หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาเพียงแค่รู้สึกสงสัยในตัวของไทเฮา ทว่าบัดนี้อวี้จิ่นสามารถตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับไทเฮาแน่นอน
ในตอนแรกคือตั่วหมัวมัว จากนั้นก็ผิงกูกู่ ตำหนักฉือหนิงเกิดเรื่องปัญหาขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากว่าไทเฮามองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นจริง ก็คงจะไม่มีวันนี้
แม้ว่าไทเฮาจะอภิเษกสมรสเข้ามาในราชวงศ์ในฐานะพระชายาองค์รัชทายาท แต่นับจากอดีตจนปัจจุบัน มีกี่คนกันเล่าที่ได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท จากนั้นกลายมาเป็นฮองเฮาและในที่สุดก็ได้เลื่อนมาเป็นไทเฮา
ในบ่อโคลนเช่นราชวงศ์เหล่านี้ บางคนที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วอาจไม่ใช่เรื่องดี สิ่งเหล่านั้นกลับเป็นเครื่องหมายในการเอาชีวิตตน
การที่ไทเฮาสามารถอยู่อย่างมั่นคงและสงบสุขปลอดภัยมาได้จวบจนปัจจุบันโดยไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด นางรับเลี้ยงจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นบุตรบุญธรรม นางรับเลี้ยงองค์หญิงใหญ่หรงหยางเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย นางมีทั้งโอรสและธิดา ช่างมีเกียรติยิ่งนัก
สตรีเช่นนี้จะหูหนวกตาบอดได้อย่างไร
อวี้จิ่นไม่อาจเชื่อได้เลย
ในมุมมองของเขา มีเพียงจิ่งหมิงฮ่องเต้เท่านั้นที่ไร้เดียงสา เนื่องจากถูกบุญคุณที่อ้างว่าเป็นความรักของแม่ต่อลูกบดบังตาเอาไว้
ไทเฮาช่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก เมื่อพบความผิดปกติของผิงกูกู่ก็ได้หักแขนตนทิ้งเสียก่อน ทำให้การสอบสวนที่ตามมาต้องหยุดชะงัก และยังทำให้ตัวเองกลายเป็นหนึ่งในเหยื่อเพื่อให้ไม่ถูกสงสัย อีกทั้งทำให้เสด็จพ่อรู้สึกผิด…
เจียงซื่อพยักหน้า “การที่จะเป็นไทเฮาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จากเหตุการณ์นี้คาดว่าในระยะเวลาสั้นๆ เสด็จพ่อคงจะไม่เกิดความสงสัยต่อไทเฮาอย่างแน่นอน” หลักฐานไม่ได้สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือผู้ที่อยู่เบื้องบนจะสงสัยหรือยินยอมเชื่อหรือไม่ต่างหาก
อวี้จิ่นวางแก้วน้ำชาลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หากรีบร้อนจะไม่อาจกินเต้าหู้ได้ ไทเฮาไม่ใช่ผู้ที่จะล้มล้างได้ภายในวันสองวัน แต่ในเมื่อหางจิ้งจอกนั้นได้โผล่ออกมาแล้ว ท้ายที่สุดยิ่งทำก็ยิ่งผิด… อนาคตยังอีกยาวไกล”
เจียงซื่อครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าข้าควรจะเดินทางไปที่จวนอี๋หนิงโหวสักหน่อย เพื่อพยายามหาเบาะแสจากท่านยายของข้า”
เรื่องราวในอดีตก็เหมือนควัน มีความลับมากมายถูกฝังไว้อยู่ในสายน้ำ วิธีที่ดีที่สุดนั่นก็คือไปสอบถามผู้ที่รู้เรื่องและอยู่ในเหตุการณ์
“อืม ไว้ค่อยไปกันวันหลัง”
บัดนี้อวี้จิ่นเพิ่งจะได้ขึ้นเป็นโอรสของฮองเฮา หากจะให้เดินทางไปเยี่ยมญาติในเร็ววันนี้คงไม่เหมาะสมนัก
สองสามีภรรยารู้สึกเหนื่อยล้ามาทั้งวัน หลังจากจัดแจงทำความสะอาดเก็บกวาดแล้วจึงได้พักผ่อน
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว หนึ่งวันนั้นก็ได้ผ่านพ้นไป
เรื่องที่พระวรกายของไทเฮาเกิดไม่สบายขึ้นนั้นได้เผยแพร่ไปทั้งในและนอกพระราชวัง ฉีอ๋องรวมทั้งคนอื่นๆ จึงได้ใช้โอกาสนี้ในการเดินทางเข้ามาในพระราชวัง และไปเยี่ยมเยียนสอบถามอาการของไทเฮาจากมารดาของตน
สิ่งที่พวกเขาต้องการรู้นั้น แท้จริงคือเรื่องที่อวี้จิ่นกลายเป็นโอรสของฮองเฮานั่นเอง
หลู่อ๋องยกมือขึ้นตบไปที่หน้าอกของตนแล้วกล่าวอย่างเกรงกลัวว่า “เสด็จแม่ โชคดีเหลือเกินที่ท่านมีโอรสเพียงแค่คนเดียว มิเช่นนั้นเมื่อตื่นขึ้น พบว่าน้องชายของลูกกลายเป็นบุตรของคนอื่นแล้ว เสด็จแม่ว่าจะทำเช่นไรเล่า”
“จะทำเช่นไรหรือ” หนิงเฟยที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลทหาร นางยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา คิ้วของนางดูหนาดวงตาสดใส มือตบไปที่โต๊ะทำให้ถ้วยน้ำชากระเด็นกระดอนขึ้นมา ก่อนจะกลิ้งตกลงแตกกระจัดกระจาย
เมื่อมองดูถ้วยน้ำชาที่แตกร้าว หลู่อ๋องก็กะพริบตา และรู้สึกว่าความหวาดกลัวของตนเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเอาเสียเลย
เมื่อตอนที่ภรรยาของเขานำมือแตะไปที่มีดทำครัว เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปกอดนาง คาดว่าเวลานี้ความรู้สึกของเสด็จพ่อและเขาคงไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ในใจของหลู่อ๋องก็สะดุ้งแล้วยิ้มออกมาแหะๆ “เสด็จแม่ ลูกขอร้องเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
“เจ้าลองว่ามา” หนิงเฟยกล่าว
การที่จู่ๆ ฮองเฮารับเยี่ยนอ๋องไว้เป็นโอรสของตน แม้จะไม่มีผลกระทบต่อนางเท่าไรนัก ทว่าท้ายที่สุดแล้วนางก็รู้สึกไม่ยินดี
เนื่องจากตามปกติแล้วทุกคนล้วนเห็นว่าฮ่องเต้เป็นคนที่กระทำการใดไม่รีบร้อน บัดนี้จู่ๆ กลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
ครานี้เมื่อเยี่ยนอ๋องถูกรับไว้เป็นโอรสของฮองเฮา ใครจะรู้ได้เล่าว่าอาจเกิดเรื่องใดต่อไป
เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ หนิงเฟยจะมีอารมณ์ดีได้อย่างไรเล่า หากหนิงเฟยยังอารมณ์ดีก็คงแปลก
“เสด็จแม่ บัดนี้เล่อเกอเอ๋อร์ก็เติบโตมากแล้ว ไม่แน่ว่าในท้องของสะใภ้ท่านอาจมีหลานชายหรือหลานสาวอยู่ก็ได้ หากจะให้ลูกเป็นเพียงจวิ้นอ๋องตลอดไปก็คงไม่ดีนัก…”
หนิงเฟยจ้องมองไปที่บุตรชายของตน ใบหน้านางกึ่งยิ้มแล้วถามว่า “แล้วอย่างไรเล่า”
หลู่อ๋องยิ้มขึ้นด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า “ดังนั้นเสด็จแม่โปรดช่วยเอ่ยชมลูกต่อหน้าเสด็จพ่อสักสองสามประโยค ให้เสด็จพ่อเลื่อนตำแหน่งให้ลูกสักหน่อย ไม่ต้องสูงส่งมากมายเพียงแค่ชินอ๋องก็พอแล้ว…”
หนิงเฟยชี้นิ้วไปที่ประตู “ไสหัวออกไปเสีย”
“เสด็จแม่!” หลู่อ๋องลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางอันน่าสงสาร
นางเป็นมารดาของเขา ไม่เพียงแต่จะไม่ตกลงช่วยเหลืออีกทั้งยังทำท่าทางปฏิเสธอย่างเยือกเย็นเช่นนี้ ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ
หนิงเฟยไม่สนใจความคิดของลูกชายอันโง่เง่า นิ้วมือเรียวงามของนางชี้ไปที่ประตูอีกครั้ง
สายตาของเขาเหลือบมองไปยังถ้วยน้ำชาที่แตกกระจายบนพื้นบัดนี้ยังไม่ได้ถูกเก็บกวาด หลู่อ๋องจึงทำได้เพียงเดินออกไปข้างนอก
ผ้าม่านลายดอกไม้ซึ่งถูกเปลี่ยนเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้สั่นไหวไปมา หนิงเฟยละสายตากลับมาแล้วถอนหายใจเล็กน้อย
คนเราล้วนมีแรงบันดาลใจอยากจะก้าวหน้า นางให้กำเนิดองค์ชายและได้เลื่อนขั้นไปเป็นหนิงเฟย แน่นอนว่านางก็คาดหวังจะได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แต่เมื่อบุตรชายของนางเติบโตมากขึ้น นางก็ได้ตัดสินใจอยู่อย่างสงบและใช้ชีวิตอย่างราบรื่น
หากจะให้บุตรชายเข้าแย่งชิงต่อสู้เพื่อตำแหน่งนั้น ก็เท่ากับบีบบังคับให้บุตรชายของตนต้องถึงแก่ความตาย นางมีเพียงบุตรชายคนเดียวเท่านั้น และนางคาดหวังว่าบุตรชายของตนจะสามารถพานางออกไปใช้ชีวิตด้านนอกอย่างสุขสบายในอนาคต นางจะคิดสั้นเช่นนั้นได้อย่างไร การที่เป็นจวิ้นอ๋องท่ามกลางสถานการณ์อันยุ่งเหยิง ณ บัดนี้นับได้ว่าเป็นเครื่องรางป้องกันที่ดีทีเดียว
นางคาดหวังเพียงให้บุตรชายของตนมีแต่ความสงบสุข มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง
หนิงเฟยคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้ความรู้สึกของนางดูแย่ลง นางยกขาขึ้นแล้วเตะแก้วน้ำชาที่เหลือเพียงเศษก้นกระเด็นไกลออกไปก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้อง
ทางด้านของจวงเฟยกลับกลายเป็นภาพอีกฉากหนึ่ง
สู่อ๋องเดินทางเข้าวังเร็วกว่าหลู่อ๋องเล็กน้อย บัดนี้เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับจวงเฟยดื่มน้ำชากันอย่างเงียบๆ
“ท้องของภรรยาเจ้า ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดเลยงั้นหรือ” จวงเฟยเป่าน้ำชาแล้วจิบเข้าไปอึกหนึ่ง
เพื่อให้แม่ลูกสามารถสนทนากันได้อย่างสะดวก ดังนั้นสู่อ๋องจึงไม่ได้พาพระชายาของตนเดินทางเข้าวังมาด้วย เมื่อเขาได้ยินประโยคเมื่อครู่ สีหน้าท่าทางก็ดูมืดมนลงเล็กน้อย
จวงเฟยเห็นท่าทางดังนั้นจึงได้เอ่ยเกลี้ยกล่อมว่าปลอบใจว่า “พวกเจ้าอายุยังน้อย ไม่ต้องรีบร้อนไป”
“แม้ว่าลูกจะไม่รีบร้อน แต่คาดว่ามีใครบางคนรีบร้อนกว่าลูกแล้ว”
จวงเฟยวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะแล้วยิ้มขึ้น “เจ้าหมายถึงฉีอ๋องหรือเยี่ยนอ๋องเล่า”
สู่อ๋องนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วตอบกลับว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ลูกเห็นเพียงเจ้าสี่ที่เป็นศัตรู คาดไม่ถึงจริงว่าเมื่อดำเนินมาได้ครึ่งทางแล้วเจ้าเจ็ดจะเข้ามาแทรกแซง อีกทั้งไม่ทันได้ป้องกันระมัดระวังพวกเขา”
จวงเฟยยิ้มขึ้นแล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อพวกเราตั้งตัวไม่ทัน ดังนั้นก็ใจเย็นๆ ก่อนเถิด”
“เสด็จแม่ ท่านหมายความว่า…”
จวงเฟยยกมือข้างหนึ่งขึ้นทัดลูกผมไปด้านหลังใบหู รอยยิ้มจางๆ ของนางปรากฏขึ้นที่มุมปาก “หากไม่ใช่เพราะว่าไทเฮาทรงพระวรกายไม่แข็งแรง แม่ตั้งใจว่าจะหาโอกาสสนทนากับเจ้า การที่ลูกและฉีอ๋องเผชิญหน้ากัน เจ้าไม่ใช่ทายาทสายตรง และไม่ได้มีอายุมากกว่า สิ่งนี้นับว่าเจ้าเสียเปรียบมากแล้ว สิ่งที่เจ้ามีเพียงความชื่นชอบพออกพอใจของฮ่องเต้ และรากฐานของตาทวดของเจ้าที่แผ่ขยายไปทั่ว แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้สำคัญเลย หากเทียบกันกับกฎเกณฑ์แล้ว…”
“เสด็จแม่…”
จวงเฟยถอนหายใจออกมา “เจ้าฟังแม่พูดให้จบเสียก่อน”
“ในอดีต การแต่งตั้งองค์รัชทายาทด้วยความรักของฝ่าบาทใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน แต่หลักการเช่นนี้ไม่สามารถคาดหวังอะไรได้ต่อจิ่งหมิงฮ่องเต้”
แน่นอนว่าเมื่อบุตรชายเติบใหญ่ และเขามีความคิดอยากจะเข้าไปแย่งชิงตำแหน่งนั้น ในฐานะมารดาก็ควรที่จะสนับสนุนอย่างถึงที่สุด ช่วยเหลือก็ส่วนช่วยเหลือ บัดนี้เมื่อเห็นสิ่งต่างๆ ตรงหน้า นางคิดว่าสมควรจะชะลอตัวลงก่อนก็ควรทำเช่นนั้น
“บัดนี้เยี่ยนอ๋องได้กลายไปเป็นโอรสของฮองเฮาแล้ว แม้จะไม่ใช่ฮองเฮาที่เป็นผู้ให้กำเนิด แต่ก็นับว่าเขามีความแข็งแกร่งไม่น้อย อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้สืบทอดสายตรง แม้จะไม่เต็มร้อยก็ตาม ในบรรดาขุนนางทั้งหลาย ตำแหน่งนี้คาดว่าจะสำคัญกว่าองค์ชายใหญ่ฉีอ๋องเสียอีก บัดนี้เจ้าควรที่จะถอยออกมา รอดูพวกเขาสองคนแก่งแย่งกันไม่ดีกว่าหรือ”
“แต่ว่าเสด็จแม่ หากเมื่อถึงเวลานั้นหนึ่งในพวกเขามีท่าทีอันโดดเด่น ณ เวลานั้นลูกจะยังมีโอกาสอีกหรือ”
จวงเฟยกล่าวขึ้นด้วยท่าทางอันเฉยเมยว่า “ในเมื่อพวกเราตั้งใจจะนั่งรอรับผลประโยชน์ แน่นอนว่าจะต้องมีความเสี่ยงที่ล้มเหลว สิ่งที่เลวร้าย อย่างมากก็เพียงแค่นั่งรอดูอย่าวสงบ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าองค์รัชทายาทและจวิ้นอ๋องที่ถูกปลดมิใช่หรือ เจ้าหก ฟังที่แม่บอกเถิด รอดูสถานการณ์อย่างสงบ แล้วค่อยดำเนินการตามสถานการณ์ ณ ตอนนั้น”