แม้อวี้จิ่นจะถูกฮองเฮารับไว้เป็นโอรส แต่เมื่อนึกได้ว่าเสด็จแม่ของเยี่ยนอ๋องยังคงมีชีวิตอยู่ อีกทั้งเป็นผินเฟยขั้นสูง ผู้คนบางกลุ่มจึงทำได้เพียงระงับความเคลื่อนไหวของตน แล้วส่งของกำนัลเพื่อแสดงความยินดีไปให้อย่างเงียบๆ ล้วนไม่กล้าแสดงความยินดีออกหน้าออกตา
ผู้ที่รู้สึกทำตัวไม่ถูกที่สุดนั้นแน่นอนว่าเป็นจวนอันกั๋วกง
หลังจากที่อันกั๋วกงได้ยินเรื่องนี้แล้ว ก็ได้เดินทางเข้าไปในพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทันที
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ อันกั๋วกงเดินทางมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปวดพระเศียร ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่ได้ตรัสสิ่งใดออกมา
พานไห่ได้แต่แอบเบ้ริมฝีปากเบาๆ
แม้นวันนี้จะหลบพ้น สักวันก็ต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดี การที่ฮ่องเต้ทรงหลบหลีกอยู่เช่นนี้ไม่ใช่วิธีการตัดสินใจที่ดี
จิ่งหมิงฮ่องเต้เองก็เข้าใจดีถึงความจริงข้อนี้ เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับสั่งว่า “ให้อันกั๋วกงเข้ามาพบข้า”
ผ่านไปไม่นาน อันกั๋วกงก็ย่างกายเข้ามาในห้องทรงพระอักษร “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“จัดแจงเก้าอี้ให้อันกั๋วกงนั่ง”
พานไห่ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางไว้แล้วเชิญอันกั๋วกงนั่งลง
อันกั๋วกงนั่งลงพร้อมด้วยสีหน้าอันบูดบึ้ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มขึ้นแล้วตรัสว่า “ที่นี่ไม่ใช่ในราชสำนัก อันกั๋วกงอย่าได้ทำตัวเกร็งเสียจนเกินไป”
อันกั๋วกงแทบจะกลอกตามองบน
เขามีท่าทางเกร็งงั้นหรือ เขาเดินทางมาเพื่อเอ่ยถามความผิดต่างหาก!
แน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ต่อให้โมโหสักเพียงไรก็ไม่สามารถเรียกร้องความผิดของฮ่องเต้ได้ ทว่าในบัดนี้เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเช่นนั้น
หลานชายของเขา จู่ๆ กลับกลายไปเป็นของผู้อื่น? ที่น่าโมโหไปกว่านั้นก็คือ เรื่องนี้ไม่มีต้นสายปลายเหตุ เขาได้ยินเรื่องนี้มาจากปากของคนอื่นเสียด้วยซ้ำ
หลังจากสงบอารมณ์ลงแล้ว อันกั๋วกงจึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “กระหม่อมได้ยินมาว่าฮองเฮารับเยี่ยนอ๋องเป็นโอรส…”
“อืม”
อันกั๋วกงพยายามอดทนไม่ให้ตนระเบิดความโมโหในใจออกมา ทว่าน้ำเสียงกลับกลายเป็นหนักอึ้งโดยไม่รู้ตัว “เรื่องในครอบครัวของฝ่าบาทนั้นกระหม่อมมิอาจกล้าเข้าไปข้องเกี่ยว เพียงแต่ไม่ทราบว่าเสียนเฟยว่าเช่นไรบ้าง”
เสียนเฟยคือน้องสาวในสายเลือดของเขา แม้สองพี่น้องจะมีความคิดเห็นบางประการแตกต่างกัน แต่ในเวลาเช่นนี้เขาก็ไม่สามารถนั่งนิ่งดูดายได้
เมื่อได้ยินอันกั๋วกงเอ่ยถึงเสียนเฟย จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยิ้มขึ้นว่า “อันกั๋วกงอย่าได้กังวลใจไป การที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะคำนึงถึงเสียนเฟย”
อันกั๋วกงได้แต่นิ่งเงียบ
ฝ่าบาทคำนึงเช่นไรกัน เหตุใดจึงทำให้น้องสาวของตนเสียบุตรไปเช่นนี้
“คาดว่าอันกั๋วกงคงไม่รู้ เจ้าเจ็ดนั่นมักทำให้เสียนเฟยปวดหัวอยู่หลายครา อาการปวดหัวของเสียนเฟยนั้นอาจเพราะเจ้านั่นเป็นต้นเหตุ เสียนเฟยใช้ชีวิตติดตามข้ามาก็นาน หากนางล้มป่วยลงข้าเองก็ปวดใจ ข้าไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่าจะปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ที่สุดแล้วจึงเห็นว่าสู้ให้ฮองเฮาอบรมบ่มนิสัยเจ้าเด็กนั่นเสียดีกว่า เช่นนี้คงจะลงตัวทั้งสองทาง”
อันกั๋วกง “…” ลงตัวบ้าบอนะสิ หากต้องการให้บทเรียนแก่เยี่ยนอ๋อง ควรจะเป็นเช่นหลู่อ๋องที่ถูกลดตำแหน่งเหลือเพียงจวิ้นอ๋องไม่ใช่หรือ การให้ฮองเฮารับเป็นบุตร นับว่าเป็นการสั่งสอนหรืออย่างไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นท่าทางการแสดงออกของอันกั๋วกงดังนั้น จึงได้กระแอมออกมาเบาๆ “หากว่าอันกั๋วกงเป็นห่วงเสียนเฟยละก็ ข้าจะให้เจ้าสองพี่น้องได้พบหน้ากันดีหรือไม่”
อันกั๋วกงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบทูลว่า “ขอบพระทัยพระประสงค์อันดีงามของฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ต่อให้เป็นพี่น้องกันในสายเลือด แต่คนหนึ่งคือพระสนม คนหนึ่งคือขุนนาง ไม่ควรจะพบกันโดยไม่จำเป็น
หากจะว่าไปแล้ว อันกั๋วกงเองก็ไม่ได้พบกับเสียนเฟยมาเป็นเวลาหลายปี เรื่องราวทั้งหลายเกี่ยวกับเสียนเฟย เขาล้วนได้ยินมาจากภรรยา
จิ่งหมิงฮ่องเต้เผยอริมฝีปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย ทรงคิดในพระทัยว่าอันกั๋วกงนับว่ารู้มารยาทพอควร
“หากว่าอันกั๋วกงไม่มีธุระอื่นใดแล้วก็จงกลับไปเถิด ก่อนหน้านี้คนจากตำหนักอวี้เฉวียนมารายงานว่าเสียนเฟยไม่สบายเล็กน้อย ข้าตั้งใจจะเดินทางไปหานางอยู่พอดี”
อันกั๋วกงอ้าปากค้าง แต่ที่สุดก็ทำได้เพียงตอบว่า “กระหม่อมขอกราบบังคมลาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่อันกั๋วกงเดินทางกลับไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงได้หยิบหนังสือนิยายเล่มหนึ่งซึ่งซ่อนเอาไว้ในหนังสือรายงานกองโตออกมาเปิดอ่าน
พานไห่ที่อยู่ด้านข้างทูลถามขึ้นว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักอวี้เฉวียน…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยิบหนังสือไว้ในมือแล้วเหล่ตามองเขา ก่อนจะกล่าวถามว่า “ตำหนักอวี้เฉวียนมีเรื่องใด”
พานไห่ยกมือขึ้นปิดปากของตน “กระหม่อมเอ่ยมากความไปเองพ่ะย่ะค่ะ”
ประโยคที่ฮ่องเต้ตรัสเพื่อไล่อันกั๋วกงกลับไปนั้น ตนกลับเชื่อเสียสนิท
วันต่อมา อวี้จิ่นและเจียงซื่อได้เดินทางเข้ามาในพระราชวังเพื่อน้อมทัก ถวายความเคารพต่อฮองเฮา
ฮองเฮาได้เตรียมการไว้ก่อนหน้าแล้ว รอเมื่อทั้งสองคนเดินทางมา จึงได้ยิ้มแล้วตรัสว่า “ข้าคิดว่าพวกเจ้าทั้งสองคงจะเดินทางมา แต่ไม่คิดว่าจะเช้าเช่นนี้ อยู่ร่วมมื้อกลางวันที่นี่เถิด แม้นวัตถุดิบในครัวของตำหนักคุนหนิงจะไม่ครบครันเท่ากับห้องเครื่อง แต่ฝีมือของพ่อครัวหลวงก็ไม่เลว ทำอาหารเลิศรสได้มากมายทีเดียว”
อวี้จิ่นยิ้มแล้วตอบว่า “ขอบพระทัยเสด็จแม่ ในวันนี้ลูกและอาซื่อช่างโชคดียิ่งนัก”
ฮองเฮาชำเลืองมองไปทางนางใน
นางในผู้นั้นนำกล่องเล็กๆ แต่ฝีมือช่างประณีตมามอบให้แก่เจียงซื่อ
ฮองเฮาตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “นี่อาจไม่ใช่ของที่มีข้ามากมายนัก เจ้ารับไว้เถิด”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ” เจียงซื่อยื่นมือมารับกล่องนั้นไปอย่างกระฉับกระเฉง
ฮองเฮาพบว่าเจียงซื่อรับไปอย่างไม่อ้อมค้อม จึงได้พยักหน้าชื่นชมแล้วกล่าวด้วยความหนักแน่นว่า “ในวันเสกสมรสของพวกเจ้า ข้าได้มอบกำไลดอกหลิงเซียวแก่เจ้า ช่างมอบได้ถูกคนแล้ว เบื้องบนกำหนดให้เรามาเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ในขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น นางในก็เข้ามารายงานว่าฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่เดินทางมาเข้าพบ
“ให้พวกนางเข้ามา”
ต่อมา นางในสองคนได้เดินตรงเข้ามาโดยมีองค์หญิงฝูชิงเดินตาม และองค์หญิงสิบสี่เดินตามติดอยู่ข้างหลัง
“ถวายบังคมเสด็จแม่ คารวะพี่เจ็ด” หลังจากทักทายกับฮองเฮาและอวี้จิ่นแล้ว องค์หญิงฝูชิงก็ได้เข้ามาโอบมือของเจียงซื่อเอาไว้ “ในวันนี้จะมีโอกาสสนทนากับพี่สะใภ้เจ็ดสักที”
ฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็อมยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยแนะนำว่า “บัดนี้ยังเช้าอยู่ หากเจ้าต้องการจะสนทนากับพี่สะใภ้เจ็ดของเจ้า สู้พากันไปเดินชมดอกไม้ที่สวนไม่ดีกว่าหรือ ได้ยินว่าบัดนี้ดอกชาเริ่มเบ่งบานแล้ว”
องค์หญิงฝูชิงยิ้มขึ้น “ดีจริงเพคะเสด็จแม่ พี่สะใภ้เจ็ด เราไปที่นั่นกันดีหรือไม่เพคะ”
เจียงซื่อเหลือบมองไปทางอวี้จิ่น
อวี้จิ่นกล่าวว่า “พวกเจ้าไปเถิด ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ที่นี่”
เมื่อพบว่าทั้งสามคนเดินทางออกไปแล้ว ฮองเฮาจึงละสายตากลับมายิ้มให้อวี้จิ่น “ในวันนั้นที่ได้พบเจ้าและพระชายาเยี่ยนอ๋อง ข้าก็ได้แอบคิดอยู่ในใจว่า หากเจ้าทั้งสองได้มาเป็นบุตรและสะใภ้ของข้าจะดีเพียงไร คาดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้”
อวี้จิ่นตอบว่า “การที่ได้รับความรักความเมตตาจากเสด็จแม่ นับว่าเป็นบุญของพวกลูกยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาส่งสัญญาณให้นางในออกไปข้างนอก ทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวว่า “คำพูดที่ดูห่างเหินเหล่านั้นอย่าได้กล่าวถึงมันอีกเลย ในเมื่อบัดนี้เจ้าคือโอรสของข้า นับแต่นี้ไปข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นลูกแท้ๆ ของข้า เช่นเดียวกับที่ไทเฮาปฏิบัติต่อฮ่องเต้…”
อวี้จิ่นตกตะลึงเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าฮองเฮากำลังจะกล่าวบางอย่างที่ไม่ธรรมดาออกมา
ฮองเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ จากนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เจ้าวางแผนเช่นไร”
อวี้จิ่นสบตากับฮองเฮา
สายตาของอีกฝ่ายช่างสงบนิ่งราวกับน้ำในสระที่เงียบสงัดไร้สายลมพัดโชย
อวี้จิ่นเม้มริมฝีปากของตนแล้วยิ้มขึ้นด้วยความหมายอันลึกซึ้ง “ลูกคงต้องดูว่าเสด็จแม่คาดหวังกับลูกเช่นไร”
ฮองเฮาจงใจจะให้อาซื่อและองค์หญิงอีกสองคนปลีกตัวออกไป แล้วสนทนากับเขาเรื่องนี้ หากเขาจะแสร้งโง่ต่อไปอาจถูกคนดูถูกเอาได้
ฮองเฮาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วคิดอยู่ในใจว่า เยี่ยนอ๋องเป็นคนที่ฉลาดไม่เบา นางไม่ได้มองคนผิดไป
องค์ชายผู้ที่ถูกส่งตัวออกนอกวังไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย ใช้ชีวิตอยู่ทางใต้ตามยถากรรมจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เมื่อกลับมายังเมืองหลวง แม้จะมีชื่อเสียงว่าขัดต่อพระประสงค์ของฮ่องเต้ ทว่าต่อมากลับเป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้ มองดูแล้วจะธรรมดาได้อย่างไร
นางต้องการจะเลือกโอรสมาคนหนึ่งเพื่อปกป้องฝูชิง แน่นอนว่าจะเลือกผู้ที่โง่เขลามาไม่ได้
ฮองเฮาดื่มน้ำชาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งน้ำชาหมดแล้วจึงยิ้มขึ้นกล่าวว่า “แม่คาดหวังในตัวลูกไม่เบา”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็ได้หยุดลงแล้วกระซิบเบาๆ “การที่เห็นลูกเติบใหญ่เป็นมังกร แน่นอนว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ผู้เป็นมารดาล้วนปรารถนา”
ในเมื่อนางเลือกที่จะเดินมาเส้นทางนี้ ก็ไม่อาจเดินย้อนกลับหรือร้องขอสิ่งใดได้อีก
โอรสของฮ่องเต้ แน่นอนว่าต้องเติบใหญ่เป็นเช่นมังกร
อวี้จิ่นยกมือขึ้นคารวะ “ลูกจะพยายามเต็มความสามารถเพื่อให้เสด็จแม่สมหวังดังปรารถนา”