ตอนที่ 675 ความภักดี

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 675 ความภักดี

“รออีกสักพักเถิด รอดูไปก่อนว่าองค์รัชทายาทจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมจริงหรือไม่ หากองค์รัชทายาททรงผิดคำกล่าว พวกเราค่อยฟ้องก็ยังไม่สาย”

ไป๋ชิงเหยียนแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าตอนนี้ต้องการความสงบสุข ขอเพียงไม่ให้ทหารชายแดนต้องทานเสบียงอาหารที่มีก้อนกรวดปนอยู่อีก นางจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

หากองค์รัชทายาทจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ปล่อยให้พี่ชายของพระชายาเอกทำเรื่องเช่นนี้ต่อไปอีก ถึงแม้จะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง ไป๋ชิงเหยียนก็จะไม่ยอมอยู่เฉยอย่างแน่นอน

ตระกูลไป๋คือตระกูลนักรบที่มีมานับร้อยปี สิ่งที่ตระกูลไป๋ให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือชีวิตของบรรดาทหารร่วมเป็นร่วมตายที่สละชีพเพื่อแผ่นดิน

ไม่ว่าแคว้นๆ หนึ่งจะเน่าเฟะสักเพียงใด ทว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรย่ำยีและทำลายท้องของทหารชายแดนเช่นนี้ นี่คือสามัญสำนึกที่ผู้ปกครองแคว้นควรมี

ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางหมอหงที่กำลังจิบชาอยู่ จากนั้นกล่าวขึ้น “ท่านหมอหงเก็บยาสมุนไพรและตำราต่างๆ เรียบร้อยแล้วหรือไม่เจ้าคะ พวกเราจะเดินทางกลับซั่วหยางในวันที่ยี่สิบห้าแล้วนะเจ้าคะ”

หมอหงกำลังจะย้ายถิ่นฐาน ของอย่างอื่นไม่มากเท่าใด ทว่า เขามีตำราแพทย์และยาสมุนไพรต่างๆ มากมาย

ความจริงยาสมุนไพรเหล่านั้นหาซื้อได้ทุกที่ ทว่า หมอหงชอบเก็บสมุนไพรและนำไปตากแดดด้วยตัวเอง ยังไม่ทันเข้าใกล้เรือนของหมอหงก็ได้กลิ่นสมุนไพรลอยมาแต่ไกลแล้ว

“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องห่วงขอรับ ขอเพียงคุณหนูใหญ่ไม่ทำให้ข้าตกใจบ่อยๆ เช่นนี้ ข้าพร้อมออกเดินทางกลับซั่วหยางพร้อมกับคุณหนูใหญ่วันที่ยี่สิบห้าแน่นอนขอรับ”

ไป๋จิ่นเซ่อยกมือปิดปากหัวเราะ วันนี้ได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่กระอักเลือด นางก็ตกใจมากจริงๆ ท่านหมอหงคงโกรธพี่หญิงใหญ่เช่นเดียวกัน…

เมื่อหมัวมัวข้างกายของพระชายาเอกกลับไปถึงจวนองค์รัชทายาท นางรีบไปขอขมาพระชายาเอกทันที จากนั้นเล่าเรื่องที่ตนเองวางมาดตักเตือนองค์หญิงเจิ้นกั๋วจนไป๋ชิงเหยียนกระอักเลือดให้พระชายาเอกฟังทั้งหมด

พระชายาเอกตกใจจนแทบทำหยกในมือหล่นพื้น ลำคอของนางร้อนผ่าว รีบเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วเป็นเช่นไรบ้าง”

“ทูลพระชายา ตอนบ่าวกลับออกมา จวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วกำลังวุ่นวายกันยกใหญ่เพคะ บ่าวไม่กล้าอยู่ต่อจึงรีบกลับมาก่อนเพคะ” หมัวมัวรีบก้มศีรษะคำนับพระชายาเอก “บ่าวไม่คิดว่าเรื่องจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ บ่าวแค่คิดว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋ววุ่นวายมากเกินไปถึงขนาดกล้าเข้ามายุ่งเรื่องเสบียงอาหารเพคะ!”

“องค์หญิงเจิ้นกั๋วคือคนสำคัญขององค์รัชทายาท เหตุใดเจ้าถึง…” พระชายาเอกยกมือกุมท้องด้วยความร้อนรน

“เพราะเป็นเช่นนี้บ่าวจึงต้องไปตักเตือนนางแทนพระชายาเช่นไรเล่าเพคะ พระชายาลองคิดดูนะเพคะ ไม่ว่าอย่างไรองค์หญิงเจิ้นกั๋วก็คือสตรี นางมีใบหน้างดงามและได้รับความไว้วางพระทัยจากองค์รัชทายาทมากถึงเพียงนี้ หากวันหนึ่ง สมมุติว่าวันหนึ่งองค์หญิงเจิ้นกั๋วอ้างเรื่องในราชสำนักเพื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับองค์รัชทายาทจนพลั้งเกิดสิ่งใดขึ้นมา เมื่อนางได้แต่งเข้ามาในจวนองค์รัชทายาท พระชายาลองคิดดูนะเพคะว่าถึงเวลานั้นพระชายาจะอยู่ในตำแหน่งใดกันเพคะ!”

คิ้วที่ขมวดอยู่ของพระชายาเอกคลายลงในทันที นางมองไปทางหมัวมัวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “องค์รัชทายาทตรัสกับข้าแล้วว่าอยากจับคู่ให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วกับเซียวเซียนเซิง เหตุใดเจ้าถึง…”

“แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่า พระชายาเอกคิดว่าเซียวเซียนเซิงและองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะได้แต่งงานกันหรือเพคะ บ่าวได้ยินว่าหลายวันมานี้เซียวเซียนเซิงไปที่จวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วทุกวัน ทว่า ไม่ได้พบหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋วเลยสักวัน ไม่แน่องค์หญิงเจิ้นกั๋วอาจคิดอยากแทนที่พระชายาก็ได้นะเพคะ” หมัวมัวก้มศีรษะแนบพื้น กล่าวเสียงสะอื้นอย่างจงรักภักดีต่อพระชายาเอกมากจริงๆ

“ไม่มีทาง!” พระชายาเอกหน้าซีดเผือดลงทันที “องค์หญิงเจิ้นกั๋วมีทายาทไม่ได้ องค์รัชทายาทไม่มีทางรับนางเข้ามาในจวนองค์รัชทายาทแน่!”

“บ่าวทราบดีว่าพระชายาทรงคิดเช่นนี้ บ่าวเห็นพระชายามาตั้งแต่เล็ก รู้ดีว่าพระชายาเป็นคนใสซื่อ ทว่า เราต้องระแวงไว้บ้างนะเพคะ พระชายาดูสิเพคะ หลังจากที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วเสียสละช่วยชีวิตองค์รัชทายาทเอาไว้ องค์รัชทายาททรงดีต่อนางมากกว่าแต่ก่อนมาก วันนี้พอเกาอี้จวิ้นจู่จากไป องค์รัชทายาททรงรู้ทั้งรู้ว่าพระชายากำลังตั้งครรภ์ ขาดบ่าวไปไม่ได้ ทว่า องค์รัชทายาทก็ยังให้พระชายาสั่งให้บ่าวไปเยี่ยมองค์หญิงเจิ้นกั๋ว ใช้ตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาทรับประกันกับนางว่าจะควบคุมพี่ชายของพระชายาตัวเองให้ดี ทว่า เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพคะ! พระชายาคือชายาเอกขององค์รัชทายาท เหตุใดต้องก้มหัวให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วด้วยเพคะ”

พระชายาเอกกำหยกในมือแน่น “หมัวมัวไม่ต้องกล่าวแล้ว เรากับองค์รัชทายาทคือสามีภรรยากัน คือคนคนเดียวกัน หากครั้งนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ช่วยชีวิตองค์รัชทายาทไว้ ข้าและเด็กในท้องของข้าก็คงไม่เหลือสิ่งใดแล้ว”

“พระชายาเอก!” หมัวมัวก้มศีรษะแนบพื้นพลางร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

“ต่อไปอย่าได้กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าข้าอีก มิเช่นนั้นหมัวมัวกลับไปอยู่กับท่านแม่ของข้าได้เลย” พระชายาเอกมีท่าทีหนักแน่น เริ่มคิดวิธีแก้ไขเรื่องนี้อยู่ในใจ

ไม่ว่าอย่างไรองค์รัชทายาทก็คือสามีของนาง นางจะปิดบังเรื่องนี้กับองค์รัชทายาทไม่ได้ ต้องหาทางบอกให้เขาทราบก่อน

ยามซวี[1] องค์หญิงใหญ่ ฮูหยินสองและไป๋จิ่นซิ่วที่รีบมายังจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วทันทีที่ได้ข่าวออกไปส่งองค์รัชทายาทที่นอกจวนไป๋

วันนี้หมัวมัวข้างกายของพระชายาเอกทำให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วโมโหจนกระอักเลือด องค์รัชทายาทสั่งให้คนลากนางออกไปโบยยี่สิบที พระชายาเอกไม่ได้ขอร้องแทนหมัวมัว ทว่า กลับขอร้ององค์รัชทายาทว่าจะมาขอโทษไป๋ชิงเหยียนที่จวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วด้วยตัวเอง

พระชายาเอกกล่าวว่าตนคือภรรยาขององค์รัชทายาท ควรเห็นสามีเป็นสำคัญ องค์หญิงเจิ้นกั๋วช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ ชีวิตนี้นางเห็นองค์หญิงเจิ้นกั๋วเป็นดั่งผู้มีพระคุณของนาง อย่าว่าแต่คนรับใช้ของนาง แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่กล้าวางมาดต่อหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋ว

องค์รัชทายาทได้ยินจึงรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย รู้สึกว่าหญิงสาวสมกับเป็นพระชายาเอกของตน เป็นคนที่เข้าใจตนมากที่สุด ไม่เหมือนพระชายารองที่วันๆ เอาแต่กังวลว่าเขาและองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะมีความสัมพันธ์ใดกัน

องค์รัชทายาทยอมรับว่าไป๋ชิงเหยียนหน้าตางดงามมาก ทว่า เขาเคยเห็นไป๋ชิงเหยียนสังหารคน เคยเห็นหญิงสาวในชุดนักรบที่องอาจและสง่างาม มีพลังและบารมีที่น่าเกรงขาม เขาจะเกิดความรู้สึกชื่นชอบหญิงสาวขึ้นได้อย่างไรกัน

องค์รัชทายาทนำของบำรุงมาให้ไป๋ชิงเหยียนถึงจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วด้วยตัวเอง ทว่า ครั้งนี้องค์หญิงใหญ่เป็นคนต้อนรับองค์รัชทายาท ชายหนุ่มไม่ได้พบหน้าไป๋ชิงเหยียน

แสงสุดท้ายของวันหายลับไปจากท้องฟ้า ความมืดค่อยๆ ปกคลุมทั่วทั้งเมืองหลวง

ดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือต้นไม้ ส่องกระทบไปบนเมฆขาวราวกับหิมะที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ดวงดาวค่อยๆ ทอแสงสุกสกาว

ไป๋จิ่นซิ่วประคององค์หญิงใหญ่ยืนอยู่ท่ามกลางโคมไฟหนังแกะสองดวงที่แขวนอยู่หน้าประตูจวน มองส่งรถม้าขององค์รัชทายาทค่อยๆ เคลื่อนขบวนจากไปบนถนนยาวไปยังแสงนวลอบอุ่นเบื้องหน้า

ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงหนาวจับใจ

“ท่านย่าเข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวเสียงเบา

องค์หญิงใหญ่ที่กำไม้เท้าหัวพยัคฆ์อยู่พยักหน้า จากนั้นเดินจับมือของไป๋จิ่นซิ่วหันหลังกลับเข้าไปในจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วที่สว่างไสวจากแสงไฟ

“ท่านแม่ของเจ้าไปเป็นเพื่อนย่าก็พอแล้ว เจ้าไปดูพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเถิด เจ้ามาถึงองค์รัชทายาทก็เสด็จมาพอดี เจ้ายังไม่ทันได้ไปเยี่ยมพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเลย…” องค์หญิงใหญ่กล่าวกับไป๋จิ่นซิ่วยิ้มๆ “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงมากเกินไปนัก พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเป็นนักวางแผน เสี่ยวชีมาบอกย่าหมดแล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริง”

ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้า ตอนที่นางนั่งอยู่ที่จวนฉินแล้วได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่กระอักเลือด นางตกใจจนขาอ่อนแรงไปหมด

[1] ยามซวี ช่วงเวลาระหว่าง 19.00-21.00 นาฬิกา