บทที่ 659 เมืองหลวงรวมตัว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 659 เมืองหลวงรวมตัว

บทที่ 659 เมืองหลวงรวมตัว

ต้วนเจียเหลียงแม้จะโมโหแต่ในฐานะผู้นำที่เหมาะสม เขายังต้องพิจารณาตัวเองก่อน เพราะถึงอย่างไรเขาก็สะเพร่าในงานของเขาเอง

เขาจำต้องบอกว่าโชคไม่ดีที่ครั้งนี้คนพวกนี้ไปล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้า เรื่องจึงวุ่นวายใหญ่โตแต่หากเรื่องไม่วุ่นวายใหญ่โตเขาก็คงไม่รู้

หลังจากวันนี้ในการทำงานจะต้องนำไปเป็นบทเรียนว่า ต้องเข้าใจสถานการณ์ของคนรากหญ้าให้ดี

แต่เรื่องนี้เป็นความผิดของสถานีตำรวจ

หลังจากมีสองคนมาแจ้งความแต่กลับล้วนหาเหตุผลมาปัดความรับผิดชอบ ตอนที่เขาเรียกคนในสถานีตำรวจมาสอบถามสถานการณ์ที่ห้องทำงาน ก็ยังพากันหาเหตุผลถึงขั้นพูดโกหกอย่างไม่ลังเล

พูดได้ว่าคนพวกนี้ไม่มีความหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย!

ทั้งยังขาดจิตสำนึกในการเคารพประชาชน

ครั้งนี้หากไม่กำจัดรากเหง้าแห่งปัญหาในภายหลังย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบ

เมื่อข่าวที่มีอันธพาลไปทุบทำลายร้านคนอื่นในเมืองหลวงแพร่กระจายออกไป อีกสองข่าวลือก็เริ่มแพร่กระจายออกไป

หนึ่งคือผู้กำกับ รองผู้กำกับ เจ้าหน้าตำรวจในสถานีตำรวจถูกปลดออกจากตำแหน่ง สองคือเมืองหลวงต้องการดำเนินการกิจกรรมดูแลเป็นพิเศษขึ้น

คนบางคนถึงขั้นไปดูถึงหน้าประตูสถานีตำรวจ เพื่อยืนยันว่าตำรวจทั้งหมดล้วนเป็นหน้าใหม่ในที่สุดจึงเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง

มีคนหยั่งเชิงไปแจ้งความซึ่งคาดไม่ถึงว่าจะได้ผลจริง ๆ

มีเบาะแสจำนวนมากไปแจ้งความอย่างรวดเร็ว ต้วนเจียเหลียงเห็นกองเอกสารข้อมูลการแจ้งความ และบันทึกประจำวันกองหนึ่งในใจก็หนักอึ้ง

แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่คิดว่าเมืองหลวงจะมีปัญหามากมายถึงเพียงนี้

เพียงชั่วพริบตาคนมากมายในเมืองหลวงล้วนได้ยินข่าวนี้ ว่าเรื่องเลวร้ายครั้งนี้มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง

ได้ยินว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังคือคนตระกูลเฉียนในเมืองหลวง

ตระกูลเฉียนไม่ใช่ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงแต่ก็มีอิทธิพลเล็ก ๆ อยู่บ้าง พี่น้องตระกูลเฉียนทั้งหกล้วนถือว่าเป็นคนที่มีฐานะ

เรื่องครั้งนี้ได้ยินว่าเฉียนเหล่าซื่อซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงงานเสื้อผ้าเป็นคนลงมือ

ว่ากันว่าตอนที่เฉียนเหล่าซื่อไปกินข้าวที่ร้านอาหาร คิดว่าบริกรของร้านอาหารบริการแบบขาดตกบกพร่องจึงหาพวกอันธพาลไปทุบตีทำลาย

เมื่อได้ยินข่าวนี้คนในเมืองหลวงก็ตกตะลึง

เพราะคิดว่าการบริการไม่ดีพอถึงกับต้องให้คนไปทำลายร้าน

มันสภาพเลวร้ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

คนตระกูลเฉียนไม่ใช่ข้าราชการใหญ่โตอะไรแต่กลับทำตัวโอหังเกินไปจริง ๆ

มีหลายคนที่เคยไปหออีหมิงบอกว่าบริกรในหออีหมิงมีลักษณะดียิ่ง เทียบได้กับร้านอาหารของรัฐอย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

บริกรของหออีหมิงเป็นแบบนี้ยังรังเกียจว่าไม่ดี แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าดี? ร้านอาหารของรัฐหรือ?

ไม่ใช่เพราะหออีหมิงไม่มีใครสนับสนุนอยู่เบื้องหลังหรือ?

เพียงชั่วพริบตาก็มีคนจำนวนมากช่วยกันเปิดโปงเรื่องผิดกฎหมายทั้งหมดที่พี่น้องทั้งหกคนของตระกูลเฉียนทำก่อนหน้านี้

ไม่เปิดเผยก็ยังไม่รู้แต่เมื่อเปิดเผยแล้วก็น่าตกใจนัก

ช่วงสิบปีมานี้ตระกูลเฉียนทำเรื่องชั่วไปไม่น้อย คนมากมายล้วนถูกคนตระกูลเฉียนฉวยโอกาสกดขี่ ถึงขั้นทั้งร่างกายและจิตใจทั้งสองสิ่งล้วนถูกทำร้ายอย่างหนัก

มีหลายคนที่น่าสงสารอย่างถึงที่สุด เพราะถูกคนตระกูลเฉียนทำเรื่องเลวร้ายจนสุดท้ายยืนหยัดต่อไปไม่ไหวจึงจบชีวิตตัวเองลง

ข่าวเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ต้วนเจียเหลียงที่ได้ยิน ทุกคนในตระกูลซูก็ได้ยินแล้วเช่นกัน

พวกเขาคาดไม่ถึงว่าคนตระกูลเฉียนจะทำเรื่องเลวร้ายมากมายถึงเพียงนี้

ข่าวเรื่องนี้ไปถึงหูของซูเสี่ยวเถียนอย่างรวดเร็ว

ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้มีนิสัยยอมให้ถูกเอาเปรียบ ในเมื่อตระกูลเฉียนมีปัญหามากมายถึงเพียงนี้เช่นนั้นก็ต้องฉวยโอกาสผลักพวกเขาลงไปให้เรียบร้อย

การที่เธอจะหาคนเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ

ตีงูไม่ตายมีความผิดสามส่วนแต่หากปล่อยกลับภูเขามันจะทำร้ายครอบครัวเธอเอง!

เธอซูเสี่ยวเถียนจะไม่ให้คนตระกูลเฉียนมีโอกาสพลิกสถานการณ์เด็ดขาด

ความจริงแล้วซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าคนใหญ่คนโตหลายคนที่เบื้องบนจับตาดูเรื่องนี้อยู่ตลอด ตระกูลเฉียนไม่มีโอกาสได้พลิกสถานการณ์แล้ว

เมื่อต้วนเจียเหลียงจัดการกับเรื่องนี้อย่างสุดกำลัง งานแต่งงานของซูโส่วเวินในที่สุดก็มาถึงแล้ว

หลี่หลินหลินมีเพียงหลี่มู่มู่เป็นญาติเพียงคนเดียว เพราะเหตุนี้จึงยิ่งไม่คิดจะกลับบ้านเกิด

หลี่มู่มู่ก็รีบกลับมาเมืองหลวงตามกำหนดเช่นกัน

เมื่อหลี่มู่มู่กลับมาเมืองหลวงพร้อมกันนั้นหลี่จู้จื่อและภรรยาก็พาลูกทั้งสองคนกลับมาด้วย

ซูเหล่าเอ้อร์และภรรยามาถึงก่อนหลี่จู้จื่อและภรรยาไม่กี่วัน

พวกเขาล้วนปิดร้านเพื่อเดินทางมาเมืองหลวง

ใช้คำพูดของฉีเหลียงอิงที่ว่าเวลาที่ใช้หาเงินยังมีอีกมาก แต่ลูกชายในครอบครัวแต่งงานแค่ครั้งเดียว พวกเขาเป็นผู้ใหญ่จะไม่มาสักครั้งย่อมไม่ได้

คุณย่าซูแม้ปากจะไม่ได้พูดอะไรแต่เมื่อลูกสะใภ้รู้ความและมีมารยาทแบบนี้ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจากที่ฉีเหลียงอิงหยิบเงินสองร้อยหยวนออกมาให้ บอกว่าเป็นสิริมงคลแก่เจ้าสาวใหม่

นี่กลับทำให้คนตกตะลึงยิ่ง

เห็นว่ามุมมองของลูกสะใภ้รองเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้แล้ว

ก่อนหน้านี้ยังคิดกังวลเรื่องนิสัยใจคอของลูกสะใภ้ คาดไม่ถึงว่าตั้งแต่เธอเริ่มเปิดร้านของตัวเองเพื่อหารายได้จะสามารถเปลี่ยนไปได้มากเช่นนี้

ดูท่าก่อนหน้านี้ชีวิตยากลำบากจึงทำให้สะใภ้รองมีมุมมองคับแคบ ในดวงตาจ้องมองสิ่งยิบย่อยกลัวว่าจะเสียเปรียบ

ตอนนี้ลูกชายและลูกสะใภ้สามารถใช้ชีวิตของตัวเองอย่างดีได้แล้ว ไม่โหยหาทรัพย์สินของคนในครอบครัวอีกเธอจึงสามารถวางใจได้

หลังจากนี้หากแต่ละคนในครอบครัวมุ่งมั่นทำงานของตัวเองชีวิตจะยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน!

คนสุดท้ายที่มาถึงเมืองหลวงคือซูหม่านซิ่วและสามีที่พาหนูน้อยเฉินซิ่วหย่วนมาด้วย

ตอนที่พวกเขามาคือก่อนงานแต่งหนึ่งวัน

“คุณแม่หนูได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนร้านของพวกเราเกิดเรื่องหรือคะ?”

ซูหม่านซิ่วหลังจากถามอย่างเรียบง่ายว่าคนในครอบครัวสบายดีไหม หลังจากนั้นก็ถามคำถามนี้ในทันที

“ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกเรื่องมันผ่านไปหมดแล้ว” คุณย่าซูพูด

ไม่ง่ายกว่าจะได้พบลูกสาว คุณย่าซูไม่อยากให้ลูกสาวต้องมากังวลกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ แต่เพราะซูหม่านซิ่วไม่รู้สาเหตุจึงไม่สบายใจ

“แม่ครับเกิดอะไรขึ้น แม่บอกผมเถอะนะครับ แม่ไม่บอกผมก็ไม่อาจวางใจได้นะครับ!”

คุณย่าซูไม่คิดไม่ถึงว่าลูกเขยจะลำบากใจเพราะเรื่องนี้ แต่ในเมื่อซูหม่านซิ่วถาม คุณย่าซูก็ทำได้เพียงพูดออกไป

“เรื่องเป็นแบบนี้!” คุณย่าซูอธิบายเรื่องราวอย่างง่าย ๆ ครู่หนึ่ง “อย่ากังวลเรื่องนี้เลย!”

ตอนนี้ลูกเขยเป็นข้าราชการ คนในบ้านไม่อาจเป็นภาระได้ หากเป็นภาระมากเกินไปไม่แน่อาจเกิดเรื่องได้

“อารองของเธอช่วยไว้แล้ว เรื่องนี้ครอบครัวพวกเราไม่เสียเปรียบหรอก!” คุณย่าซูอดทนพูดกับลูกสาว “หลังจากนี้ในอนาคตลูกก็อย่าสร้างปัญหาให้ทางลูกเขยนะ อย่ารบกวนลูกเขยมากนักด้วย!”

เพราะซูเสี่ยวเถียนได้ยินคุณยายซูพูดแบบนี้จึงยิ้มแล้วพูด “คุณย่าพูดถูกค่ะ คุณป้าตอนนี้ทุกการเคลื่อนไหวมีคนมากมายจับตาดูอยู่นะคะ!”

หลังจากนี้เส้นทางของลุงเขยยังอีกยาวไกล ถึงอย่างไรทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้กลับได้รับฝากฝังหน้าที่สำคัญจะต้องมีอนาคตไกลแน่นอน

แต่เงื่อนไขแรกคือต้องไม่มีคนไปถ่วงแข้งถ่วงขาเด็ดขาด

คนตระกูลเฉินไม่มีญาติแล้ว พวกเขาตระกูลซูก็ใช่ว่าจะตระหนักไม่ได้

เฉินจื่ออันเข้าประตูมาก็ยกนิ้วโป้งให้ซูเสี่ยวเถียนอย่างเห็นด้วย

“เสี่ยวเถียนเธอพูดถูกมากเลย แต่คุณอาของเธอทำได้ดีมาก”

เฉินจื่ออันพูดพลางมองไปยังซูหม่านซิ่วด้วยสายตาอ่อนโยน

ทันใดนั้นซูเสี่ยวเถียนก็กินอาหารสุนัข*[1]คำโต…

คุณป้ากับลุงเขยแต่งงานกันมาหลายปีขนาดนี้ยังไม่เบื่ออีกหรือ? แต่เห็นอาของเธอสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซูเสียวเถียนก็ดีใจกับซูหม่านซิ่วด้วย

ในชีวิตก่อนอาใหญ่เป็นคนอาภัพ แต่ในชีวิตนี้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว

[1] อาหารสุนัข หมายถึง คนที่อวดคนรัก