ฮองเฮายิ้มจากก้นบึ้งของหัวใจ
นางชื่นชอบคนเฉลียวฉลาดที่ไม่แสร้งทำเป็นสับสนยามต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ในอนาคต คงจะต้องฝากพี่ชายเช่นเจ้าดูแลฝูชิงด้วย”
“การดูแลน้องสาวเป็นเรื่องที่สมควรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นและฮองเฮามองหน้ากันจากนั้นยิ้มขึ้น ทั้งสองไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
การเห็นพ้องต้องการในเป้าหมายของทั้งสองนับว่าเป็นขั้นตอนแรก ในขั้นตอนต่อไปอื่นๆ นั้นไม่ใช่ว่าจะสนทนากันได้เพียงสองสามประโยคก็เสร็จสิ้น
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา เจียงซื่อและองค์หญิงฝูชิงก็เดินทางกลับมา
“เจ้าสิบสี่เล่า” เมื่อไม่เห็นองค์หญิงสิบสี่เดินตามกลับมาด้วย ฮองเฮาจึงได้เอ่ยถาม
องค์หญิงฝูชิงทูลตอบว่า “น้องสิบสี่กล่าวว่ายังมีงานปักที่ทำค้างไว้ นางจึงขอตัวกลับไปก่อนเพคะ”
วันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาใกล้จะมาถึงแล้ว ของขวัญที่องค์หญิงทั้งสองจัดเตรียมไว้ให้ไทเฮาเพื่อร่วมแสดงความยินดีนั้นล้วนเป็นงานปัก
ฮองเฮายิ้มแล้วส่ายหน้า “เจ้าเด็กคนนี้ ไหนว่าจะร่วมรับประทานมื้อกลางวันด้วยกันอย่างไร”
ถึงกระนั้นในใจของนางก็รู้สึกชื่นชมและพอใจที่องค์หญิงสิบสี่รู้ว่าควรทำเช่นไร
แม้ว่าฮองเฮาจะมีพระทัยอันกว้างขวาง หาได้เป็นเช่นเฉินเหม่ยเหรินที่มีการกระทำและทัศนคติอันชั่วร้ายต่อองค์หญิงสิบสี่ แต่ในบางครั้งนางก็หวังว่าจะไม่มีบุคคลภายนอกมารบกวน
อาทิเช่น มื้ออาหารกลางวันกับเยี่ยนอ๋องและพระชายาเช่นนี้
เมื่อพบว่าเวลาอาหารกลางวันใกล้จะมาถึงแล้ว ฮองเฮาจึงได้กำชับข้าหลวงว่า “ไปเชิญฮ่องเต้เสด็จมาที่นี่เพื่อร่วมเสวยด้วยกันเถอะ”
ข้าหลวงรับคำและรีบเดินทางไปยังห้องทรงพระอักษรทันที
ภายในห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงฮ่องเต้ถูที่ทับกระดาษหยกขาวที่วางอยู่บนโต๊ะไปมา สายพระเนตรเหลือบมองไปทางนาฬิกาทรายตรงมุมห้องเป็นครั้งคราว
นี่ก็ปาเข้าไปกี่โมงยามแล้ว เหตุใดจึงไม่มีการเคลื่อนไหวจากตำหนักคุนหนิงเลย
เอ...หรือฮองเฮาจะลืมเรื่องที่เชิญเขาไปร่วมรับประทานมื้อกลางวันที่นั่นด้วยไปเสียแล้ว
ไม่น่าใช่ ตัวตนของเขาสำคัญเช่นนี้จะลืมไปได้อย่างไร
แม้ว่าเหตุผลเหล่านี้จะเกลี้ยกล่อมความคิดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ แต่กระเพาะอาหารกลับกำลังตักเตือนเขาว่า บัดนี้ได้เวลามื้ออาหารแล้ว
หากจะให้เดินทางไปเช่นนี้ช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน ราวกับว่าเขาอดใจรอจะไปร่วมสนุกด้วยไม่ไหวเสียแล้ว
หลังจากรออยู่อีกสักครู่หนึ่ง ในที่สุดจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้กระแอมออกมาเบาๆ “พานไห่ เจ้าเห็นจี๋เสียงหรือไม่”
พานไห่ถูกถามเช่นนั้นจึงชะงักลงด้วยความตกตะลึง
เขาเป็นถึงขันทีและหัวหน้าหน่วยงานบูรพา เป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ เขาต้องว่างขนาดไหนเชียวจึงจะสามารถจับตามองดูแมวตัวหนึ่งได้ทั้งวัน
“ในเวลานี้ คาดว่าจี๋เสียงคงจะไปกินปลาแห้งของมันแล้วใช่หรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
พานไห่จึงเข้าใจได้ทันทีถึงความหมายของฮ่องเต้ ฝ่าบาทไม่ได้สนใจเรื่องจี๋เสียงจะกินปลาแห้งอยู่หรือไม่ แต่ทรงกำลังกังวลถึงมื้ออาหารมื้อนั้นที่เคยตรัสไว้กับฮองเฮาเมื่อวานนี้
“กระหม่อมจะเดินทางไปถามดูบัดเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” พานไห่กำลังรีบเร่งออกไป เขาเพิ่งจะเอ่ยเรียกขันทีผู้น้อยให้เดินทางไปดูและเอ่ยเตือนฮองเฮาที่ตำหนักคุนหนิง ก็บังเอิญพบว่าคนจากตำหนักคุนหนิงได้เดินทางมาถึงแล้ว
พานไห่เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย
“ตามข้ามาเถิด”
เมื่อพบว่าพานไห่เดินกลับเข้ามา จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงได้ทอดพระเนตรไป
“ฝ่าบาท ฮองเฮาส่งคนมาเชิญฝ่าบาทไปร่วมมื้อกระยาหารด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองไปยังคนของตำหนักคุนหนิง ก่อนจะกระแอมเบาๆ ในลำคอแล้วเอ่ยถามพานไห่ว่า “หาจี๋เสียงเจอแล้วหรือไม่”
พานไห่ยิ้มแห้งๆ แล้วทูลตอบว่า “จี๋เสียงกำลังกินปลาแห้งของมันอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม” จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าจากนั้นจึงเอ่ยถามคนจากตำหนักคุนหนิง “เยี่ยนอ๋องมาถึงแล้วหรือ”
ข้าหลวงในตำหนักคุนหนิงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องและพระชายาเดินทางมาได้สักพักหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึง เขาไม่อาจเก็บความรู้สึกบนใบหน้าได้อีกต่อไป
มาถึงนานแล้ว?
“มีผู้ใดอยู่ที่นั่นบ้าง” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามอีกครั้ง
ข้าหลวงผู้นั้นตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “นอกจากท่านอ๋องและพระชายาอ๋องแล้ว องค์หญิงฝูชิงก็อยู่ที่นั่นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไปทันใด
นี่เขาถูกกีดกันอย่างงั้นหรือ…
เมื่อข้าหลวงพบว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา จึงได้รีบทูลขึ้นอีกครั้งว่า “ฮองเฮาทรงรับสั่งว่าหากฝ่าบาททรงงานอยู่ ก็…”
พานไห่รีบเข้าไปดึงข้าหลวงผู้นั้นเอาไว้
เจ้าโง่เง่าผู้นี้พูดจาคิดบ้างหรือไม่ หากว่าฝ่าบาททรงอารมณ์ไม่ดี ผู้ที่โชคร้ายก็คือพวกเขาที่รับใช้อยู่ข้างกายมิใช่หรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อฮองเฮาเอ่ยชวนข้า เช่นนั้นข้าจะเดินทางไปดูสักหน่อย ถึงอย่างไรบัดนี้ข้าก็ไม่มีเรื่องอื่นต้องทำ”
ระหว่างทาง จิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงพระดำเนินไปอย่างรวดเร็ว พานไห่ที่เดินตามหลังมานั้นกลอกตามองบนด้วยความเหน็ดเหนื่อยแล้วคิดอยู่ในใจว่า ฝ่าบาททรงยับยั้งชั่งใจหน่อยไม่ได้หรือ ไม่สงสารแขนขาคู่นี้อันนี้เหี่ยวย่นไร้เรี่ยวแรงของตนบ้างเลย
เมื่อเดินทางเข้าไปใกล้ตำหนักคุนหนิง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้ชะลอฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน
“ฮ่องเต้เสด็จ!”
เมื่อสิ้นเสียงข้าหลวงที่ตะโกนขึ้น ฮองเฮาและคนอื่นๆ ก็เดินทางออกมาต้อนรับ
“ไม่ต้องมากพิธี เข้าไปด้านในเถิด” จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินตรงเข้าไปพร้อมเอามือไขว้หลัง
ฮองเฮายิ้มแล้วตรัสว่า “หม่อมฉันคิดว่าวันนี้ฝ่าบาทจะทรงงานยุ่งเสียอีกเพคะ”
“หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาส่งคนไปเชิญข้ามา ข้าคงจะลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเบาๆ
เมื่อทุกคนนั่งลงตรงที่ของตนเอง ในไม่ช้านางในก็ได้เดินนำถ้วยจานช้อนตะเกียบเข้ามาด้านใน
อาหารมีเพียงไม่กี่อย่าง ไม่นับว่ามากโขแต่ทุกจานล้วนละเอียดประณีต
จิ่งหมิงฮ่องเต้เสวยเข้าไปเพียงไม่กี่คำก็ยิ้มแล้วตรัสว่า “อาหารในตำหนักของฮองเฮานั้นไม่เลวเลย พวกเจ้านับว่ามีบุญปากทีเดียว”
อวี้จิ่นและเจียงซื่อต่างตอบรับพร้อมกันว่า “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปทางภรรยาของเขาแล้วมองไปทางธิดา ก่อนที่จะมองไปทางโอรสและสะใภ้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างอบอุ่น
ไม่สิ หากว่าจี๋เสียงอยู่ที่นี่ด้วยจึงจะสมบูรณ์อย่างแท้จริง
“บัดนี้อาฮวนก็เติบโตขึ้นแล้ว รอให้อากาศอุ่นกว่านี้สักเล็กน้อยพวกเจ้าอย่าลืมพาลูกเดินทางเข้าวังมาให้ข้าดูบ้าง ในฐานะปู่ ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลานสาวของตนหน้าตาเป็นเช่นไร”
พานไห่ได้แต่เผยอริมฝีปากขึ้นอย่างเงียบๆ
ฝ่าบาทตรัสออกมาได้อย่างไรกัน ในวังหลังมีองค์หญิงมากมายที่ฝ่าบาทไม่รู้จักหน้าข้าตา หากไม่เคยเห็นหน้าหลานสาวแล้วจะเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าองค์ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับเยี่ยนอ๋องและพระชายายิ่งนัก
หลังจากที่เยี่ยนอ๋องกลายเป็นโอรสของฮองเฮา ทุกอย่างก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ในอนาคต เยี่ยนอ๋องคงจะไม่…จู่ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองของพานไห่ เขาสะดุ้งเล็กน้อยและไม่กล้าจะคิดจินตนาการต่อไป
เจียงซื่อยิ้มรับแล้วกล่าวว่า “คราวหน้าหากลูกเดินทางเข้าวางถวายความเคารพต่อเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ลูกจะพาอาฮวนมาด้วยเพคะ”
อาหารมื้อนี้ดำเนินไปด้วยความสุขสนุกสนาน ซึ่งสำหรับตระกูลราชวงศ์แล้วนั้นนับว่าหาได้ยากยิ่ง
ดูเหมือนจิ่งหมิงฮ่องเต้จะเสียดายความรู้สึกอันผ่อนคลายเช่นนี้ เขาไม่อยากให้สิ้นสุดลงโดยเร็ว จึงชะลอความเร็วในการรับประทานอาหารลง
ทันใดนั้นเองนางในคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วทูลว่า “ฝ่าบาท ฮองเฮาเพคะ มีคนจากตำหนักฉือหนิงเดินทางมาเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้และฮองเฮาสบตากันก่อนจะวางตะเกียบเงินลง “เข้ามา”
ไม่นานหลังจากนั้น ข้าหลวงคนหนึ่งก็ตรงเข้ามาด้วยท่าทางกระวนกระวาย เมื่อพบจิงหมิงฮ่องเต้เขาก็ได้คุกเข่าลงทันที “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาทรงเป็นลมล้มไป!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าของเขาดูซีดเผือด
ฮองเฮารีบเข้ามาประคองจิ่งหมิงฮ่องเต้เอาไว้แล้วเอ่ยถามด้วยความรวดเร็วว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เหตุใดจู่ๆ ไทเฮาจึงได้เป็นลมล้มไปเช่นนั้น”
ข้าหลวงริมฝีปากและตัวสั่นงก “กระหม่อม กระหม่อมยังไม่ทันได้เอ่ยถามก็ถูกไล่มาให้ทูลต่อฝ่าบาทและเหนียงเหนียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ใช้มือพยุงที่โต๊ะ ก่อนจะหายใจเข้าอย่างช้าๆ แล้วตรัสกลับฮองเฮาว่า “เดินทางไปดูเสด็จแม่ก่อนค่อยว่ากัน”
เมื่อเดินไปได้สองก้าว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หันกลับมาเหลือบมองดูอวี้จิ่นและเจียงซื่อ “พวกเจ้าทั้งสองก็ไปด้วยกันเถิด”
อวี้จิ่นเดินติดตามไปอยู่ด้านหลังจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาเอื้อมมือไปบีบมือเจียงซื่อเบาๆ ก่อนจะปล่อยออก
เจียงซื่อพยักหน้า
ทั้งสองจัดการกับอารมณ์ของตน จากนั้นรีบติดตามฮ่องเต้ไปยังตำหนักฉือหนิง
ภายในตำหนักฉือหนิงอยู่ในความโกลาหล เนื่องจากไทเฮาเป็นลมล้มไป
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เบื่อหน่ายที่จะฟังคำพูดไร้สาระเหล่านั้น เขาเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า “หมอหลวงเดินทางมาถึงแล้วหรือยัง”
“หมอหลวงกำลังให้การรักษาไทเฮาอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เมินเฉยต่อผู้ที่ทูลรายงานและรีบเข้าไปในห้องทันที พบว่าหมอหลวงกำลังฝังเข็มลงบนร่างกายของไทเฮา
แม้จะทรงเป็นกังวลพระทัยมาก แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่กล้าจะเอ่ยขัดขึ้นรบกวน จึงทำเพียงก้าวไปข้างหลังอย่างเงียบๆ
“เหตุใดไทเฮาจึงได้เป็นลมไปได้”
ผู้ที่อยู่ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ต่างพากันคุกเข่า เมื่อได้ยินประโยคนี้ทุกคนก็พากันหวาดกลัว
“พวกเจ้าหูหนวกกันหมดแล้วงั้นหรือ!”
หมัวมัวคนหนึ่งที่อยู่รับใช้ข้างกายไทเฮาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางเหลืองซีดกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนว่า “ทูลฝ่าบาท เมื่อไทเฮาเห็นศพของผิงกูกู่ก็ได้เป็นลมล้มไปเพคะ”