บทที่ 571 เหล่าเซียนของทั้งสามสำนักมาถึงภูเขาวิญญาณ! (2)
บัดนั้น กวงเฉิงจื่อและนักพรตเต๋าตั๋วเป่ามองหน้ากัน ราวกับว่ามีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังสาดสายแผ่กระจายเปรี้ยงปร้างอยู่เบื้องหลังของพวกเขาทั้งสอง พวกมันล้วนพุ่งตรงเข้าหากันและสลายไปพร้อมๆ กัน…
ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร ศิษย์พี่ทั้งสองคนก็ดูโกรธจริงๆ
แม้ว่าครึ่งหนึ่งของบรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย และสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานจะสับสน แต่ในขณะนี้ พวกเขาก็เอาเครื่องมือเวทของพวกเขาออกไป…
ชักกระบี่ขึ้นเกาทัณฑ์[1] พายุฝนกำลังตั้งเค้า[2]ขึ้นแล้ว!
ที่ด้านข้างของสระสมบัติบนภูเขาวิญญาณ มีนักพรตเต๋าชราหลายสิบคนต่างมองดูด้วยน้ำตาคลอเบ้าและรู้สึกสะเทือนใจ
นักพรตเต๋าหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงมุม ข้างๆ ตี้ทิง กระตุกมุมปากของเขาขณะกลั้นหายใจและสังเกตภาพเหตุการณ์ในกระจกเมฆา
ขณะนั้น เขาแทบจะอดใจรอฟังคำบอกเล่าของตี้ทิงไม่ไหวแล้ว…
ในยอดเขาหยกน้อยแห่งสำนักตู้เซียน หลี่ฉางโซ่วซึ่งสวมเสื้อคลุมหลวมๆ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ในยามนั้น เขาหลับตาลงและเผยรอยยิ้มบางออกมาบนใบหน้าของเขาขณะที่โบกพัดในมือไปมาเบาๆ
หลิงเอ๋อร์ที่กำลังแสร้งทำเป็นนั่งสมาธิอยู่ข้างๆ แอบลอบมองศิษย์พี่ของนาง ทว่านางก็กลับบังเอิญตกหลุมรักรอยยิ้มของเขา
หลี่ฉางโซ่วไม่มีเวลาใส่ใจดูแลศิษย์น้องหญิงของเขา และเขาก็ชื่นชมนางอยู่ในใจ…
ศิษย์พี่ใหญ่ทั้งสองคนนั้นช่างน่าทึ่งมากจริงๆ
ทันทีที่พวกเขากล่าว เขาก็รู้ว่าพวกเขาเป็นนักแสดงที่มากประสบการณ์
พวกเขาเต็มไปด้วยอารมณ์และเข้าถึงบทบาทของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว ทุกสายตาจ้องมองและแม้แต่น้ำเสียงของพวกเขาล้วนได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสมยิ่ง!
หากสิ่งที่พวกเขาพูดจากันนั้น ไม่ใช่บทบาทที่หลี่ฉางโซ่วกำหนดเอาไว้ หลี่ฉางโซ่วก็คงคิดได้ในขณะนี้ว่า ศิษย์พี่ใหญ่ทั้งสองคนนี้กำลังจะต่อสู้กันจริงๆ …
พวกเขาทำได้เยี่ยมยอด ช่างสุดยอดจริงๆ
เขาไม่อาจดูเบาเหล่าปรมาจารย์ของทั้งสามสำนักได้เลย!
นอกจากนี้เขายังเห็นสถานที่ที่บรรดาเซียนของทั้งสองสำนักพบกันในใจกลางดินแดนเทวะมัชฌิมา
นักพรตเต๋าตั๋วเป่าและกวงเฉิงจื่อล้วนเงียบงัน พวกเขาเผชิญหน้ากันสักพักก่อนจะโต้เถียงกันอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่นักพรตเต๋าตั๋วเป่าเท่านั้น แต่เทพธิดาจินหลิง เทพธิดากุ่ยหลิงแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ไท่อี่เจินเหริน และฉื้อจิ้งจื่อแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน ล้วนได้ลงมาทั้งหมด ศิษย์ทั้งหกคนของจอมปราชญ์ต่างกำลัง “โต้วาที” ข้ามกันไปมาอยู่พักหนึ่งโดยแยกอยู่ห่างจากกันนับร้อยลี้
แน่นอนว่า กวงเฉิงจื่อและนักพรตเต๋าตั๋วเป่า กำลังส่งข้อความเสียงเพื่อสั่งพวกเขาว่าควรพูดอะไรและไม่ควรพูดอะไร
หลี่ฉางโซ่วแอบสังเกตพวกเขาอยู่ลับๆ และคาดเดาลักษณะนิสัยของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้
เทพธิดาจินหลิงเป็นคนที่มีเสียงไพเราะและอ่อนหวาน อืม แค่กๆ!
เทพธิดาจินหลิงเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก นางตรงกันข้ามกับเทพธิดาอวิ๋นเซียวที่มีน้ำเสียงอ่อนโยน เทพธิดาจินหลิงนั้น ราวกับมีหนามในปาก ยามเอ่ยปาก นางก็มักพูดจาทิ่มแทงกระแทกแดกดันผู้คน และจะก่อการวิวาทหลังจากพูดไปได้เพียงไม่กี่คำ นางมีอารมณ์รุนแรงเช่นกัน
เทพธิดากุ่ยหลิงเป็นประเภทที่มีความอดทนเป็นเลิศ ส่วนใหญ่นางเน้นการใช้เหตุผลเป็นหลัก นางมีเหตุผลและชัดเจนเสมอ นางเน้นหลักการที่ว่าสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยเป็นผู้ถูกข่มเหง และยังคงต่อสู้กลับอย่างต่อเนื่อง
“นักโต้วาที” แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานก็ไม่ยอมน้อยหน้า[3]
ฉื้อจิ้งจื่อ ซึ่งมักจะติดตามตำรา มีมุมมองหลักคือ ‘เหตุใดคนของสำนักบำเพ็ญเต๋าถึงดูถูกกัน ในเมื่อพวกเขาเป็นครอบครัวใหญ่หนึ่งเดียวกัน?’ เขาจึงมีเหตุผลและสามารถประนีประนอมได้เมื่อจำเป็น
อาจารย์ของนาจา ไท่อี่เจินเหริน ซึ่งเป็นผู้ดำรงอยู่ที่ทรงพลังอำนาจมากในโลกบรรพกาลนั้น ดึงดูดความสนใจของหลี่ฉางโซ่ว
เจินเหรินผู้นี้มีรูปลักษณ์ของชายหนุ่มและระดับฐานพลังสูง นอกจากนี้เขายังให้ความรู้สึกไร้กังวลและเป็นอิสระ เขาสวมเสื้อคลุมผ้าไหมนักพรตที่มีทั้งสีแดงและสีน้ำเงิน ปกคอเสื้อด้านในถูกเลือกมาอย่างดีและค่อนข้างพิถีพิถันเป็นพิเศษ
เขามีทรงผมแปลกแต่น่าทึ่ง ซึ่งมีเส้นผมสลวยสีขาวเงินเหลือไว้สองปอย เสริมเส้นผมที่ปลิวไสวของเขา มันคล้ายกับทรงผมของหวังฟู่กุ้ย[4]มาก… หากกระแทกหัวของเขาก็ไม่เป็นไร
ไท่อี่เจินเหรินไม่พูดมาก ทว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาก็เกือบทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน
“หากไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ ก็อย่าทำ เห็นได้ชัดว่า เขาไปที่เคหาสน์ถ้ำของผู้อื่น และมีผู้อื่นเห็น แต่เขาก็ตำหนิศิษย์พี่หวงหลงของเรา”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและควบคุมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในวิหารเทพทะเลเพื่อให้เขียนตัวอักษรเล็กๆ บรรทัดหนึ่ง
“ไท่อี่เจินเหรินปกป้องผู้คนของเขาอย่างยิ่ง ภาษาหยินหยาง[5]ระดับสี่”
หลี่ฉางโซ่วยังคงแอบสังเกตอย่างลับๆ ต่อไปและก็พบว่า เขาไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งอื่นใด เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ไม่กี่คนเหล่านี้ จับจังหวะการต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว การโต้เถียงยังคงบานปลายและทั้งสองฝ่ายต่างก็เกรี้ยวกราด
ในขณะนั้น บรรดาเซียนเริ่มกระเหี้ยนกระหือรือพร้อมจะเคลื่อนไหว และบางคนก็เริ่มใช้ยันต์หยกเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว
ในวันนี้ การต่อสู้ครั้งใหญ่ภายในสำนักบำเพ็ญเต๋ากำลังจะเริ่มขึ้น! แต่ก่อนที่หลี่ฉางโซ่วจะเตือนเขาว่า ถึงเวลาแล้ว ทันใดนั้นกวงเฉิงจื่อก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมู่เมฆสีขาวบนท้องฟ้าและถอนหายใจ
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น…”
นักพรตเต๋าตั๋วเป่ามีสีหน้าซับซ้อนเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามองไปรอบๆ และทั้งร่างของเขาก็ดูเหมือนจะชราลงมากแล้ว
“พวกเราทุกคนไม่ได้รับการสอนจากเหล่าปรมาจารย์อาวุโสหรือ? เหตุใดในวันนี้พวกเราถึงมาทะเลาะกันไม่มีใครยอมใคร?”
บรรดาเซียนของทั้งสองสำนักต่างก็เงียบงัน
พวกท่านทั้งสองคนเป็นคนทะเลาะกันก่อน!
ในขณะนี้ พลังภายในขับเคลื่อนของทั้งสองที่แต่เดิมปะทะกันในระหว่างสวรรค์และปฐพี ก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลงเงียบๆ
ทันใดนั้นกวงเฉิงจื่อก็มองไปที่นักพรตเต๋าตั๋วเป่าแล้วยิ้มแห้งๆ และกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้าน้ำหนักลดแล้ว”
ตั๋วเป่าก้มศีรษะลงและมองไปที่ทะเลเมฆด้านล่างพลางถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าไปเที่ยวข้างนอกมา แต่กินได้ไม่ดีเท่าในลานเล็กๆ”
“ใช่แล้ว ในเวลานั้น อาจารย์อาของข้าจงใจป้อนอาหารสมบัติเซียนเทียนให้แก่เจ้าเสมอๆ จน อาจารย์ของข้าโกรธมากและเอาแต่เทศนาสั่งสอนข้าด้วยความโกรธ”
“เฮะเฮะเฮะ” นักพรตเต๋าตั๋วเป่ายิ้มขัดเขิน “ย้อนไปในตอนนั้น ข้าได้กินวัสดุล้ำค่ามากมายที่อาจารย์ลุงใหญ่ใช้หลอมสมบัติ ข้าถูกอาจารย์ลุงใหญ่แขวนและทุบตี จนเกือบจะกลายเป็นเนื้อแดดเดียว”
ทันใดนั้นเทพธิดากุ่ยหลิงก็ปิดปากของนางและหัวเราะเบาๆ ทันทีในขณะที่ไท่อี่เจินเหรินที่อยู่ตรงข้ามกับนางก็ถึงกับกลอกตา
ในขณะนั้น บรรดาเซียนกว่าครึ่งหนึ่งจากทั้งสองสำนักยังคงรักษาสติเอาไว้ได้ พวกเขากำลังวิเคราะห์เป้าประสงค์ของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขา
ส่วนอีกครึ่งที่เหลือนั้น พวกเขามีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าและรู้สึกประทับใจกับบทสนทนานี้ในขณะที่คนอื่นๆ รู้สึกสับสน และดูราวกับว่าพวกเขากำลังมีเครื่องหมายคำถามเล็กๆ ขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า เขามีสหายมากมายหรือไม่
ตั๋วเป่าถอนหายใจและกล่าวว่า “ในตอนนั้น หวงหลงนอนในสระทุกวัน เขายังเป็นมังกรที่เฝ้าชมทิวทัศน์ ย้อนไปในตอนนั้น ข้าแหย่เขาทุกวัน และในตอนนี้ ข้าก็ดุด่าเขาไม่ได้สักคำแล้ว”
ประโยคนั้นแก้ไขข้อขัดแย้งที่สำนักบำเพ็ญเต๋าฉานหยิบยกขึ้นมาได้อย่างแยบยล
หวงหลงเจินเหรินฉวยโอกาสนั้นก้าวออกไปข้างหน้าและโค้งคำนับให้นักพรตเต๋าตั๋วเป่าในอากาศพร้อมถอนหายใจยาว
“ศิษย์พี่ตั๋วเป่า เป็นเพราะข้าใจแคบไปเล็กน้อยและยังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ท่านย่อมดุด่าข้าได้เป็นร้อยๆ คำขอรับ”
“ไม่ ไม่ เป็นข้าผิดเอง” นักพรตเต๋าตั๋วเป่าถอนหายใจและคำนับให้หวงหลงเจินเหรินและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าใจร้อนมากเกินไปและออกจะหงุดหงิดไปสักหน่อย ข้าทำให้ศิษย์น้องหวงหลงต้องเจ็บช้ำน้ำใจแล้ว”
“ศิษย์พี่ตั๋วเป่า!”
………………………………………………………………..
[1] สถานการณ์ตึงเครียด
[2] กำลังเกิดปัญหาวุ่นวายขึ้น
[3] ไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนด้อยกว่า ไม่ยอมแพ้ใคร
[4] นามของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งแห่งสำนักตู้เซียน
[5] เสียงหยางคือ เสียงดัง และเสียงพูดเร็ว ส่วนเสียงหยินคือ เสียงเบา และเสียงพูดเนิบช้า