบทมีทหารอยู่มากหลังปลดประจำการกลับบ้านก็ไม่มีงานทำ
ตอนนี้ห้างร้านหรงฟาก็ว่าจ้างทหารที่ปลดประจำการแล้วหลายคน
ถ้าในร้านอาหารสามารถจ้างทหารที่ปลดประจำการแล้วมาได้ก็จะยิ่งดี
ข้อเสนอนี้ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าพี่ชายน้องชายอย่างที่คาด ช่วงนี้เพราะหลี่หลินหลินกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องงานแต่งทำให้ไม่อยู่ที่ร้านอาหาร
หลังจากเธอได้ยินข่าวก็กลับมาพร้อมกับเหล่าพี่ชายน้องชายตระกูลซู
หลังจากที่รู้ว่าตอนเย็นต้องทำอาหารต้อนรับแขกก็อาสาไปช่วยงานหลังครัวด้วยตัวเอง เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของเหลียงซิ่วไม่สู้ดีเป็นอย่างมากก็ยิ่งอาสาจะรับผิดชอบหน้าที่ในครัวเอง
เหลียงซิ่วนั่งทำกับข้าวอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ก็พบว่าในตอนนี้ตัวเองถูกทำให้ไม่สบอารมณ์เสียแล้ว หัวใจของเธอยังเต้นตึกตักอย่างแรง
“แม่สามอย่าทำงานอยู่ในนี้เลยค่ะ ไปนั่งพักสักหน่อยงานหลังครัวส่งต่อให้หนูรับผิดชอบเองค่ะ” หลี่หลินหลินพูดอย่างเอาใจใส่
“ได้ที่ไหน วันนี้คนเยอะพวกเรารีบหน่อยเถอะ” เหลียงซิ่วพูด
“แต่ว่า…”
“ฉันไม่เป็นไรแค่ร้อนใจแล้วก็โมโห ตอนนี้หัวใจยังเต้นแรงอยู่นิดหน่อย!”
เจอเรื่องเช่นนี้สักครั้งก็แล้วไปเถอะ แต่หากเจออีกสักครั้งหัวใจเธอจะต้องรับไม่ไหวแน่ แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเหลียงซิ่วก็คือคุณย่าซู ตอนนี้คุณย่าซูกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก
“คุณย่าทำไมไม่ขึ้นไปนอนข้างบนสักหน่อยล่ะครับ?” ซูโส่วเวินเห็นสีหน้าคุณย่าซูไม่สู้ดีจึงเกลี้ยกล่อม
เห็นผู้อาวุโสในครอบครัวเจอกับเรื่องสะเทือนใจโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน ซูโส่วเวินก็เสียใจมาก ถึงอย่างไรคุณย่าก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วถึงในวันปกติจะดูมีกำลังวังชา แต่นั่นก็เป็นเพราะมีแรงใจ
“ฉันไม่เป็นไรจะนั่งสบาย ๆ อยู่ตรงนี้แหละ!” คุณย่าซูจะไปนอนได้อย่างไรในเมื่อชายชรายังไม่กลับมา
ตอนที่ตาเฒ่าออกไปก็เจ็บปวดถึงเพียงนั้นไม่รู้ว่ากระดูกหักหรือไม่! เขานั้นมีเมตตากับผู้อื่นมาทั้งชีวิต ไม่เคยถูกเอาเปรียบแบบนี้เกรงว่าคงจะโกรธแทบแย่แล้ว!
“คุณย่าพวกเรากลับมาแล้วค่ะ!”
ตอนที่คุณย่าซูกำลังคิดถึงคุณปู่ซู ก็ได้ยินเสียงของซูเสี่ยวเถียนดังขึ้น
คุณย่าซูรีบลุกขึ้นยืน ก็เห็นซูเสี่ยวเถียนและพวกคุณปู่ซูกลับมาแล้ว
คุณปู่ซูถูกซูเหล่าซานพยุงเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้างแล้ว
“ตาเฒ่า แกเป็นยังไงบ้าง?” คุณย่าซูปรี่เข้าไปต้อนรับ
“ฉันยังไม่เป็นไรตลอดชีวิตก็เคยผ่านเรื่องกระทบกระทั่งมามาก!” คุณปู่ซูยิ้มปลอบ
“ถึงอย่างไรก็อายุมากแล้วต้องระวังสักหน่อย!”
“คุณย่าคะไม่เป็นไรค่ะ หมอบอกว่ากระดูกไม่ได้หักแต่ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้นคุณปู่ก็อายุมากแล้วจึงให้พักผ่อนอีกสักสองสามวันค่ะ”
ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนส่งคุณปู่ซูไปโรงพยาบาลก็ตรวจชีพจรของคุณปู่อย่างเงียบ ๆ ไปแล้ว โดยรวมยืนยันแล้วว่าร่างกายของคุณปู่ซูไม่มีปัญหา
ไปโรงพยาบาลก็เพื่อไปเอกซเรย์จะได้ยิ่งเพิ่มความสบายใจ!
หลังคุณย่าซูได้ยินคำพูดนี้ของซูเสี่ยวเถียนก็นับว่าสบายใจเป็นอย่างมากแล้ว
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปแกก็นอนอยู่ที่บ้าน พวกเด็ก ๆ ไม่มีเรียนพอดีก็ให้มีเด็กสองคนไปคอยดูแกที่บ้านแล้วกัน!”
คุณย่าซูไม่ยอมให้คุณปูคัดค้าน และเปิดปากตัดสินใจออกมาตรง ๆ
ความจริงแล้วคุณปู่ซูไม่อยากอยู่ที่บ้าน แต่เขารู้ว่าแต่ไหนแต่ไรยายเฒ่าพูดคำไหนคำนั้นจึงทำได้เพียงตอบรับไป
ในตอนนี้คุณย่าซูก็นึกถึงทหารฝ่ายธุรการตัวน้อยที่ไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนคุณปู่ซูด้วย
“พ่อหนุ่มนั่นทำไมไม่ได้กลับมากับพวกเธอล่ะ?”
“กลับไปคุยกับคุณปู่รองค่ะบอกว่าคุณปู่รองจะต้องรออยู่แน่!” ซูเสี่ยวเถียนพูด
ก่อนหน้านี้เธอล้วนไม่เคยคิดใช้อำนาจรังแกคน และนี่นับว่าเป็นครั้งแรก
แต่ความรู้สึกนี้ดีเป็นบ้า
วันนี้หากไม่ใช่เพราะคุณปู่รองออกหน้าครอบครัวพวกเขาคงเสียเปรียบแล้ว
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกโศกเศร้าอย่างช่วยไม่ได้!
ผู้อำนวยการหลี่เห็นซูเสี่ยวเถียนทอดถอนใจก็ยิ้มพลางพูด “เสี่ยวเถียนเธอคิดอะไรอยู่หรือ?”
“ผู้อำนวยการหลี่คะ คุณว่าทำไมคุณไปแจ้งความแล้วก็ยังไม่สามารถทำให้คนพวกนั้นมาดูกับตาได้หรือคะ?”
ถึงอย่างไรผู้อำนวยการหลี่ก็เป็นอธิบดีการศึกษา คาดไม่ถึงว่าจะขอให้จัดการไม่ได้นี่มันไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
“เพราะไม่ได้อยู่ในระบบเดียวกันพวกเขาเลยไม่รู้จักฉัน!”
ผู้อำนวยการหลี่ยิ้มพลางกล่าว เขาในฐานะอธิบดีการศึกษา ในระบบการศึกษามีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก แต่ในระบบของตำรวจนับว่าเป็นคนที่ไม่มีตัวตนเลย
“คุณว่าถ้าหนูไม่ได้โทรไปร้องเรียน เรื่องวันนี้สุดท้ายจะเป็นอย่างไรหรือคะ?”
คำถามนี้ซูเสี่ยวเถียนคิดมานานมากแล้วจริง ๆ ไม่เพียงแต่ซูเสี่ยวเถียนแม้แต่ผู้อำนวยการหลี่ก็คิดมานานแล้วเช่นกัน เขานึกถึงหลังจากตัวเองโทรไปแจ้งความไม่สำเร็จ ตอนที่มาถึงหออีหมิงก็เห็นซูเสี่ยวเถียนกำลังอัดอันธพาลพวกนั้นอยู่
สาวน้อยคนนี้มีนิสัยแค้นนี้ต้องชำระจริง ๆ
แต่เด็กเช่นนี้ก็ดีที่สุด
ทว่าวันนี้หากไม่ใช่เพราะรัฐมนตรีต้วนมาด้วยตัวเอง คาดว่าซูเสี่ยวเถียนคงถูกเอาเปรียบไปแล้ว
คนพวกนั้นถูกซูเสี่ยวเถียนตีจนสะบักสะบอม เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กลับมาแก้แค้น
ในเมื่อพวกเขาพัวพันกับสำนักงานตำรวจท้องถิ่นก็ต้องให้สำนักงานตำรวจท้องถิ่นออกหน้าแน่นอนเมื่อถึงเวลานั้นคนที่ถูกจับจะเป็นใครก็ไม่แน่จริง ๆ เมื่อคิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้ผู้อำนวยการหลี่ก็นึกกลัวขึ้นมา
ไม่เพียงแต่ผู้อำนวยการหลี่ที่คิดเท่านั้น ซูเสี่ยวเถียนเองก็คิดเช่นเดียวกัน
เธอตีคนไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองมีอำนาจสนับสนุนเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง ก็เกรงว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องไปดื่มชาที่สถานีตำรวจคงเป็นตัวเอง
ไม่อาจพูดได้ว่าสถานีตำรวจทุกที่จะเป็นแบบนี้ แต่ที่นี่เธอเห็นได้ชัดว่าไม่มีการแบ่งแยกถูกผิดไม่รู้รัฐมนตรีต้วนท่านนั้นจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
“ผู้อำนวยการหลี่คะสถานการณ์แบบนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้หรือคะ?”
ผู้อำนวยการหลี่ถอนหายใจพลางพูด “เปลี่ยนแปลงได้แต่คนพวกนั้นที่เพิ่งเจอเมื่อครู่ทำให้จิตใจคนสับสนแล้ว ฉันเชื่อว่าผ่านไปอีกสองปีจะมีการเปลี่ยนแปลง”
“สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือคะ?” ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้มองโลกในแง่ดีมากนัก
“เสี่ยวเถียนเธอใกล้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เธอคิดว่าตัวเองหลังจากนี้อยากทำอะไรหรือ?”
ตอนที่ผู้อำนวยการหลี่ถามคำถามนี้ออกไป ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รู้ความจริง พวกเด็ก ๆ ตระกูลซูล้วนวางแผนอนาคตของตัวเองไว้แล้ว มีเพียงซูเสี่ยวเถียนคนเดียวที่ยังสับสนกับอนาคตของตัวเอง
เธอถึงขั้นไม่ได้มีแผนที่ชัดเจนว่าอนาคตอยากทำอะไร
เธอส่ายหัว
อะไรนะ? ผู้อำนวยการหลี่ตกตะลึงไปแล้ว!
“ผู้อำนวยการหลี่คะหนูไม่รู้จริง ๆ ว่าต่อไปหนูควรทำอะไร” ซูเสี่ยวเถียนเกาหัวพูดอย่างเขินอาย
ผู้อำนวยการหลี่ตะลึงงัน แต่หลังจากนั้นเขานึกถึงอายุของซูเสี่ยวเถียนในตอนนี้
เด็กสาวคนนี้แม้จะเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วแต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นแค่เด็ก ก็ต้องสับสนกับอนาคตบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่ผู้อำนวยการหลี่รู้สึกว่ากำลังดึงต้นกล้าให้โต*[1] ซึ่งสำหรับเด็กเหล่านี้พูดได้ว่าอาจไม่เหมาะสม
เขาตัดสินใจรายงานปัญหานี้ต่อเบื้องบนทันที การรับสมัครเด็กห้องพิเศษจะต้องรอบคอบเสียยิ่งกว่ารอบคอบแล้ว
[1] ดึงต้นกล้าให้โต หมายถึง ฝืนธรรมชาติ หรือเร่งรีบให้งานบางอย่างสำเร็จเร็วเกินไปอย่างผิดวิธีทำให้เกิดความเสียหาย