ตอนที่ 1385 หน้ากาก ตอนที่ 1386 ออกจากการเก็บตัว

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1385 หน้ากาก / ตอนที่ 1386 ออกจากการเก็บตัว
ตอนที่ 1385 หน้ากาก

“ฮึก…” เสี่ยวเจว๋น้ำตาคลอ

แต่เฟยเยียนมีภูมิคุ้มกันต่อการแสดงแบบนี้แล้ว จิตวิญญาณของเด็กน้อยได้รับการฟื้นฟูจากของวิเศษทีละนิด ช่วงนี้สติของเขาชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าจะยังฟื้นฟูกลับมาได้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีการรับรู้ประมาณเด็กอายุห้าหกขวบแล้ว แต่ถึงจิตวิญญาณของเขาจะฟื้นฟูกลับมาในระดับหนึ่งแล้ว นิสัยตะกละของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด!

นับตั้งแต่เสี่ยวเจว๋ได้เห็นหนูนรกคายสมบัติออกมามากมายไม่สิ้นสุด ดวงตาของเขาเวลามองหนูนรกก็แปลกไป เมื่อไม่นานมานี้ เยี่ยเจี๋ยที่เปลี่ยนร่างจากเยี่ยกู ก็พบว่าหนูนรกของนางหายตัวไป เด็กหญิงที่แสดงออกไม่เก่งก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที

สุดท้าย หนูนรกก็ถูกดึงออกมาจากปากของเสี่ยวเจว๋โดยจวินอู๋เสีย

ตอนที่หนูนรกถูกดึงออกมา เจ้าตัวเล็กที่น่าสงสารหมดสติไปแล้วด้วยความหวาดกลัว

แม้ว่าหลังจากนั้นจวินอู๋เสียจะสั่งสอนเสี่ยวเจว๋อย่างเข้มงวดแล้ว แต่เสี่ยวเจว๋ก็ยังมองหนูนรกด้วยแววตาแปลกๆ เหมือนเดิม

แววตาที่บอกอย่างโจ่งแจ้งอยู่ตลอดเวลาว่า “เจ้าดูน่าอร่อยมาก” แทบจะทำให้หนูนรกที่น่าสงสารเป็นบ้าไปแล้ว

“เก็บน้ำตาไปเสีย มันไม่ได้ผลกับข้าหรอก” เฟยเยียนดุ

เสี่ยวเจว๋ทำปากยื่นหน้าเศร้า

เยี่ยเจี๋ยได้ยินเสียงของเฟยเยียนจากในห้องโถงและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นิสัยของนางแตกต่างจากเยี่ยกูที่ขี้หงุดหงิดอย่างมาก เยี่ยเจี๋ยเป็นคนเก็บตัวมาก นางพูดมากกับจวินอู๋เสียตอนที่จวินอู๋เสียย้ายวิญญาณของนางไปอยู่ในร่างเจ้าแมวดำเท่านั้น เพราะนางเห็นจวินอู๋เสียเป็นร่างวิญญาณ คนจากเผ่าวิญญาณมีความใกล้ชิดกับวิญญาณมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ทำให้ง่ายต่อการสื่อสารกับพวกเขา

แต่ถ้าให้เยี่ยเจี๋ยพูดกับคนละก็ สามวันคงได้แค่คำเดียว

เฟยเยียนส่งสายตาขอโทษให้เยี่ยเจี๋ย แล้วลากเสี่ยวเจว๋ออกไป

มันค่อนข้างแปลกทีเดียว ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ เยี่ยกูที่เป็นผู้พิทักษ์สุสานต่อต้านพวกเขาแค่ครั้งเดียวในตอนแรกเท่านั้น จากนั้นก็กลายมาเป็นพวกเดียวกับพวกเขาเสียอย่างนั้น บางครั้งที่เขาปรากฏตัวออกมา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสนิทสนมกับเยี่ยซาและเยี่ยเม่ยมาก

ทุกคนก็ดูเหมือนจะยอมรับเยี่ยกูกับเยี่ยเจี๋ยเข้าเป็นพวกเดียวกันอย่างไม่มีเงื่อนไข

เหตุผลก็ไม่มีอะไรนอกจากชื่อสกุลของพวกเขาคือเยี่ย

คนของกองทัพราตรีทั้งหมดใช้ชื่อสกุลว่า ‘เยี่ย’ ในใจของผู้เยาว์ทุกคนที่นั่นเริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างได้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้

“เสี่ยวเยียน เจ้าโง่เฉียวกลับมาแล้ว น้องเสียให้ข้ามาบอกพวกเจ้าให้ไปที่นั่น” ฟ่านจัวพูดยิ้มๆ ขณะเดินเข้ามา เขาตะโกนพูดกับเฟยเยียนมาแต่ไกล

ในห้องโถงหลักของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ ของวิเศษที่เคยมีอยู่เต็ม บัดนี้ลดจำนวนลงไปเล็กน้อย แม้ว่าจำนวนที่ลดลงไปนั้นยากจะสังเกตเห็น แต่ถ้าดูให้ดีๆ แล้ว จะสามารถมองเห็นชั้นวางโครงกระดูกที่ว่างเปล่าอยู่ในนั้นสองสามชั้น

ภายในห้องโถงที่กว้างขวางนั้น ร่างเล็กๆ ยืนอยู่ข้างชั้นวางโครงกระดูกสีขาว นั่นเป็นร่างที่งดงามของหญิงสาว แม้ว่าจะถูกปกปิดไว้ภายใต้เสื้อผ้า แต่ก็ไม่สามารถซ่อนส่วนโค้งส่วนเว้าที่หญิงสาวพึงมีได้

บนใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นมีหน้ากากสีเงินอยู่ ทั้งสองด้านของหน้ากากแกะสลักอักษรรูนที่เป็นสัญลักษณ์ของพลังชีวิตเอาไว้อย่างประณีต

“น้องเสีย! เรากลับมาแล้ว!” ร่างหนึ่งที่กระตือรือร้นมากเข้ามาในห้องโถงใหญ่

หญิงสาวที่ยืนอยู่ในห้องโถงค่อยๆ ถอดหน้ากากออก ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นงดงามจนทำให้คนที่มองถึงกับลืมหายใจ หน้ากากที่หญิงสาวคนนั้นถอดออกกลายเป็นแสงอยู่ในมือนางและค่อยๆ หดเล็กลงเปลี่ยนเป็นต่างหู จากนั้นหญิงสาวก็ใส่มันไว้ที่หูของนาง

ต่างหูเล็กๆ อันนั้น หรือพูดให้ถูกต้องก็คือหน้ากากที่เรียกว่า ‘หน้ากากภูติพฤกษา’

ตอนที่ 1386 ออกจากการเก็บตัว

มันเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดของวิเศษที่ถูกฝังลงในสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ จวินอู๋เย่าใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ในการเลือกกว่าจะเจอของวิเศษแบบถาวรชิ้นนี้ซึ่งเหมาะสมกับจวินอู๋เสียมากที่สุด

จวินอู๋เสียที่สวมต่างหูนี้ เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนแล้ว ร่างของนางสูงขึ้นเพรียวขึ้น ใบหน้างดงามมากขึ้น นางยืนเอามือห้อยลงข้างตัวขณะหันไปมองเฉียวฉู่กับฮวาเหยาที่กลับมา ดูงดงามราวกับภาพวาด

ในเวลาหนึ่งปี ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนฟ้าดินขึ้นกับพวกผู้เยาว์กลุ่มนี้ และนี่ก็เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น

“ฮ่าๆ คราวนี้มีร้อยกว่าคนแน่ะ ทุกคนถูกข้ากับพี่ฮวากำจัดในทันที! ความรู้สึกแบบนี้มันสุดยอดเกินบรรยายเลย!” เฉียวฉู่พูดด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว

ย้อนกลับไปในช่วงแรกที่พวกเขาถูกสิบสองตำหนักตามล่า ต้องซ่อนตัวและอยู่อย่างยาจก มีความแค้นฝังลึก แต่ไม่สามารถล้างแค้นให้บิดามารดาและตระกูลได้ ตอนนี้พวกเขามีพลังที่ใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตแล้ว! ความรู้สึกที่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้นั้น ทำให้พวกเขาดีอกดีใจมากจนต้องโห่ร้องออกมา

จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้สนใจความตื่นเต้นของเฉียวฉู่มากนัก

พวกเขาฝึกฝนกันหนักมากตลอดปีที่ผ่านมา ฝึกกันจนไม่ได้หลับได้นอน ครึ่งปีที่กินกันแต่น้ำค้างและผลไม้ ก็เพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ

ฮวาเหยามองเฉียวฉู่ที่ตื่นเต้นอย่างมากด้วยสายตาจนปัญญา

ไม่นาน เฟยเยียน ฟ่านจัว และหรงรั่วก็วิ่งเข้ามาเช่นกัน พวกผู้เยาว์ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

“หยุดเลย! ข้าไม่อยากฟังเจ้าพล่าม!” เฟยเยียนพูดขึ้นทันทีที่เห็นเฉียวฉู่กำลังจะเปิดปากและกระโดดด้วยความตื่นเต้น บอกอย่างเด็ดขาดเลยว่าเขาไม่อยากฟังเฉียวฉู่โม้

เฉียวฉู่ทำปากคว่ำ

ฮวาเหยาก้าวออกมาและพูดว่า “ออกไปข้างนอกครั้งนี้ สิบสองตำหนักได้เพิ่มจำนวนคนที่ส่งลงมาข้างล่างเยอะมาก และทุกคนก็มาจากสามโลกชั้นกลาง นั่นค่อนข้างแปลกอยู่นะ”

สิบสองตำหนักรู้ถึงอันตรายที่ผาสุดขอบฟ้า เพื่อรักษาพลังอำนาจของพวกเขาไว้ พวกเขาจึงมักจะใช้เบี้ยในสามโลกเบื้องล่างให้มาเสี่ยงตายแทน แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะเปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่พวกเขาออกจากการเก็บตัวฝึกพลัง และรับหน้าที่แทนเยี่ยซากับเยี่ยเม่ย พวกเขาก็ค้นพบว่าไม่มีคนจากสามโลกเบื้องล่างมาที่ผาสุดขอบฟ้าอีกเลย ในกลุ่มคนที่พวกเขาโจมตี ทั้งหมดเป็นคนจากสามโลกชั้นกลาง และจำนวนคนก็เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เจอ

“สิบสองตำหนักไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสามโลกเบื้องล่างแค่วันสองวัน ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนวิธีแบบไม่มีเหตุผลอย่างนี้ ข้าไม่คิดว่าพวกนั้นจะเกิดรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมา ไปถามพวกพี่เยี่ยซาเรื่องนี้ พวกเขาก็บอกว่าพวกเขาไม่เห็นคนจากสามโลกเบื้องล่างมาที่ผาสุดขอบฟ้าตั้งแต่เมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว” ฮวาเหยาพูดอย่างระมัดระวังเล็กน้อย

ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาเก็บตัวฝึกพลังและตัดขาดจากโลกภายนอก พื้นที่เคลื่อนไหวของพวกเขาในตอนนี้มีแค่ที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้าเท่านั้น

ตั้งแต่สิบสองตำหนักค้นพบว่าสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิอยู่ที่ไหน พวกเขาก็เริ่มกระจายข่าวเกี่ยวกับผาสุดขอบฟ้าในสามโลกเบื้องล่าง แต่ละตำหนักต่างใช้กลุ่มอำนาจในสามโลกเบื้องล่างเป็นเบี้ย ถ้าพวกเขายังไม่ได้ตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอนของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ สิบสองตำหนักก็จะไม่เสียสละคนของตัวเอง และทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาลดลง โดยไม่ใช้ประโยชน์จากลูกแกะบูชายัญของพวกเขาในสามโลกเบื้องล่างแบบนี้หรอก

จวินอู๋เสียหรี่ตาลง นางตระหนักถึงสิ่งที่ฮวาเหยาพูดถึงอยู่แล้ว ถึงได้บอกให้ฮวาเหยาคอยดูเรื่องนี้ในการออกล่าครั้งนี้

“ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในสามโลกเบื้องล่างหรือสามโลกชั้นกลาง ถึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้” จวินอู๋เสียก้มหน้าคิด ดวงตาส่องประกายเย็นชา

“พวกเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” นางถามขึ้น

พวกของเฉียวฉู่มองหน้ากัน เข้าใจแทบจะทันทีว่าจวินอู๋เสียพูดถึงอะไร พวกเขารีบตอบด้วยรอยยิ้ม

“ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว! เราทุกคนพร้อมลงมือทุกที่ทุกเวลา!

สายตาของจวินอู๋เสียย้ายจากพวกสหายไปที่จวินอู๋เยาว์ ซึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้ และตอนนี้ก็ยืนอยู่ตรงประตู มุมปากของนางยกยิ้มบางๆ ขณะที่นางพูดอย่างเด็ดขาดว่า

“ถึงเวลาที่เราควรจะกลับไปแล้ว”