บทที่ 657 คุณเคยคิดจะเปลี่ยนงานไหม
บทที่ 657 คุณเคยคิดจะเปลี่ยนงานไหม
ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าอนาคตควรทำอะไร ความจริงเป็นเพราะเนื้อหาการเรียนซับซ้อนเกินไป เธอคาดไม่ถึงว่าผู้อำนวยการหลี่จะอาสาเข้ามาแทนเธอที่อาจเด็กเกินไปเช่นนี้ แต่แม้จะรู้ซูเสี่ยวเถียนก็ยังเห็นด้วย
การมีอยู่ของห้องพิเศษสำหรับเด็กที่อายุน้อยและมีพรสวรรค์ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี พูดอย่างจริงจังคือห้องพิเศษนับว่าเป็นการดึงต้นกล้าให้โต
เด็กอัจฉริยะตั้งแต่เมื่อก่อนก็เป็นสิ่งที่ผู้คนพูดถึงอย่างยินดี ความจริงแล้วมีเด็กไม่น้อยที่มีสติปัญญาสูงมาตั้งแต่เกิด
สำหรับเด็กเหล่านี้การเข้ารับการอบรมล่วงหน้าก่อนก็นับว่ายังมีส่วนดีอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วกล่าวได้ว่า เด็กที่มีสติปัญญาสูงก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความเหนือชั้นในด้านอื่นด้วย
เด็กอัจฉริยะสุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
ให้เด็กคนหนึ่งเข้ามหาวิทยาลัยก่อนกำหนด ก็เท่ากับให้เด็กคนหนึ่งเข้าไปในสังคมขนาดเล็กก่อนกำหนด
ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ฉลาดมีไหวพริบมากเพียงใด ในช่วงอายุนี้ก็ล้วนมีเนื้อหาที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้ เด็กแบบนี้จะได้รับความกดดันจากความสัมพันธ์กับผู้คน ท้ายที่สุดแล้วก็อาจทำให้เกิดปัญหาทางด้านจิตใจได้
เป็นธรรมดาที่ซูเสี่ยวเถียนจะเคยคิดกับตัวเองเรื่องปัญหานี้ แต่ก็ไม่ได้เอาเนื้อหาสาระนี้ไปหารือกับคนอื่น
……
เมื่อมีหลี่หลินหลินทำหน้าที่ในครัวแล้ว อาหารเย็นวันนี้ก็หลากหลายและหรูหรายิ่ง เย็นนี้ร้านปิดพอดีพวกเนื้อและผักจำนวนมากจึงมีพอใช้
แม้ว่ามื้อเย็นจะหลากหลายหรูหราแต่บรรยากาศกลับไม่ค่อยดี แม้แต่ครูอวี่ซึ่งเป็นคนไม่คิดอะไรมากก็ยังรู้สึกสับสนและโมโหกับเรื่องนี้
หลังผ่านมื้ออาหารที่มีบรรยากาศน่าอึดอัดใจไปแล้ว หวังเฉิงหย่งก็เป็นคนแรกที่คิดจะออกไป
“หวังเฉิงหย่งยังไม่ได้ถามเลยว่าคุณทำงานที่ไหน วันนี้คุณกล้าหาญมากพวกเราจะเขียนจดหมายขอบคุณ*[1] ไปให้!” ซูเหล่าซานถาม
หวังเฉิงหย่งลูบหน้าผากพลางพูด “เมื่อก่อนผมเป็นคนหนุ่มที่ได้รับการศึกษาแล้ว แต่หลังจากกลับมาเมืองหลวงก็ไม่ได้หางานทำอย่างจริงจัง ตอนนี้ตั้งแผงขายของเล็ก ๆ อยู่ครับ”
ซูเหล่าซานชะงักในเมื่อสถานการณ์ของอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ การเขียนจดหมายขอบคุณก็ไม่มีความหมาย
“สหายหวัง ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็มาหาพวกเรา หากช่วยได้พวกเราตระกูลซูจะช่วยอย่างไม่ลังเล!”
แม้ตัวเขาเองจะรู้ว่าความจริงหวังเฉิงหย่งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ที่หาได้ยากคือจิตใจเช่นนี้ จิตใจที่เต็มใจช่วยเหลือแข็งแกร่งกว่าจิตใจของคนที่ไม่เต็มใจให้การช่วยเหลือมาก
“ผมกินอิ่มทั้งครอบครัวก็ไม่อดอยาก ผ่านพ้นวันนี้ไปได้ก็พอแล้วครับ!”
หวังเฉิงหย่งผู้นี้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ ยิ่งตอนที่พูดก็ยังรู้สึกได้
“คุณลุงหวังหลังจากนี้ถ้าคุณมากินอาหารที่หออีหมิงพวกเราจะให้ส่วนลดคุณสามสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มพลางพูด
เธอมองออกว่าสถานภาพของหวังเฉิงหย่งไม่ค่อยดีนัก เป็นอย่างที่คาดหลังจากได้ยินคำพูดนี้ ในดวงตาของหวังเฉิงหย่งก็เปล่งประกาย
“นั่นมันเยี่ยมมากเลย ฉันชอบกินข้าวที่ร้านของพวกเธอ เพียงแต่ฉันมีรายได้น้อยทำให้มากินไม่ค่อยได้ เดือนหนึ่งสามารถมาได้สักครั้งสองครั้งก็นับว่าดีแล้ว”
ส่วนลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ทำให้เขาสามารถประหยัดเงินได้มาก วันนี้ที่ถูกตีไม่นับว่าเสียเปล่าแล้ว!
“ถ้าอย่างนั้นคุณเคยคิดจะเปลี่ยนงานไหมคะ?” เมื่อเห็นท่าทางร่าเริงของหวังเฉิงหย่ง ซูเสี่ยวเถียนก็เปิดปากถาม
แม้การค้าโดยการตั้งแผงขายของจะไม่นับว่าดีแต่ก็ไม่ถึงขั้นแย่ แต่หวังเฉิงหย่งกลับลำบากมาก เพียงเท่านั้นก็ชัดเจนแล้วว่าคน ๆ นี้อาจไม่เหมาะกับการค้ามากนัก
“ฉันเคยคิดแต่ว่าตัวโง่เลยไปหาพวกงานดี ๆ ทำไม่ได้!” หวังเฉิงหย่งเป็นคนซื่อตรง ตอนที่พูดคำนี้แม้จะอายอยู่บ้างแต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น
“ครอบครัวพวกเราเปิดฟาร์มอยู่แถวชานเมืองเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ ถ้าคุณไม่รังเกียจสามารถไปลองทำดูได้นะคะ!” ซูเสี่ยวเถียนเปิดปากถาม
คำพูดนี้เป็นการหยั่งเชิง ถึงอย่างไรงานทำฟาร์มก็มีคนจำนวนมากที่ไม่ชอบเพราะทั้งสกปรกทั้งเหนื่อย แต่คาดไม่ถึงว่าหวังเฉิงหย่งจะตอบรับออกมาตรง ๆ
“ถ้าพวกเธอยอมให้โอกาสฉัน ฉันจะไป!”
หวังเฉิงหย่งถึงขั้นไม่ถามแม้แต่ว่าเงินเดือนเท่าไหร่
ซูเสี่ยวเถียนเผลอยิ้มพลางถาม “คุณลุงหวัง คุณจะไม่ถามหรือคะว่าเดือนหนึ่งได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่?”
“ฉันตั้งแผงขายของเล็ก ๆ บางครั้งวันหนึ่งไม่ได้แม้แต่เงินสักหยวน บางครั้งของเสียแล้วก็ยังได้เงินไม่มาก” หวังเฉิงหย่งพูดอย่างจริงใจ
“หนึ่งเดือนหกสิบหยวนแต่ต้องกินอยู่ที่ฟาร์มนะคะหากทำได้พรุ่งนี้คุณก็มาหาพวกเราที่นี่ได้เลยค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพูดตามตรง
หลังหวังเฉิงหย่งได้ยินก็ดีใจกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน หนึ่งเดือนหกสิบหยวนไม่น้อยเลยจริง ๆ กินอยู่ล้วนอยู่ที่ฟาร์มก็ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก
“ได้พรุ่งนี้ฉันจะมานะ!” หวังเฉิงหย่งจากไปอย่างมีความสุข
หลังจากที่หวังเฉิงหย่งออกจากประตูไปแล้วซูเหล่าซานก็ถาม “เสี่ยวเถียนทำไมเธอไม่สอบถามลักษณะนิสัยของคน ๆ นี้ให้ดีก่อนล่ะ?”
งานทำฟาร์มเป็นพื้นฐานของครอบครัวพวกเขา หากมีคนที่ลักษณะนิสัยไม่ดีเข้ามาสร้างปัญหาจะทำอย่างไร?
เจอเรื่องวันนี้เป็นครั้งแรกซูเหล่าซานก็ไม่เชื่อใจคนอื่นแล้วจริง ๆ
“ฉันดูแล้วเจ้าหนุ่มหวังเฉิงหย่งคนนี้ไม่มีปัญหาหรอก สถานการณ์อย่างวันนี้เขายังกลับมาช่วยเลยก็เห็นได้ถึงนิสัยของเขาแล้ว” ฉือเก๋อพูด
ส่วนเรื่องที่ทำได้เพียงถูกพวกอันธพาลตีนั้น ฉือเก๋อรู้สึกว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ประเด็นคือเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นคนใจสู้
ซูเหล่าซานได้ยินฉือเก๋อพูดเช่นนี้ก็พยักหน้า
รับสมัครคนแล้วหากคนมีลักษณะนิสัยไม่ดีหรือเกียจคร้าน ไว้ค่อยไล่ออกทีหลังก็ยังได้
หลังจากนั้นก็เป็นผู้อำนวยการหลี่และครูอวี่ที่จากไป
สุดท้ายคนที่เหลืออยู่ก็พากันออกไป ตอนที่ออกไปซูโส่วเวินก็พูด “เรื่องหาคนต้องเป็นวันหลังแล้ว หลังจากครั้งนี้คงเข็ดไปจนตาย ตอนกลางคืนจะดีที่สุดถ้ามีคนมาคุ้มกันไว้”
ครั้งนี้โชคดีที่เป็นตอนเช้า หากเป็นตอนกลางคืนร้านอาหารคงแย่ ร้านของพวกเขาคงจบสิ้นแล้ว
“โส่วเวินพูดถูก ในร้านอาหารจะดีที่สุดหากมีคนมาคุ้มกัน” ตู้ถงเหอเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
หากไม่มีใจทำร้ายคนก็ย่อมได้ แต่ใจที่ต้องการปกป้องคนไม่ว่าเวลาไหนก็ล้วนต้องมี
พวกเด็กตระกูลซูแยกกันไปส่งคนเฒ่าคนแก่กลับบ้าน ตอนที่แยกกันฉือเก๋อก็พูดกับคุณปู่ซู “พรุ่งนี้มาคุยกับฉันหน่อย”
ตอนนี้ทั้งสามครอบครัวล้วนอยู่ใกล้กันจึงไปมาหาสู่กันง่ายยิ่ง
คุณปู่ซูยิ้มพูด “ได้จะได้ไปคุยเล่นกันพอดี คิดไม่ถึงว่าผ่านมากว่าครึ่งชีวิตแล้วยังจะมีเวลาพักผ่อน”
ตู้ถงเหอยิ้มพูด “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไปคุยเล่นด้วย พวกเราสามคนมาพูดคุยกันหน่อยเถอะ”
ไม่มีคำพูดตลอดทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นประตูหออีหมิงก็ยังไม่เปิด ข่าวเรื่องที่หออีหมิงถูกอันธพาลพังร้านได้แพร่กระจายไปแล้ว
ถึงขั้นมีคนจำนวนมากชะเง้อคอมองหน้าประตูหออีหมิง เพื่อดูว่าวันนี้หออีหมิงจะเปิดได้หรือไม่
ฉากเมื่อวานรุนแรงยิ่ง
ในตอนนั้นมีคนเห็นเป็นจำนวนมาก
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งคืนข่าวนี้ก็ราวกับถูกกระพือ แพร่กระจายไปทุกซอกซอยใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว
ได้ยินว่าหออีหมิงถูกอันธพาลมาทุบทำลายกลางวันแสก ๆ หากพูดว่าไม่ตกใจก็นับว่าโกหกแล้วตอนนี้เป็นสังคมยุคใหม่ไม่ใช่สังคมยุคเก่า พวกอันธพาลกลับกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้
ในตอนนี้ทุกคนล้วนมีอันตราย
[1] จดหมายขอบคุณ หมายถึง จดหมายที่เขียนเพื่อแสดงความขอบคุณโดยจะส่งไปให้หน่วยงาน หรือองค์กรที่คน ๆ นั้นทำงานอยู่