ตอนที่ 685 อยู่ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 685 อยู่ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง

เฉวียนอวี๋ได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวเช่นนี้จึงรีบปฏิเสธว่าไม่กล้า

ไป๋ชิงเหยียนยิ้มให้เฉวียนอวี๋น้อยๆ “เฉวียนอวี๋กงกง ลาก่อน…”

เฉวียนอวี๋รีบทำความเคารพ “องค์หญิงเจิ้นกั๋วรักษาสุขภาพด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า ปล่อยม่านลง จากนั้นเอนกายพิงรถม้าตามเดิม

เฉวียนอวี๋ได้ยินเสียงไอของไป๋ชิงเหยียนดังมาจากด้านในรถม้าจึงรู้สึกเป็นห่วงมาก เขาถอยหลังหลีกทางให้รถม้า มองส่งขบวนรถม้าของไป๋ชิงเหยียนจากไป มุมปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ องค์หญิงเจิ้นกั๋วขอบคุณเขาอย่างจริงใจเช่นนี้ เฉวียนอวี๋รู้สึกมีความสุขมาก

เมื่อได้สติเขาจึงตระหนักได้ว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ได้พาองครักษ์ของจวนองค์รัชทายาทกลับไปซั่วหยางด้วย เฉวียนอวี๋ตั้งใจจะกลับไปทูลองค์รัชทายาทถึงความจงรักภักดีขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว องค์หญิงเจิ้นกั๋วคิดเพื่อองค์รัชทายาทอยู่ตลอดเวลา ทว่า ฟางเหล่าเอาแต่หาเรื่ององค์หญิงเจิ้นกั๋ว ยุแยงให้องค์รัชทายาทและองค์หญิงเจิ้นกั๋วบาดหมางกัน

เฉวียนอวี๋กำหมัดแน่นมองส่งไป๋ชิงเหยียนจากไปอยู่ที่เดิม เมื่อมองไม่เห็นขบวนรถม้าของหญิงสาวแล้ว เขาจึงกลับขึ้นไปบนรถม้า

เมื่อกลับถึงจวนองค์รัชทายาท เฉวียนอวี๋รีบไปรายงานความจงรักภักดีของไป๋ชิงเหยียนให้องค์รัชทายาทรับรู้ กล่าวว่าไป๋ชิงเหยียนบอกว่าความปลอดภัยขององค์รัชทายาทสำคัญที่สุด หญิงสาวจึงไม่ได้พาองครักษ์จวนองค์รัชทายาทไปด้วยสักคน ให้เขาพากลับมาคุ้มครองความปลอดภัยขององค์รัชทายาททั้งหมด

เมื่อองค์รัชทายาทได้ฟังจึงพยักหน้าทันที “องค์หญิงเจิ้นกั๋วคิดเพื่อเราตลอดเวลาจริงๆ ครั้งนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้รับบาดเจ็บหนักเพราะเรา เฉวียนอวี๋ เจ้าจงไปเปิดคลังเก็บของของเรา คัดเลือกอัญมณีหายากและของบำรุงส่งไปให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วที่ซั่วหยางด้วย ส่งของดีอย่างอุ้งเท้าหมี เนื้อบริเวณใบหน้าของกวางและของล้ำค่าบำรุงร่างกายอื่นๆ ไปให้นางที่ซั่วหยางทั้งหมด ให้คนที่ซั่วหยางรับรู้ว่าเบื้องหลังขององค์หญิงเจิ้นกั๋วคือเรา พวกเขาจะได้ปฏิบัติต่อองค์หญิงเจิ้นกั๋วอย่างนอบน้อม!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” เฉวียนอวี๋รู้ดีว่าองค์รัชทายาทกำลังหนุนหลังไป๋ชิงเหยียน เขาจึงรับคำอย่างยินดี “องค์ชายไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะจัดการให้เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ”

วันที่ยี่สิบเจ็ด เดือนสิบ ขบวนรถม้าขององค์หญิงเจิ้นกั๋วเดินทางไปถึงภูเขาคงต้ง ขณะหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยม เสิ่นชิงจู๋ก็มาถึงพอดี

นอกจากเสิ่นชิงจู๋จะกลับมาแล้ว หญิงสาวยังนำข่าวของจี้ถิงอวี๋กลับมาด้วย

เสิ่นชิงจู๋ในชุดมอมแมมเห็นธงสัญลักษณ์ขององค์หญิงเจิ้นกั๋วมาแต่ไกล หญิงสาวรีบขี่ม้าเร็วไปยังที่โรงเตี๊ยม ม้ายังไม่ทันหยุดสนิท หญิงสาวก็กระโจนลงมาจากหลังม้าเสียก่อน เสิ่นชิงจู๋มองเห็นหลูผิงที่กำลังจัดระเบียบองครักษ์ไป๋อยู่ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมจึงกล่าวทักทาย “ลุงผิง!”

“แม่นางเสิ่น!” หลูผิงส่งยิ้มให้ “คราวนี้คุณหนูใหญ่พาอิ๋นซวงกลับมาด้วย ท่านไม่ได้พบอิ๋นซวงนานแล้วนี่ขอรับ”

เสิ่นชิงจู๋ส่งเชือกม้าให้องครักษ์ไป๋ เมื่อนึกถึงอิ๋นซวง ใบหน้าของหญิงสาวมีรอยยิ้มขึ้นมาทันที รีบพยักหน้า “เดี๋ยวข้าค่อยไปหานางทีหลัง ตอนนี้คุณหนูใหญ่อยู่ที่ใด”

“รับประทานอาหารอยู่บนชั้นสองขอรับ…” เสิ่นชิงจู๋กำหมัดคารวะหลูผิง จากนั้นวิ่งขึ้นไปด้านบน

“ข้าไปพบคุณหนูใหญ่ก่อน”

เสิ่นชิงจู๋ขึ้นไปถึงด้านบนก็เห็นชุนเถาถือยาออกมาจากห้องพอดี เสิ่นชิงจู๋เอ่ยเรียกชุนเถา ชุนเถารีบทำความเคารพด้วยความดีใจ “แม่นางเสิ่น!”

เสิ่นชิงจู๋ขมวดคิ้วมองดูถ้วยยาบนถาดอาหารสี่เหลี่ยมสีดำในมือของชุนเถา “นี่คือ…”

ชุนเถาตาแดงก่ำ กล่าวเสียงเบาหวิว “คุณหนูใหญ่ได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ”

สิ้นเสียงของชุนเถา ไป๋จิ่นจื้อเปิดประตูออกมาพอดี “พี่ชิงจู๋!”

“คุณหนูสี่!” เสิ่นชิงจู๋กำหมัดคารวะ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยถามอาการบาดเจ็บของไป๋ชิงเหยียนก็ได้ยินเสียงของไป๋ชิงเหยียนดังมาจากด้านในเสียก่อน

“ให้ชิงจู๋เข้ามาได้ ชุนเถาไปนำชามมาเพิ่มด้วย”

เสิ่นชิงจู๋เดินไปด้านในพร้อมไป๋จิ่นจื้อ นางเห็นไป๋ชิงเหยียนวางถ้วยชาในมือลง จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก ผิวที่เคยขาวเนียนบัดนี้ดูอ่อนแอและขาวซีดยิ่งกว่าเดิม ร่างผอมซูบลงกว่าครึ่งทำให้ใบหน้าของหญิงสาวดูคมคายยิ่งกว่าเดิม

เมื่อเห็นหน้าเสิ่นชิงจู๋ซึ่งเป็นคนเงียบขรึม ไป๋ชิงเหยียนจึงส่งสัญญาณให้เสิ่นชิงจู๋นั่งลง “ยังไม่ได้ทานข้าวใช่หรือไม่ ทานด้วยกันเถิด พักผ่อนสักครู่หนึ่ง พวกเราก็จะเดินทางต่อแล้ว”

เสิ่นชิงจู๋พยักหน้า จากนั้นนั่งลงทานข้าวบนโต๊ะกลมพร้อมกับไป๋จิ่นจื้อ สายตามองไปทางไป๋ชิงเหยียนอย่างอดไม่ได้

“ครั้งนี้ไม่เป็นอันใดมาก ข้าวางแผนจัดฉากให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเพื่อลดความหวาดระแวงของฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเอง ข้าจะได้กลับมาซั่วหยางได้อย่างราบรื่น!” ไป๋ชิงเหยียนมองดูเสิ่นชิงจู๋ที่ดูคล้ำขึ้นกว่าเมื่อก่อน จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “เพิ่งเคยเห็นเจ้าผิวคล้ำลงเช่นนี้”

เมื่อเห็นอาการของไป๋ชิงเหยียนไม่ได้แย่อย่างที่คิด เสิ่นชิงจู๋จึงไม่ได้ถามเซ้าซี้ต่อ นางกล่าวกับไป๋ชิงเหยียน “บัดนี้ทหารใหม่ที่ฝึกอยู่ที่ภูเขาหนิวเจี่ยวค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ข้าแบ่งพวกเขาออกเป็นกลุ่มย่อมตามความถนัดและสิ่งที่ต้องได้รับการฝึกฝนต่อตามแผนเดิมที่เคยใช้ฝึกองครักษ์ของคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ทหารใหม่ที่หลูผิงไปแย่งมาก็เริ่มใช้งานได้แล้วเจ้าค่ะ ทว่า เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตามากเกินไป ข้าจึงพามาแค่กลุ่มเดียว ส่วนใหญ่ที่เหลือยังซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหนิวเจี่ยว ทว่า ข้าคิดว่าให้ทหารที่เหลืออยู่ฝึกฝนตามรูปแบบการฝึกทหารปกติก็พอเจ้าค่ะ ไม่จำเป็นต้องฝึกพิเศษเช่นนี้ทุกคน มันเปลืองแรงและเวลาเกินไปเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนถาม “จี้ถิงอวี๋มีความเห็นเช่นไรบ้าง”

จี้ถิงอวี๋เป็นคนดูแลทหารเหล่านั้น ไป๋ชิงเหยียนต้องเคารพความคิดเห็นของจี้ถิงอวี๋เป็นหลัก

“จี้ถิงอวี๋ก็คิดเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ ทว่า สุดท้ายแล้วก็ต้องให้คุณหนูใหญ่เป็นคนตัดสินใจเจ้าค่ะ” เสิ่นชิงจู๋กล่าว

ชุนเถานำตะเกียบและชามมาเพิ่มให้เสิ่นชิงจู๋ จากนั้นออกไปยืนเฝ้าหน้าประตู ไม่ให้ผู้ใดเข้ามาใกล้

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าพลางกล่าวขึ้น “ข้ามอบทหารให้เขาดูแลแล้ว ดังนั้นเขาเป็นคนตัดสินใจได้เลย”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้จี้ถิงอวี๋อยู่ที่ใด” ไป๋ชิงเหยียนคีบขาหมูนึ่งมะนาวใส่ชามของเสิ่นชิงจู๋

“ตอนที่จี้ถิงอวี๋จากไป เขานำนกพิราบที่เลี้ยงไว้ในกรงบนภูเขาหนิวเจี่ยวไปด้วยเจ้าค่ะ เขาส่งจดหมายมาให้ข้า ข้าจึงส่งคนไปบอกผู้ดูแลแล้ว ผู้ดูแลหลิวสั่งให้คนรีบส่งเสบียงไปยังสามทิศทางที่ได้รับรายงานเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เสิ่นชิงจู๋หยิบกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่จดหมายที่จี้ถิงอวี๋ส่งมาให้ก่อนหน้านี้ออกมาจากอก ยื่นให้ไป๋ชิงเหยียน “นี่เจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนมองดูกระบอกไม้ไผ่กระบอกเล็กสองสามกระบอกที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ จากนั้นเปิดออก หยิบจดหมายแผ่นเล็กออกมาคลี่อ่าน ในจดหมายเขียนไว้เพียงสามคำ ภูเขาเม่า

อีกกระบอกเป็นกระบอกไม้ไผ่ที่สีแตกต่างจากกระบอกแรก ในนั้นเขียนไว้ว่า…ภูเขาหลงผิง

กระบอกสุดท้ายคือ หุบเขาหู่เวย

ทั้งสามที่นี้คือที่ซ่อนทหารของจี้ถิงอวี๋ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าใด จี้ถิงอวี๋สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง

“จี้ถิงอวี๋ส่งคนมาบอกว่าเขาต้องการเสบียงอาหารในปีนี้มากสักหน่อย ขอให้คุณหนูใหญ่หาทางส่งไปให้เขา ทว่า ขอเพียงพ้นปีนี้ไปได้ พวกเขาจะอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตัวเองเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ่นจื้อคีบอาหารใส่จาน ขมวดคิ้วแน่น “มีนกพิราบสื่อสารไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องส่งคนมาบอกให้ยุ่งยากด้วย!”

ไป๋ชิงเหยียนมองดูไป๋จิ่นจื้อที่ลืมตาโตด้วยความสงสัย จากนั้นเม้มปากหัวเราะออกมาเบาๆ

เสิ่นชิงจู๋กล่าวกับไป๋จิ่นจื้อยิ้มๆ “คุณหนูสี่คงไม่ทราบว่าแม้นกพิราบสื่อสารจะสามารถส่งสารมาให้พวกเราได้อย่างไม่หลงทาง ทว่า พวกมันเป็นเพียงสัตว์เท่านั้น สัญชาตญาณของสัตว์มักกลัวอันตราย พวกมันส่งจดหมายได้รวดเร็วไม่เท่ามนุษย์ นอกจากนี้สัตว์อาจถูกกับดักของนายพรานได้ง่ายๆ จดหมายอาจถูกขโมย สูญหายหรือถูกสับเปลี่ยนได้ ตอนคุณหนูใหญ่ยังเด็ก คุณหนูใหญ่เคยฝึกฝนให้พวกมันลองส่งรายงานทางทหาร ทว่า เมื่อลองอยู่หลายครั้งแล้วไม่เป็นผล คุณหนูใหญ่จึงล้มเลิกวิธีนี้เจ้าค่ะ”

ไป๋จิ่นจื้อคิดตามแล้วรู้สึกว่าเสิ่นชิงจู๋กล่าวถูกต้อง สาวน้อยมองไปทางพี่หญิงใหญ่ “มิน่าตอนข้ายังเด็กถึงเห็นพี่หญิงใหญ่เลี้ยงนกพิราบอยู่พักหนึ่ง ต่อมากลับไม่เลี้ยงแล้ว”