ผิงกูกู่…
สามคำนี้ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงกับตกตะลึงจนลืมที่จะเอ่ยถามถึงรายละเอียดความเป็นมา
ในตอนเทศกาลซั่งหยวน องค์หญิงฝูชิงตกตกอยู่ในอันตราย ณ หอเซวียนเต๋อ แต่เนื่องจากคำพูดของอวี้จิ่นเหล่านั้น แม้ว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะไม่อาจสงสัยในตัวไทเฮาได้ ทว่าก็อนุญาตในการแอบตรวจสอบตำหนักฉือหนิงอย่างลับๆ
ซึ่งผิงกูกู่คนนี้ก็เพิ่งสืบพบว่านางมีการติดต่อกับชิงไต้ สาวรับใช้ข้างกายขององค์หญิงฝูชิงมากที่สุดคนหนึ่ง
ผิงกูกู่ตายแล้ว?
ในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้เกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถามว่า “ไทเฮาพบศพของผิงกูกู่ได้อย่างไร”
ผิงกูกู่เป็นนางในรับใช้อยู่ที่ตำหนักฉือหนิง นางมีหน้าที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้าการแต่งกายของไทเฮาโดยเฉพาะ นับว่าเป็นบุคคลที่ปรากฏโฉมต่อหน้าไทเฮาอยู่บ่อยๆ คนหนึ่ง
หมัวมัวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก้มหน้าลงแล้วกล่าวว่า “ในวันนี้ผิงกูกู่เดินทางมานำเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่จะใช้สวมใส่ในวันคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮามาให้ตรวจดู หลังจากที่ไทเฮาทอดพระเนตรดูแล้วไม่พบว่ามีปัญหาใด จึงสั่งให้ผิงกูกู่จัดการนำไปเก็บ ใครจะรู้เล่าว่าผิงกูกู่เดินทางไปยังห้องฝั่งตะวันตกเนิ่นนานก็ยังไม่กลับมา จนกระทั่งต่อมาได้ยินเสียงกรีดร้องดังสนั่น ไทเฮาเองก็ทรงได้ยินน้ำเสียงกรีดร้องนั้น จึงเสด็จไปทอดพระเนตร พบว่าผิงกูกู่ได้ฆ่าตัวตายอยู่บนขื่อเสียแล้ว…”
“นังบ่าวสารเลวเล่า!” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม
หมัวมัวผู้นั้นตัวสั่นงกแล้วตอบว่า “ทูลฝ่าบาท นาง นางยังคงห้อยอยู่บนขื่อนั้น”
“นำทางข้าไป”
หมัวมัวเงยหน้าขึ้นเหลือบมองดูฮองเฮา
ฮองเฮารีบตรัสว่า “ฝ่าบาทเพคะ อย่าให้บ่าวรับใช้ผู้ต่ำต้อยเพียงคนเดียวทำให้พระองค์ต้องตื่นตระหนกเลย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้โบกมือแล้วกล่าวด้วยความเยือกเย็นว่า “ข้าพบเห็นเรื่องราวมามากมาย คิดว่าจะกลัวเพียงแค่ศพศพหนึ่งงั้นหรือ”
ฮองเฮาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมได้อีกต่อไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปทางหมัวมัวซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วกล่าวด้วยความเย็นชา “นำทางข้าไป”
หมัวมัวผู้นั้นจึงทำได้เพียงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นและเดินตรงไปข้างหน้าด้วยท่าทางกระสับกระส่าย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก้าวขาออกไปได้เพียงสองเก้าก็ได้หันกลับมาตรัสกับฮองเฮาว่า “เจ้าและฝูชิงไม่ต้องติดตามข้าเข้าไป ให้เจ้าเจ็ดและสะใภ้ติดตามข้ามาเป็นพอ”
อวี้จิ่นได้ยินประโยคนั้นริมฝีปากก็เผยอขึ้นเล็กน้อย
อะไรกัน! การที่ให้เขาติดตามไปด้วยนั้นสมเหตุสมผลแล้ว ทว่าเหตุใดต้องนำอาซื่อไปด้วย
ทรงเห็นว่าฮองเฮาและองค์หญิงฝูชิงเป็นเช่นดอกไม้ผู้บอบบางสองดอก แล้วภรรยาของเขาไม่ใช่สตรีผู้บอบบางอย่างนั้นหรือ
แม้ภายในใจของอวี้จิ่นจะพึมพำตำหนิ แต่ฝีเท้าของเขาก็ก้าวตามติดไปอย่างเร่งรีบ เมื่อหันไปมองดูเจียงซื่อ พบว่านางเดินเร็วกว่าเขาเสียอีก
ห้องที่ใช้สำหรับจัดวางเสื้อผ้าอาภรณ์ของไทเฮาอยู่ในห้องฝั่งตะวันตก ใช้เวลาเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ศพนั้นยังคงแกว่งไปมาอยู่บนขื่อ เก้าอี้สลักลายปักษาและผกาล้มลงอยู่ข้างกาย
บัดนี้มีนางในมากมายยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องฝั่งตะวันตก ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้และอีกสองคนเดินทางมาก็ได้พากันคารวะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืนอยู่ที่ตรงปากประตู เขาเงยหน้าทอดพระเนตรดูสตรีนางนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองไปทางพานไห่
พานไห่กระซิบว่า “เป็นผิงกูกู่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งและกล่าวว่า “เจ้าเจ็ด ไปตรวจสอบดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
อวี้จิ่นจึงเดินตรงเข้าไปในห้อง
ทางด้านเจียงซื่อเองก็ไม่ได้ลังเลนางเดินตามเขาไปเช่นกัน
ผู้คนจากตำหนักฉือหนิงได้แต่ตกตะลึง พวกเขาพากันคิดว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องช่างใจกล้ายิ่งนัก และเมื่อเหลือบมองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้ซึ่งบัดนี้ดูท่าทางคุ้นเคยกับการกระทำนั้น พวกเขาก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม หรือว่าบัดนี้ทางราชวงศ์คัดเลือกสะใภ้จากความกล้าหาญกันนะ
องค์หญิงฝูชิงเหลือบมองไปทางห้องฝั่งตะวันตกแล้วกระซิบว่า “เสด็จแม่เพคะ ผิงกูกู่ นาง…”
ฮองเฮารีบกำมือขององค์หญิงฝูชิงเอาไว้แน่น กระซิบตอบว่า “อย่าได้เอ่ยให้มากความ”
นางในซึ่งดูแลเรื่องการแต่งกายของไทเฮากลับสิ้นใจอยู่ในห้องนอนของไทเฮา เรื่องนี้ช่างซับซ้อนยิ่งนัก ในเวลานี้ทางที่ดีควรนิ่งเงียบเอาไว้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เสด็จกลับมาแล้วเอ่ยถามหมัวมัวคนนั้นว่า “ผิงกูกู่ นำเสื้อผ้าเข้าไปเก็บคนเดียวงั้นหรือ”
หมัวมัวรีบตอบว่า “ทูลฝ่าบาท ยังมีนางในอีกนางหนึ่งติดตามผิงกูกู่ไปด้วยเพคะ”
“แล้วนางในผู้นั้นเล่า” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นทันที
น้ำเสียงอันหวาดกลัวและบอบบางดังขึ้นว่า “หม่อมฉัน หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ…”
จากนั้นก็ปรากฏสตรีนางหนึ่งคุกเข่าลงตรงหน้า จิ่งหมิงฮ่องเต้มองเห็นท่าทางของนางในตัวน้อยผู้นั้น มองดูแล้วคาดว่ามีอายุเพียงสิบสามสิบสี่ปี บัดนี้สีหน้าซีดเผือด คล้ายกับนางกำลังจะร้องไห้ เห็นได้ชัดว่านางหวาดกลัวสุดขีด
“ตอนที่ผิงกูกู่ผูกคอจบชีวิตนางลง เจ้าอยู่แห่งใด”
คาดว่านางในตัวน้อยผู้นี้คงไม่ได้อยู่ดูผิงกูกู่ผูกคอตายหรอกนะ
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยู่ภายในห้องนั้นเพคะ…” นางในผู้นั้นก้มศีรษะลงบนพื้น เนื้อตัวสั่นเทา “ผิงกูกู่สั่งให้หม่อมฉันไปนำเครื่องหอมมาใส่กรงเทียนเครื่องหอม เพื่อจะนำมาวางไว้ในตู้เสื้อผ้า หม่อมฉันจึงได้เดินทางไปหยิบเครื่องหอมเหล่านั้น คาดไม่ถึงว่าเมื่อครั้งตอนเดินกลับมา ผิงกูกู่จะผูกคอห้อยอยู่บนขื่อนั้นแล้ว...”
สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนไปเป็นมืดมนทันที ทรงหันไปเอ่ยถามหมัวมัวผู้นั้นว่า “ก่อนหน้านั้นพวกเจ้าไม่ได้ยินเสียงใดหรือ”
การที่เก้าอี้ไม้ล้มลงสู่พื้น คาดว่าคงจะต้องเกิดเสียงดังอย่างแน่นอน
หมัวมัวส่ายหน้า “ในเวลานั้นไทเฮากำลังสดับดนตรีอยู่ จึงไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดจากทางห้องฝั่งตะวันตก จนกระทั่งนางในผู้นี้กรีดร้องออกมา ไทเฮาจึงได้เดินเสด็จไปดูเพคะ”
เมื่อกล่าวจบหมัวมัวผู้นั้นก็หันไปจ้องนางในตัวน้อย
หากไม่ใช่เพราะนางทาสรับใช้ผู้นี้กรีดร้องเสียงหลง ไทเฮาจะส่งเป็นลมหมดสติไปได้อย่างไร หากว่าผิงกูกู่ควรถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีศพ นางในผู้นี้ก็ควรจะถูกโบยจนตายด้วยเช่นกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ใส่ใจเรื่องนางในตัวน้อยผู้นี้ที่ไม่รู้จักกาลเทศะ เขามุ่งความสนใจไปที่ผิงกูกู่
หากว่าผิงกูกู่ถูกคนลอบฆ่า สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือต้องหาฆาตกรออกมาให้ได้ แต่หากผิงกูกู่ฆ่าตัวตายด้วยตนเอง เช่นนั้น ก็ต้องหาถึงเหตุผลว่าเหตุใดนางจึงเลือกที่จะจบชีวิตตนเองลงในสถานที่ซึ่งเป็นจุดเด่นเช่นนี้
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น อวี้จิ่นกับเจียงซื่อเดินตรงเข้ามา
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบเอ่ยถามว่า “เป็นเช่นไร”
องค์หญิงฝูชิงมองไปทางอวี้จิ่นและเจียงซื่อด้วยสายตาคาดหวัง
หากจะกล่าวตามความจริงแล้วนั้น ฮองเฮาไม่ได้เป็นห่วงกังวลไทเฮาเช่นฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้เองนางจึงสามารถมองเห็นเรื่องราวทุกสิ่งอย่างได้อย่างกระจ่างแจ้ง
บางทีฮ่องเต้เองแม้แต่บัดนี้ก็ยังไม่รู้ตัว ทุกคราที่พบกับเหตุการณ์เหล่านี้จะทรงให้ความสำคัญกับเยี่ยนอ๋องยิ่งนัก
การที่โอรสของตนได้รับความนิยมชมชอบและถูกยกให้เป็นคนสำคัญจากองค์ฮ่องเต้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี
อวี้จิ่นส่ายหน้า “ไม่มีร่องรอยการต่อสู้และไม่มีบาดแผลใดๆ บนร่างกาย จากที่ลูกเอ่ยถามคนในวังเหล่านั้น พบว่าในเวลานั้นนอกจากผู้ที่อยู่ในห้องคอยรับใช้ไทเฮาแล้ว คนอื่นล้วนยืนอยู่ด้านนอก ไม่มีผู้ใดเดินทางเข้าไปในห้องฝั่งตะวันตกเลย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่าผิงกูกู่ฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไปเนิ่นนานก่อนจะตวาดออกมาด้วยความขุ่นเคืองว่า “นางบ่าวรับใช้ผู้นี้!”
ทันใดนั้นเอง นางในคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาทเพคะ ไทเฮาทรงฟื้นขึ้นมาแล้วเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็รีบเดินตรงเข้าไปทันที
ไทเฮาพยายามลุกขึ้นนั่งจากการประคองของนางในคนหนึ่ง เมื่อพบว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้เสด็จมา ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย
“ฝ่าบาทเสด็จมางั้นหรือ”
“เสด็จแม่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งอยู่ข้างกายของไทเฮาแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
จากนั้นฮองเฮาก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เสด็จแม่ดีขึ้นบ้างแล้วหรือยังเพคะ”
องค์หญิงฝูชิงปาดน้ำตาแล้วยิ้มว่า “เสด็จย่า ท่านฟื้นขึ้นมาแล้วช่างดียิ่งนัก”
อวี้จิ่นจับมือเจียงซื่อเงียบๆ ทั้งสองคนตรงเข้าไปทักทายไทเฮาพร้อมกัน
ไทเฮาทอดพระเนตรไปทางผู้คนทั้งหลาย สายตาจับจ้องไปที่อวี้จิ่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนแรงว่า “ในวันนี้พวกเจ้าทั้งสองเดินทางเข้าวังเพื่อมาคารวะฮองเฮาหรือ”
เว้นแต่วันสำคัญที่จำเป็น บรรดาอ๋อง พระชายาอ๋องและเหล่าองค์หญิงที่เดินทางเข้ามาในพระราชวังจึงจะมายังตำหนักฉือหนิงโดยพลการก็ไม่เหมาะสม และไทเฮาเองก็ไม่มีกระจิตกระใจจะไปจู้จี้จุกจิกกับเรื่องราวนี้ ดังนั้นการที่อวี้จิ่นและเจียงซื่อไม่ได้เดินทางมาคารวะนางที่ตำหนักฉือหนิงจึงนับว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เสียมารยาทแต่อย่างใด “ข้าชื่นชอบความครึกครื้นยิ่งนัก” เมื่อประโยคนี้ของไทเฮาสิ้นสุดลง นางก็หยุดพูด ดูเหมือนจะนึกเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้ น้ำเสียงอันแหบแห้งเอ่ยถามว่า “ผิงกูกู่ ตายแล้วจริงงั้นหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าอย่างช้าๆ
ไทเฮาตบลงไปที่ขอบเตียง ถอนหายใจกล่าวว่า “ผิงกูกู่ เจตนาสิ้นใจให้ข้าเห็น”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึง ก่อนรีบเอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “เหตุใดเสด็จแม่จึงกล่าวเช่นนี้”