ตอนที่ 573 หลี่ฉางโซ่วไม่แม้แต่จะเผ

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 573 หลี่ฉางโซ่วไม่แม้แต่จะเผยโฉมหน้าของเขา (1)

ในพริบตาเดียว ตี้จั้งก็ฟื้นคืนจากความสับสนวุ่นวาย กลับมาสงบลงอีกครั้ง

หากเขาไม่จัดการมันอย่างเหมาะสม วันนี้ย่อมจะเป็นหนึ่งภัยพิบัติมรณะของเขา!

สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป ในขณะนี้ ตี้จั้งไม่อาจระบุได้อย่างสมบูรณ์ว่า สำนักบำเพ็ญเต๋าตั้งใจจะพุ่งเป้ามาที่เขา “คนที่ไม่รู้จัก” หรือทั้งหมดนี้ มันเพียงบังเอิญเกิดขึ้นในเวลานั้นเท่านั้น…

ตี้จั้งทำได้เพียงเสี่ยงโชคเดิมพันและวางใจว่าอาจารย์ของเขาจะปกป้องเขา

ก่อนหน้านี้เขาได้แอบลอบนำสัตว์ร้ายบรรพกาลไปใช้เอง วันนี้เขามีผลงานในการวางแผนรบในทะเลบูรพาและเพิ่มรากฐานของสำนัก…

ในขณะนี้ นักพรตเต๋าหนุ่มรู้สึกหดหู่ใจยิ่ง

เขาบำเพ็ญเพียรมานานหลายหยวนฮุ่ย[1]แล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคยขึ้นไปถึงด้านหน้าเวที[2] เขาเพิ่งกลับมาจากการเดินทางในตรีสหัสโลกธาตุเมื่อไม่นานมานี้ และกำลังพร้อมจะอวดทักษะความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมของเขา แต่ไม่คาดคิดว่า หลังจากเพิ่งลงมือโจมตีไปเพียงสองครั้ง เขาก็พบกับวิกฤตเช่นนี้!

หรือว่าเขา…อยู่ในสถานะสูงสุดเมื่อเขาเปิดตัวยิ่งใหญ่ครั้งแรกในโลกบรรพกาล?

เขาคิดว่าแผนการรบในทะเลบูรพาครั้งแรก เขาคิดว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการใหญ่ของเขา ไม่คาดคิดว่าในที่สุด มันจะกลายเป็นเพลงหงส์[3]ของแผนกลยุทธ์ของเขาเอง

ตี้จั้งถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วนั่งลงช้าๆ

ตี้ทิงขยับศีรษะขนาดมหึมาของมันและถามผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “นายท่าน ท่านจะไม่ทำอะไรมากกว่านี้อีกหรือ?”

ตี้จั้งได้ส่งข้อความเสียงว่า “เวลานี้ท่านอาจารย์ต้องตระหนกตกใจในเรื่องนี้แล้ว หากข้าทำมากเกินไป ก็อาจทำผิดพลาดได้ บางทีรออยู่เงียบๆ อาจจะดีกว่าแล้วค่อยรอฟังการเตรียมการของท่านอาจารย์ไปด้วย”

ตี้ทิงนอนอยู่ที่นั่นและฟังความคิดที่วุ่นวายในระยะไกล หางที่ยาวและหนาของมันแกว่งไกวเบาๆ ในขณะที่กล่าวออกมาว่า “นายท่าน ข้าเดาว่าคราวนี้ท่านคงหมดหนทางแล้ว อย่าลืมหาบ้านหลังต่อไป[4]ที่ดีให้ข้าด้วย มีศิษย์หญิงสองสามคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าประจิมที่ดูไม่เลว”

ตี้จั้งอดจะคลี่ยิ้มไม่ได้ เขาหลับตาพักผ่อน แล้วรอให้พายุฝนกระหน่ำ[5]ลงมา…

หากพูดถึงเรื่องกระวนกระวายใจเพราะสถานการณ์เลวร้าย ในขณะนี้นักพรตเต๋าชราทั้งหมดบนภูเขาวิญญาณก็ย่อมวิตกกังวลใจมากที่สุดแล้ว

พวกเขาพียงแค่ดูความสนุกตื่นเต้นจากด้านข้างสนาม บนหลักการตามความคิดของ “สำนักบำเพ็ญเต๋าจะมีความสุขมากในสงครามกลางเมือง” และ “สำนักบำเพ็ญเต๋าจะไม่เป็นไรหากไม่มีสงคราม” แล้วไฉนจู่ๆ ถึง…

ถูกครอบไฟแผดเผาทั้งร่าง[6] และเขาก็งงงันไปหมด จนไม่รู้จะทำอย่างไรดี!

ดังที่วิชากระจกเมฆาได้แสดง ทั้งสองสำนัก สำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยได้รวบรวมบรรดาเซียนมากกว่าพันคน ติดตามหลังปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู นักพรตเต๋าตั๋วเป่า และกวงเฉิงจื่อ พวกเขากำลังเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร!

สีหน้าท่าทางของพวกเขาไม่เป็นมิตรและดวงตาของพวกเขาก็ดูดุร้าย

พวกเขาไม่ใช่เซียนจากสำนักเซียนแห่งดินแดนเทวะมัชฌิมา พวกเขาเคยได้ยินจอมปราชญ์แสดงธรรมเทศนาเต๋าและถือกำเนิดในสำนักเต๋าของจอมปราชญ์ มีเหล่าปรมาจารย์จำนวนมากอยู่ภายในนั้น

แม้พวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากจอมปราชญ์ แต่พลังของพวกเขาเหล่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างภูเขาวิญญาณให้หมดสิ้น ราบคาบลงไปเป็นร้อยครั้ง อา ร้อยครั้ง!

“พวกเราควรทำอย่างไร?” นักพรตเต๋าชราคนหนึ่งตื่นตระหนก

“พวกเขาจะทำให้ความบริสุทธิ์ของเราแปดเปื้อนอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร” นักพรตเต๋าชราอีกคนกล่าวอย่างไม่พอใจ

นักพรตเต๋าชราหลังค่อมขมวดคิ้วและถามว่า “ใครเป็นคนวางแผนเรื่องนี้?”

นักพรตเต๋าชราทุกคนล้วนเงียบงัน พวกเขาแต่ละคนเพียงส่ายศีรษะเท่านั้น

ในขณะนั้น มีแสงสีทองสามดวงสว่างวาบ และมีนักพรตเต๋าชราอีกสามคนปรากฏกายขึ้น พวกเขาร่อนลงมาต่อหน้านักพรตเต๋าชราทั้งหมด แล้วแสงสีทองบนร่างกายของพวกเขาก็ค่อยๆ จางหายไปในขณะที่พวกเขายังสวมเสื้อผ้าขี้ริ้วและขาดรุ่งริ่ง

เมื่อพิจารณาจากระดับความเสียหายของเสื้อผ้าแล้ว พวกเขาได้รวมเข้าเป็นศูนย์กลางแห่งพลังอำนาจสำนักบำเพ็ญเต๋าประจิมแล้ว นี่คือผู้ยิ่งใหญ่ระดับสูงอย่างแท้จริงแน่นอน!

อย่างไรเสีย ผ้าบนร่างกายก็ทำได้เพียงปกปิดส่วนสำคัญบางส่วนได้เท่านั้น

ตามที่คาดไว้ กลุ่มนักพรตเต๋าชราที่ข้างสระสมบัติได้เรียกนักพรตเต๋าสามคนนี้ว่าเป็นศิษย์พี่

พวกเขาทั้งสามล้วนเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ที่ปรนนิบัติรับใช้ปรมาจารย์จอมปราชญ์ทั้งสอง และในขณะนั้น พวกเขาทั้งหมดได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆ กัน ย่อมหมายความว่า เป็นสถานการณ์เร่งด่วนในระดับหนึ่งจริงๆ

พวกเขาทั้งสามคนพูดต่อเนื่องตามกันทีละคน และเสียงของพวกเขาก็แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจนักพรตเต๋าชราที่อยู่ในที่นั้น จากนั้นพวกเขาก็เริ่มศาสตร์ดั้งเดิมของสำนักบำเพ็ญประจิม…

โยนหม้อ[7]

แล้วกล่าวเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ

ศิษย์ของภูเขาวิญญาณทุกคนล้วนรู้วิธีการจัดการงานศพ และนักพรตเต๋าชราสองสามคนรีบออกไปพบนักพรตเต๋าวัยกลางคนเพื่อนำไปที่ข้างสระสมบัติ

นักพรตเต๋าวัยกลางคนรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาคิดว่าเขากำลังจะประสบความสำเร็จและได้รับการชื่นชมยกย่องจากอาจารย์ในสำนัก ทว่า จู่ๆ นักพรตเต๋าชราคนหนึ่งก็โจมตีโดยชี้นิ้วไปที่ด้านหลังศีรษะของเต๋าวัยกลางคน

นักพรตเต๋าวัยกลางคนตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่างและทรุดตัวลงไปกับพื้นกะทันหัน

ทันใดนั้นก็มีลำแสงสีทองส่องสว่างวาบขึ้น และคนผู้นั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นยืนทันที สายตาจ้องมองและสีหน้าท่าทางของเขาดูเหมือนกับของนักพรตเต๋าชราที่เพิ่งลงมือโจมตี!

“สะกดวิญญาณ…”

ตี้จั้งพึมพำ “ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ”

สัตว์เทพตี้ทิงก้มหัวลง มันถอนหายใจ และส่งข้อความเสียงมาว่า “นายท่าน หากวันหนึ่งท่านตระหนักได้ว่าท่านไม่อาจต้านทานและทนรับได้อีกต่อไป ท่านก็ควรคืนอิสรภาพให้แก่ข้าเสียแต่เนิ่นๆ และให้ข้าได้เข้าร่วมกับครอบครัวอื่นที่ดี สำนักของท่านไม่ได้ปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ”

ตี้จั้งขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ระวังคำพูดของเจ้าด้วย”

จากนั้นตี้ทิงก็ค่อยๆ หันหัวไปช้าๆ เพื่อฟังเสียงวุ่นวายต่างๆ และ “ความคิดเห็น” ที่กำลังเข้าใกล้ภูเขาวิญญาณต่อไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

ในเวลาเดียวกันนั้น… บนเมฆขาวก้อนใหญ่ที่กำลังพุ่งไปยังภูเขาวิญญาณ บรรดาเซียนของทั้งสามสำนักไม่ได้กำลังบินไปอย่างรวดเร็ว

ประการแรก พวกเขาต้องการรักษารูปแบบของพวกเขา

ประการที่สอง พวกเขาต้องการให้สำนักบำเพ็ญประจิมรู้สึกกดดันมากขึ้น

ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยืนอยู่ด้านหน้าของบรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า แน่นอนว่า เขาย่อมอยู่ภายใต้ความกดดัน

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็คุ้นเคยกับความเกียจคร้าน เขาไม่เคยพาศิษย์น้องชายหญิงจำนวนมากมาสร้างปัญหาด้วยกัน

ในขณะนั้น อำนาจการตัดสินใจของสำนักบำเพ็ญเต๋ามุ่งเน้นไปที่เขา ตั๋วเป่า และกวงเฉิงจื่อ ทุกขั้นตอนต้องได้รับการพิจารณาและวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบ

นับตั้งแต่การผงาดขึ้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์และการล่มสลายของจักรพรรดิปีศาจ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แทบไม่ได้หนักใจอะไรมากนัก และในขณะนั้น กระบวนการคิดของเขาก็ไม่ราบรื่นเช่นกัน

แต่ไม่เป็นไร!

นอกจากนี้ ยังมีมนุษย์เครื่องมือเวทที่นี่ ศิษย์น้องชั้นยอดแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เสนาบดีใหญ่ขององค์เง็กเซียน เหล่าจื้อที่กล่าวว่าดีมากใช่หลังจากใช้งาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าก็ส่งเสียงเกรียวกราวดังลั่นว่า ล้ำเลิศสุดๆ ตั้งแต่นั้นมา ทั้งหมดล้วนเห็นพ้องต้องกัน… แค่กๆ ศิษย์น้องในอนาคต!

หากข้าไม่ใช้ตอนนี้ แล้วจะรอใช้เมื่อใดกันเล่า?

ดังนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จึงหาตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของหวงหลงเจินเหริน แล้วถามว่า “ฉางเกิง เจ้าคิดว่าสำนักบำเพ็ญประจิมจะรับมืออย่างไร?”

หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญคำพูดของเขาและตอบว่า “หากพวกเขาฉลาดกว่านี้ พวกเขาย่อมจะไม่ยอมรับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะไร้เหตุผลหรือไร้ยางอาย ในที่สุดพวกเขาก็จะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบสงบลง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็อดจะฉงนไม่ได้ และถามว่า “นี่น่าจะเป็นความคิดที่ชัดเจนที่สุด แล้วเหตุใดจึงยังถือว่าฉลาดอยู่?”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและอธิบายว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมักถามศิษย์ด้วยคำถามยากๆ เช่นนี้เสมอ วิธีนี้ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้ว เป็นสัญญาณว่า มันกำลังต้านทานแรงกดดันของสำนักบำเพ็ญเต๋า

ผลลัพธ์ที่ได้จากการหยั่งรู้นั้นไม่ใช่หลักฐานที่แท้จริง พอเรื่องยุ่งวุ่นวาย มันก็จะทำให้สับสน เข้าใจผิดได้ง่าย และในท้ายที่สุด มันก็เป็นเพียงข่าวลือ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงของสำนักบำเพ็ญประจิมก็จะไม่มัวหมอง และสำนักบำเพ็ญประจิมก็จะรวมเป็นหนึ่งเพราะเรื่องนี้ขอรับ”

“หือ?”

………………………………………………………………..

[1] ตามกฎของเต๋าสวรรค์ หนึ่งหยวนฮุ่ยมีอายุหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยปี

[2] ไม่โดดเด่น ไม่ถึงขั้นเป็นเอกอุ เป็นยอดฝีมือแถวหน้า

[3] ผลงานชิ้นยอดเยี่ยมที่สุด

[4] ที่พึ่งพาใหม่

[5] ปัญหาวุ่นวาย อันตรายร้ายแรง

[6] เผชิญปัญหา

[7] โยนความรับผิดชอบ โยนบาปให้คนอื่น