ผ่านไปไม่นานองค์หญิงสิบสี่ก็เดินทางมาถึง นางทำการคารวะฮองเฮาตามระเบียบทุกประการ
ฮองเฮาเหลือบมององค์หญิงสิบสี่และไม่ได้ตรัสสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
องค์หญิงสิบสี่ดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย นางกระซิบถามด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า “ไม่ทราบว่าเสด็จแม่เรียกลูกมา เพราะเรื่องอันใดหรือเพคะ”
“เรื่องในวันเทศกาลซั่งหยวน เจ้าได้เล่าให้ไทเฮาฟังแล้วงั้นหรือ”
องค์หญิงสิบสี่ได้แต่ตกตะลึง
สายตาของฮองเฮาเยือกเย็นลงเล็กน้อย น้ำเสียงของนางสื่อถึงการตักเตือน “ไทเฮาทรงพระชนมายุมากแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าอย่าได้เอ่ยมากความต่อหน้าท่าน หากว่าไทเฮาเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ ไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่อาจรับผิดชอบในสิ่งนี้ได้”
องค์หญิงสิบสี่ก้มศีรษะลงแล้วกระซิบถามว่า “เสด็จแม่ ฟังสิ่งนี้มาจากเสด็จย่าหรือเพคะ”
ฮองเฮาตอบรับว่า “อืม” เบาๆ
องค์หญิงสิบสี่นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะคุกเข่าลงเล็กน้อย “ลูกเข้าใจแล้วเพคะ”
เมื่อฮองเฮาเห็นท่าทางขององค์หญิงสิบสี่ นางก็ไม่อาจตำหนิออกไปได้อีก
เจ้าสิบสี่เป็นเด็กเฉลียวฉลาด นางตำหนิเพียงเท่านี้ก็พอ หากตำหนิมากกว่านี้คนอื่นอาจจะคิดว่านางเป็นฮองเฮาที่มีจิตใจคับแคบ
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“ลูกขอทูลลา” หลังเดินทางออกจากตำหนักคุนหนิง องค์หญิงสิบสี่ก็เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่ดูลอยต่ำลงมา หัวใจของนางยังคงตกอยู่ในความตะลึง
เสด็จย่าบอกกับเสด็จแม่ว่านางเป็นคนบอกถึงเรื่องของพี่สิบสามที่เกิดขึ้นในวันเทศกาลซั่งหยวน เหตุใดสมเด็จย่าจึงได้กล่าวเช่นนั้น…
องค์หญิงสิบสี่หยุดฝีเท้าลงแล้วชำเลืองมองไปทางตำหนักฉือหนิง
เกิดอะไรขึ้นกับเสด็จย่าในวันนี้
นอกเสียจากว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น มิเช่นนั้นเสด็จแม่ผู้มีกิริยาท่าทางอันสงบเสงี่ยม คงจะไม่จงใจเรียกให้นางเข้าไปที่ตำหนักคุนหนิงเพื่อตำหนินาง
องค์หญิงสิบสี่กัดริมฝีปากของตนแล้วเดินทางไปหาองค์หญิงฝูชิง
องค์หญิงฝูชิงกำลังยืนพิงอยู่ที่หน้าต่างด้วยความ ต่อมาได้ยินนางในเข้ามารายงานว่าองค์หญิงสิบสี่เดินทางเข้ามาพบ
“เชิญนางเข้ามา” องค์หญิงฝูชิงจัดแจงเสื้อผ้าของตนแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับ
องค์หญิงสิบสี่ก้าวเข้าไปข้างหน้า ร่างกายอันเพรียวบางของนาง บัดนี้ฝีเท้ากลับดูหนักอึ้งกว่าเดิมเล็กน้อย
องค์หญิงฝูชิงหยุดฝีเท้าของตนลงแล้วเอ่ยถามว่า “น้องสิบสี่มีเรื่องไม่สบายใจอย่างงั้นหรือ”
ดวงตาของนางบอดสนิททั้งสองข้างมาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายปี นางจึงใช้หูทั้งคู่จำแนกทุกเสียงบนโลกใบนี้เป็นการชดเชยดวงตา ด้วยเหตุนี้นี้เอง น้ำเสียงใดก็ตามที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยนางล้วนสัมผัสได้
องค์หญิงสิบสี่ยิ้มให้องค์หญิงฝูชิง “ไม่มีเรื่องใดหรอกเพคะ เพียงแค่รู้สึกเบื่อและเหงาจึงได้มาหาพี่สิบสามสนทนาแก้เบื่อ”
สายตาเหลือบมองไปยังนางในที่ยืนรับใช้อยู่ข้างกาย องค์หญิงฝูชิงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก นางเข้าไปจูงแขนองค์หญิงสิบสี่แล้วเข้าไปด้านในห้อง ในไม่ช้านางในก็นำน้ำชาเข้ามาต้อนรับ
องค์หญิงฝูชิงยกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วยื่นให้องค์หญิงสิบสี่ ส่วนตัวนางเองก็หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาไว้ในมือเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด”
องค์หญิงทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีงามต่อกันและมักจะเดินทางมาอยู่ร่วมสนทนากันเป็นประจำ ดังนั้นนางในทั้งหลายจึงไม่ได้สงสัยและพากันออกไปรอด้านนอก
องค์หญิงฝูชิงมองไปที่องค์หญิงสิบสี่แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “น้องสิบสี่มีเรื่องใดอย่างนั้นหรือ”
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ตอนที่พี่เจ็ดและพี่สะใภ้เจ็ดเดินทางมา นางไม่ได้เป็นเช่นนี้
องค์หญิงสิบสี่รู้ดีว่าสถานะตัวตนขององค์หญิงฝูชิงสูงส่งเพียงไร ถึงกระนั้นนางก็ยังคงเอาใจใส่ดูแลคนรอบข้างอยู่เสมอ ไม่เคยเพิกเฉยต่อความรู้สึกของผู้อื่น นางจึงได้ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เดิมทีข้ากำลังปักลายฉากกั้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกเข็มแทงเข้าที่นิ้วมือ เมื่อรู้สึกตื่นตระหนกจึงไม่รู้จะทำเช่นไร ทำได้เพียงเดินทางมาหาพี่สิบสามเท่านั้น”
วันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาใกล้จะมาถึงแล้ว องค์หญิงทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่าคนหนึ่งจะปักฉากกั้นลมเป็นคำว่า ‘ว่านโซ่ว’ ซึ่งหมายถึงอายุยืนหมื่นปี และอีกคนหนึ่งปักเป็นคำว่า ‘ว่านฝู’ ซึ่งหมายถึงมีความสุขนับหมื่นปี ทั้งสองจะนำมันมาเข้าคู่กันแล้วมอบเป็นของขวัญให้แก่ไทเฮา องค์หญิงสิบสี่เป็นผู้รับผิดชอบปักคำว่าว่านฝู
ตอนที่ฮองเฮาส่งคนให้ไปเรียกนาง ในตอนนั้นนางกำลังปักตัวอักษรคำว่าฝู เมื่อได้ยินว่าคนจากตำหนักคุนหนิงเดินทางมาก็ตกใจเสียจนถูกเข็มทิ่มนิ้วมือ
เยี่ยนอ๋องและพระชายาเดินทางมาร่วมรับประทานมื้อกลางวันกับเสด็จแม่ จู่ๆ เสด็จแม่ก็ส่งคนให้มาเรียกนางไป จะต้องเกิดเรื่องอย่างแน่นอน
ฝูชิงกุมมือขององค์หญิงสิบสี่และพบว่านิ้วของนางมีรอยรูเล็กๆ ที่ถูกเข็มทิ่มแทงอยู่จริง จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่ระมัดระวังเช่นนี้”
“พี่สิบสาม วันพรุ่งนี้พวกเราเดินทางไปคารวะเสด็จย่ากันเถิด” องค์หญิงสิบสี่ใช้เหตุผลจากเรื่องเมื่อครู่ที่เล่ามา แสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงกังวลไทเฮา ดังนั้นองค์หญิงฝูชิงจึงไม่ได้เกิดความสงสัยใดๆ
องค์หญิงฝูชิงฝืนยิ้มออกมา “ไม่รู้ว่าบัดนี้เสด็จย่าจะมีอารมณ์อยากพบพวกเราหรือไม่”
องค์หญิงสิบสี่รีบเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า “เสด็จย่าเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ”
เนื่องจากเรื่องที่หอเซวียนเต๋อ องค์หญิงสิบสี่ก็อยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นองค์หญิงฝูชิงจึงไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนาง ก่อนจะเล่าเรื่องของผิงกูกู่คร่าวๆ แล้วถอนหายใจว่า “เป็นเพราะเรื่องของข้า ไม่เพียงทำให้เสด็จพ่อต้องกังวล เสด็จแม่ก็ทรงกังวลด้วย อีกทั้งบัดนี้ทำให้เสด็จย่าเป็นห่วง ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก…”
“พี่สิบสามอย่าได้คิดเช่นนั้นเลย แท้จริงแล้วพี่ไม่ได้ทำให้ใครไม่พึงพอใจ ทุกคนที่เข้ามาจัดการกับพี่ล้วนมีจุดประสงค์ลึกซึ้งอย่างอื่น เรื่องเหล่านี้ พี่ไม่ได้เป็นคนก่อขึ้น ดังนั้นพี่จึงนับว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุด”
องค์หญิงฝูชิงถอนหายใจออกมาเบาๆ “หวังว่าเสด็จพ่อจะสามารถหาตัวผู้ก่อเหตุได้ในเร็ววัน มิเช่นนั้นทุกคนคงจะไม่อาจอยู่ได้อย่างสงบ”
องค์หญิงสิบสี่พยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งสองคนสนทนากันอยู่สักพัก จากนั้นองค์หญิงสิบสี่ก็เดินทางกลับมาที่ห้องนอนของตนแล้วนั่งลงบนเตียง จิตใจของนางดูสับสน
เสด็จย่ารู้เรื่องที่เกิดขึ้น ณ หอเซวียนเต๋อในวันเทศกาลซั่งหยวนแล้ว และได้บอกกับเสด็จพ่อว่านางเป็นคนเล่าให้ฟัง แต่นางไม่เคยเอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
เห็นได้ชัดว่าเสด็จย่ามีแหล่งข้อมูลจากที่อื่น ซึ่งยากที่จะนำมากล่าวต่อหน้าผู้คนได้ ดังนั้นจึงได้ผลักเรื่องนี้มาที่นาง
เมื่อคิดได้ดังนี้องค์หญิงสิบสี่ก็อดไม่ได้ที่จะเผยอยิ้มขึ้นด้วยความขมขื่นใจ
เสด็จย่ามั่นใจว่านางจะไม่บอกเรื่องนี้กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่างแน่นอน นางคงทำได้เพียงกัดฟันแล้วกลืนคำพูดทุกสิ่งอย่างลงไป
นางเป็นเพียงแค่คนธรรมดาต่ำต้อย จะให้นางไปทูลกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ว่าเสด็จย่าโกหกอย่างงั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้
องค์หญิงสิบสี่หลับตาลง ภาพของเสด็จย่าปรากฏขึ้นในใจ
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียว จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจว่า เสด็จย่าจะเป็นคนที่มีจิตใจงดงามอ่อนโยนดั่งที่เห็นผิวเผินนั้นหรือไม่
แม้แต่พี่สิบสามก็ยังไม่รู้ ในครานั้นนางเป็นคนซึ่งถูกใช้เป็นเหยื่อล่อให้ตั่วหมัวมัวก้าวออกมา แม้นางจะไม่รู้ว่าตั่วหมัวมัวทำสิ่งชั่วร้ายมากมายเพียงใด แต่เมื่อทำให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ให้ความสำคัญได้มากเพียงนี้เห็นได้ชัดว่าตั่วหมัวมัวไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น
ตั่วหมัวมัวเป็นคนจากตำหนักฉือหนิง ผิงกูกู่ก็เป็นคนจากตำหนักฉือหนิงด้วยเช่นกัน ที่ตำหนักฉือหนิงเกิดปัญหาวุ่นวายปรากฏให้เห็นติดๆ กัน ท่ามกลางความเงียบสงบในที่แห่งนั้น แท้จริงแล้วสงบดั่งที่เป็นหรือไม่
เสด็จย่าผู้ที่ดูนิ่งเงียบไม่ชอบโต้แย้งกับใคร นางจะไม่รู้เรื่องราวจริงอย่างนั้นหรือ
องค์หญิงสิบสี่ส่ายหน้าเบาๆ
จิตใจผู้คนยากแท้หยั่งถึง ภายในพระราชวังอันเย็นเยือกแห่งนี้นอกจากพี่สิบสามที่บริสุทธิ์จริงใจ นางไม่อาจเชื่อใครได้อีกเลย
หากว่าเสด็จย่าไม่ได้ดูใจดีดังที่เห็น แต่กลับเป็นผู้ที่ต้องการจะทำร้ายพี่สิบสาม จะเป็นไปได้หรือไม่
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ องค์หญิงสิบสี่หัวใจก็ราวกับหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ราวกับว่านางกำลังตกลงไปอยู่ในขุมนรกอันลึกไร้ที่สิ้นสุด นางกลัวเสียจนตัวสั่นร่างกายเย็นชา แม้แต่เลือดก็แทบกลายเป็นน้ำแข็ง
นางกลัวมากจริงๆ
มีดดาบในพระราชวังไม่เคยได้เห็นเลือด และคมดาบที่พุ่งแทงเหล่านั้นมักจะมาจากบรรดาผู้ใกล้ชิด
ทำอย่างไรดีเล่า นางควรจะเอ่ยเตือนเสด็จพ่อและเสด็จแม่หรือไม่
องค์หญิงสิบสี่นั่งไม่ติด ท่าทางกระสับกระส่าย หัวใจของนางร้อนรุ่มดั่งถูกทอดอยู่ในกระทะน้ำมัน
ท้ายที่สุดแล้วนางก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดนี้
บัดนี้นางไม่มีหลักฐาน จะให้วิ่งไปบอกกับเสด็จพ่อคาดว่านอกจากการถูกตำหนิ อีกทั้งไม่ได้สิ่งใดตอบแทนกลับมา
ส่วนทางเสด็จแม่ นางก็ไม่กล้าเสี่ยงเช่นกัน
เมื่อคิดไปคิดมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ องค์หญิงสิบสี่ก็ตัดสินใจอย่างลับๆ ว่า ช่างเถิด นับแต่นี้ไปเวลาที่นางเดินทางไปตำหนักฉือหนิงกับพี่สิบสาม นางจะต้องคอยระแวดระวังเอาไว้ อย่างน้อยก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพี่สิบสาม
ตอนที่อวี้จิ่นและเจียงซื่อกลับมาถึงจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว พบว่าอาฮวนยังคงไม่ตื่นจากการนอนหลับกลางวัน
สุนัขตัวโตตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างเตียงทารก เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวมันจึงมองไปรอบๆ หลังจากพบว่าเป็นเจ้านายมันเดินตรงเข้ามาจึงได้รีบวิ่งเข้าไปดมมือของเจียงซื่อเป็นการทักทายร้องขอรางวัล
ในวันนี้มันเป็นคนกล่อมเจ้านายตัวน้อยนอนหลับด้วยตนเอง
เจียงซื่อสัมผัสไปที่หัวของเจ้าสุนัขตัวโต แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าอยู่เป็นเพื่อนอาฮวนต่อเถิด” ทั้งสองคนเดินทางออกมาจากห้องทางด้านข้าง แล้วเข้าไปสนทนากันต่อในห้อง
อวี้จิ่นยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด กลยุทธ์การป้องกันตนเองของไทเฮาเช่นนี้ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว”