เมื่อได้ยินจิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามเช่นนั้น ไทเฮาก็หลับตาลง ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียวจึงลืมตาขึ้น แสงเย็นวาบเป็นประกายออกจากดวงตาของนาง “ข้าได้ยินเรื่องราวของฝูชิงแล้ว”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึงแล้วอดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางฮองเฮา
ฮองเฮาส่ายหน้าเล็กน้อย
แน่นอนว่านางคงไม่กล้าเอ่ยเรื่องใดกับไทเฮา เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เป็นกังวลไทเฮายิ่งนัก เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยขึ้นแม้แต่น้อย
ไทเฮาถอนหายใจ “เรื่องที่เกิดขึ้นกับฝูชิงในเทศกาลซั่งหยวนใหญ่โตถึงเพียงนี้ พวกเจ้ากลับกล้าที่จะปิดบังข้า โชคดีที่ข้าไปได้ยินมาจากองค์หญิงสิบสี่ ไม่เช่นนั้นก็ยังคงถูกปิดกั้นอยู่ในความมืดมิด…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สีหน้ามืดมนลงเล็กน้อย “เจ้าสิบสี่ช่างปากมากยิ่งนัก”
ไทเฮามองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้ “จะโทษเจ้าสิบสี่ทำไมกัน ข้าเองก็ไม่ได้แกเสียจนเลอะเลือน เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นพวกเจ้ากลับไม่บอกข้าแม้แต่น้อย คิดว่าข้าตายไปแล้วงั้นหรือ”
ประโยคนี้ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้พูดไม่ออก
ไทเฮาถอนหายใจออกมา “ข้านึกถึงว่าฝูชิงต้องเผชิญเข้ากับเรื่องราวเช่นนั้น วันต่อมาก็ยังเดินทางมาคารวะข้าราวกับไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้น คิดแล้วช่างปวดใจยิ่งนัก…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำได้เพียงยอมรับผิด “เป็นความผิดของลูกเอง ลูกควรจะทูลต่อเสด็จแม่”
ไทเฮาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ฝ่าบาทเอาใจใส่ข้า ข้าเองก็เข้าใจดี”
“แล้วผิงกูกู่…”
ไทเฮามองไปด้วยสายตาเยือกเย็น “ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ทำร้ายฝูชิงก็คือชิงไต้นางในที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายนาง ในครานั้นก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป”
“เสด็จแม่รู้สึกถึงความผิดปกติไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮามองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วพยักหน้า “ชิงไต้อยู่รับใช้ฝูชิงมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว นางจะเกิดความคิดชั่วทำร้ายฝูชิงได้อย่างไร การที่นางสามารถทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นจึงเป็นไปได้ยิ่งนักว่าอาจเกี่ยวข้องกับผู้ที่ใกล้ชิดนาง เมื่อข้าครุ่นคิดไปมา ท้ายที่สุดแล้วจึงรู้สึกว่า ผู้ที่ใกล้ชิดกับนางหรือบ่าวรับใช้ต่ำต้อยผู้นั้น ก็คือผิงกูกู่ในตำหนักของข้าเอง”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของไทเฮาก็ดูไม่น่ามอง เผยให้เห็นถึงความโมโหเล็กน้อย “เมื่อวานนี้ข้าได้เรียกให้ผิงกูกู่เข้ามาและเอ่ยถามลองเชิงดู แต่ไม่พบเบาะแสใดๆ ข้าเองก็ไม่อยากตีหญ้าให้งูตื่น ตั้งใจว่าจะแอบสืบดูภายหลังแต่คิดไม่ถึงว่าในวันนี้นางจะมาแขวนคอตายในห้องฝั่งตะวันออกตกเสียก่อน…”
ไทเฮาหลับตาลง ริมฝีปากของสั่นคลอนเล็กน้อย “นางทาสรับใช้ผู้นี้จงใจจะตายให้ข้าเห็น คงหวังจะบอกข้าว่า ต่อให้นางตายไปตกนรก ก็จะไม่บอกความลับนั้นให้แก่ข้ารู้อย่างเด็ดขาด”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ใช้มือตบลงไปที่ขอบเตียง “นางทาสผู้นี้!”
ไทเฮาคือผู้ที่ถูกเลี้ยงดูและปรนนิบัติรับใช้มาอย่างดี อีกทั้งบัดนี้อายุมากโข จู่ๆ เมื่อเห็นศพแขวนอยู่บนขื่อเช่นนั้น หากไม่ตกใจจนหมดสติไปคงจะแปลก
ส่วนทางด้านฮองเฮากลับขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เมื่อผิงกูกู่และชิงไต้มีความเชื่อมโยงกัน บัดนี้ผิงกูกู่สิ้นใจลง นั่นก็หมายความว่าเบาะแสทั้งหมดจะสิ้นสุดลงเท่านี้หรือ
นางอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปทางอวี้จิ่น
บัดนี้สีหน้าของอวี้จิ่นไม่ได้เผยถึงความรู้สึกใดๆ มองไปไม่พบความผิดปกติแม้แต่น้อย
ฮองเฮาแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้น ออกแรงกุมมือฝูชิงเอาไว้
“เรื่องนี้ทำให้เสด็จแม่ต้องตกพระทัย เป็นเพราะความผิดของลูกเอง หากลูกสืบพบเรื่องของบ่าวรับใช้ทรยศผู้นี้ก่อนหน้า ก็คงจะไม่เกิดเรื่องราวดังเช่นในวันนี้ขึ้นมา” จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้แต่กล่าวเอ่ยโทษตนเอง
ทางด้านของพานไห่ แม้จะสืบพบความผิดปกติของผิงกูกู่ แต่เห็นแก่พระพักตร์ของไทเฮา ประกอบกับไม่อยากตีพงหญ้าให้บรรดางูแตกตื่น จึงตั้งใจว่าจะแอบสืบอย่างลับๆ เช่นกัน ผู้ใดจะรู้เล่าว่าผิงกูกู่เพียงแค่ถูกแอบสืบถามข้อมูลเล็กน้อย ก็ได้ตัดสินใจจบชีวิตตนลง…
ความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจปรากฏขึ้นต่อจิ่งหมิงฮ่องเต้
ศัตรูช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน ทำให้เขาลงมือได้ยากหนักหนา แม้คิดว่าวางแผนได้ดีแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีพอ
เมื่อพบว่าพระพักตร์ของไทเฮาดูย่ำแย่ จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า
“เสด็จแม่โปรดพักผ่อนเถิด เรื่องของผิงกูกู่ ลูกจะจัดการให้อย่างเหมาะสม”
ไทเฮาพยักหน้าเล็กน้อย นางเอื้อมมือไปกุมมือของจิ่งหมิงฮ่องเต้เอาไว้ “จะต้องหาสาเหตุว่าผิงกูกู่ทำร้ายฝูชิงเพราะเหตุใดออกมาให้ได้ มิเช่นนั้นแม่คงไม่สามารถวางใจ”
“เสด็จแม่วางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะต้องสืบหาข้อมูลจนพบอย่างแน่นอน”
หลังจากที่ปลอบโยนไทเฮาเรียบร้อยแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้ขยิบสายตาไปให้ฮองเฮา ทั้งสองเดินทางออกมาจากห้องบรรทมของไทเฮาในเวลาพร้อมเพรียงกัน
เหล่าหมอหลวงที่ยืนรออยู่ด้านนอกเห็นทั้งสองคนเดินออกมาก็ได้รีบพากันคารวะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นโบกด้วยท่าทางไร้ความอดทน “อาการของไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงก้มหน้าลงแล้วตอบว่า “ทูลฝ่าบาท ไทเฮาเป็นลมหมดสติไปเพราะตกใจสุดขีด…กระหม่อมได้ให้ยาบำรุงพระวรกายแล้ว เพียงแค่ดื่มสักสองสามมื้อก็คงดีขึ้น เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่ว่าอะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบเอ่ยถาม
“เพียงแต่ว่าไทเฮาทรงมีพระชนม์มายุมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความดีใจ เศร้าโศกหรือตื่นเต้นโมโหเกินขีดจำกัดล้วนเป็นข้อห้าม ทางที่ดีควรจะรักษาจิตใจให้อยู่ในความสงบ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าช้าๆ “ข้าเข้าใจแล้ว หมอหลวงให้การรักษาไทเฮาอย่างดีที่สุดเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หมอหลวงยกมือขึ้นคารวะแล้วถอยไปอยู่ด้านข้าง
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปพยักหน้าให้กับฮองเฮาเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองก็เดินออกมาจากตำหนักฉือหนิง
ขณะนั้นเป็นเวลากลางวันพอดี แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิยังไม่ร้อนแรงเท่าไรนัก สาดส่องมาบนเรือนร่างช่างอบอุ่น ทว่าความรู้สึกในใจกลับดูหนักอึ้ง
“ฝ่าบาทจะเสด็จกลับไปที่ตำหนักคุนหนิงเพื่อเสวยอาหารต่อหรือไม่เพคะ” ฮองเฮาเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
มื้ออาหารที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาครั้งนี้ ยังไม่ทันได้กินจนเสร็จสิ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ข้าขอกลับไปที่ตำหนักหย่างซินก่อน”
ขณะที่กล่าว เขาได้หันไปเหลือบมองดูอวี้จิ่นและเจียงซื่อ ถอนหายใจออกมาว่า “พวกเจ้าทั้งสองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
ในเมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสเช่นนั้นแล้ว ทั้งอวี้จิ่นและเจียงซื่อจะกล้าเดินทางกลับไปยังตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้อย่างไร แน่นอนว่าทั้งสองจะต้องรีบเดินทางออกจากพระราชวังแห่งนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับไปยังตำหนักหย่างซินของตนด้วยความรู้สึกอันหนักอึ้งในใจ
เจ้าแมวตัวอ้วนท่วมตัวหนึ่งเดินเข้ามาเฉียดขาของเขา มันถูกเขาเอื้อมมือมาจับเอาไว้แล้ววางลงบนหน้าตัก ก่อนจะลูบไล้ไปที่ขนของมันเป็นระยะๆ
เจ้าแมวอ้วนต่อต้านอยู่สองสามหน ดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ว่าในวันนี้อารมณ์ของเจ้านายไม่ค่อยสู้ดีนัก ดังนั้นมันจึงได้หลับตาลงแล้วปล่อยตามใจเขา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบไล้ไปที่คนของจี๋เสียง ในที่สุดเขาก็ตะโกนขึ้นว่า “พานไห่!”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ไปสืบเรื่องของผิงกูกู่มา จำไว้ว่าอย่าทำให้ไทเฮารู้สึกลำบากใจ”
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ใช้มือเคาะไปที่ศีรษะของจี๋เสียงโดยไม่รู้ตัว
เหตุใดผิงกูกู่จึงต้องทำร้ายฝูชิงด้วย เป็นความต้องการของนางเอง หรือเบื้องหลังมีใครบางคนสั่งให้นางทำเช่นนั้น
หากว่ามีผู้บงการอยู่เบื้องหลังจริง คนผู้นั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับตั่วหมัวมัว หรือบางทีผู้ที่อยู่เบื้องหลังของผิงกูกู่แท้จริงแล้วก็คือตั่วหมัวมัวที่ตายไปก่อนหน้านี้ การที่ผิงกูกู่ลงมือจัดการกับฝูชิง เพียงเพื่อทำให้ความปรารถนาของตั่วหมัวมัวเป็นจริง…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงแมวร้องขึ้น จึงได้ก้มศีรษะพบว่าเจ้าจี๋เสียงกำลังดิ้นรนจะออกจากอ้อมกอดเขา ในที่สุดมันก็ไม่อาจทนได้แล้วกระโดดลงจากหน้าต่างวิ่งหนีไปไกล
เจ้าแมวอ้วนที่วิ่งหนีออกไปไกลตัวนั้นหันกลับมาขู่จิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงอันดัง
หากเจ้านายของมันยังคงเคาะหัวมันต่อไปเช่นนี้คงจะเวียนหัวตายอย่างแน่นอน
มนุษย์นั้นได้คืบจะเอาศอกเสียจริงเชียว มันประมาทจนเกินไป
จี๋เสียงร้องเหมียวๆ ออกมาด้วยความโมโหอีกสองสามหน จากนั้นมันก็วิ่งหายไปในชั่วพริบตา
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างแล้วส่ายหน้า
แย่ล่ะสิ เมื่อครู่เขาไม่ทันได้ระวังตน คิดว่าศีรษะของเจ้าจี๋เสียงคือหินที่วางอยู่บนโต๊ะเสียอีก…ดูเหมือนว่าในอนาคตเขาอยากจะทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถทำได้แล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาหันไปจ้องมองพานไห่ “ยังไม่รีบไปอีกหรือ!”
ขันทีชราเมื่อถูกหันมาตำมิก็กลอกตามองบนแล้วเดินออกไปข้างนอก เขาพึมพำในใจด้วยความโมโหว่า ตนรับใช้ฮ่องเต้มาเนิ่นนานหลายสิบปี กลับถูกแมวเพียงตัวหนึ่งเอาชนะได้ง่ายๆ เสียอย่างนี้ เขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเล่า
เมื่อกลับไปถึงตำหนักคุนหนิง ดูเหมือนว่าอารมณ์ของฮองเฮาก็ไม่สู้ดีนัก
ผิงกูกู่มาจบชีวิตลงเช่นนี้ เรื่องที่ฝูชิงประสบในหอเซวียนเต๋อเกรงว่าจะต้องหยุดชะงักลง ไม่อาจหาเบาะแสคืบหน้าได้
ส่วนองค์หญิงฝูชิงบัดนี้ก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน
เมื่อสังเกตเห็นได้ว่าธิดาของตนดูผิดปกติไป ฮองเฮาจึงลูบไล้ไปที่ศีรษะของนาง “กำลังคิดสิ่งใดอยู่งั้นหรือ”
องค์หญิงฝูชิงกระซิบเบาๆ ว่า “เรื่องที่เสด็จย่าเป็นลมหมดสติไปในวันนี้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะเรื่องของลูก…”
“เจ้าเด็กโง่ อย่าได้โทษตัวเองไปเลย เรื่องที่เกิดกับเจ้าเหล่านั้นแท้จริงแล้วทุกคนล้วนมุ่งเป้าหมายมาที่แม่และเสด็จพ่อของลูก…เอาล่ะกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เมื่อองค์หญิงฝูชิงเดินทางออกไปแล้ว ฮองเฮาจึงได้ทำสีหน้าเย็นชา รับสั่งให้คนไปเรียกองค์หญิงสิบสี่มาเข้าเฝ้า