สู่อ๋องนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ท้ายที่สุดแล้วเขาก็พยักหน้า “ลูกจะฟังคำของเสด็จแม่”
เขาต้องการจะเข้าแย่งชิงตำแหน่งนั้น เพียงแค่เขาเหลือบมองดูก็รู้สึกอิจฉาตาร้อน ทว่าหากเสด็จแม่มองเห็นว่าเขาควรที่จะชะลอการกระทำทั้งหลายลงก่อน ดังนั้นนอกจากรอโอกาส เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกเลย
เขากับจิ้นอ๋องแตกต่างกัน
จิ้นอ๋องไม่มีญาติฝ่ายแม่และญาติฝ่ายภรรยาให้คอยพึ่งพา เขาไม่ต่างอันใดกับพวกที่เดินเท้าเปล่าซึ่งไม่เกรงกลัวจะต้องถูกสวมใส่รองเท้า เขาทำได้เพียงพยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิต ส่วนตัวสู่อ๋องจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบมากกว่า
เมื่อพบว่าบุตรชายไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ จวงเฟยก็ได้แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นชี้ไปทางกระดานหมากรุกริมหน้าต่าง “เจ้าหก สนทนาและเล่นหมากรุกกับแม่สักตาหนึ่งเถิด กว่าเจ้าจะเดินทางเข้าวังมาสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
สองแม่ลูกจัดแจงกับความรู้สึกนั้นและเริ่มลงมือเล่นหมากรุกด้วยกัน
ทางด้านของเสียนเฟย ดูเหมือนบรรยากาศค่อนข้างจะย่ำแย่
เสียนเฟยบัดนี้โมโหเสียจนทำให้นางดูชราลงไปเจ็ดแปดปี นางพิงอยู่ที่ข้างเตียงสนทนากับฉีอ๋อง
“เสด็จแม่ เหตุใดเรื่องราวจึงได้กะทันหันเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” ฉีอ๋องนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ
ก่อนหน้านี้เรื่องที่ให้หลี่ซื่อทำร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋องก็เป็นความคิดของเสด็จแม่ ท้ายที่สุดแล้วพบว่าไม่ต่างอันใดกับการโยนหินใส่ขาตนเอง ไม่เพียงแต่จะไม่อาจทำร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋องได้สำเร็จ ในทางกลับกัน หลี่ซื่อกลับเข้าไปเดือดร้อนยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะเสด็จแม่ของตนวางแผนไว้ได้ไม่ดี
เรื่องนี้ก็ยังไม่เท่าไร แต่การที่เสด็จพ่อมอบเจ้าเจ็ดให้เป็นโอรสของฮองเฮา เรื่องนี้เสด็จแม่ไม่ได้บอกกับเขาแม้แต่น้อย มันทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกเหลือเกิน
เมื่อได้ยินฉีอ๋องเอ่ยถามดังนั้น สีหน้าของเสียนเฟยก็ดูซีดลงทันที ริมฝีปากอันแห้งผากของนางสั่นคลอนเล็กน้อย “เสด็จพ่อของเจ้าไม่ได้แม้แต่จะเอ่ยเรื่องนี้ให้แก่ไทเฮาฟัง ในวันนั้นทรงรับสั่งให้คนจากฝ่ายข้าราชการพลเรือนเข้าไปในพระราชวัง จากนั้นก็แต่งตั้งเขาขึ้นทันที…”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เสียนเฟยก็แทบจะกระอักเลือด
นางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้าเจ็ด แต่ปรากฏว่าเรื่องนี้ได้ถูกประกาศในราชสำนัก และสรุปข้อกำหนดนี้ออกมาแล้ว ฮ่องเต้จึงได้บอกให้นางรับรู้
ไม่ต้องคิดก็รู้ดีว่าบัดนี้ตัวนางได้กลายเป็นเรื่องตลกที่ทั้งภายในและภายนอกพระราชวังต่างพากันหัวเราะเยาะ ไม่รู้ว่าเบื้องหลังมีผู้คนมากมายเท่าไหร่ที่กำลังแอบหัวเราะนางอยู่
น่าโมโหยิ่งนัก ตำแหน่งนางสูงส่งถึงเสียนเฟย เบื้องหลังยังมีจวนกั๋วกงคอยสนับสนุน แต่นางไม่อาจแม้แต่จะรักษาไว้ได้แม้กระทั่งโอรสของตนเอง
ในความคิดของเสียนเฟย เรื่องที่นางรังเกียจโอรสของตนเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนการที่โอรสของนางกลายไปเป็นโอรสของคนอื่นนั่นก็คืออีกเรื่องหนึ่ง
หากสามารถเลือกได้ นางยินดีที่จะจัดการกับโอรสคนนี้ด้วยน้ำมือของตนเอง ก็ไม่ยอมให้ผู้ใดมาเอารัดเอาเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮองเฮา
หลายปีมานี้ นางต้องยอมอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของฮองเฮา เหตุผลที่นางใช้ในการปลอบโยนตนเองก็คือฮองเฮาไม่มีโอรส
ใครจะรู้เล่าว่าสตรีที่นางรู้สึกดูถูกดูแคลนเนื่องจากไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้มาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายปี จู่ๆ จะมาแย่งชิงโอรสของนางไป
อีกทั้งคว้าไปได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งบัดนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังอยู่ในความงุนงง
เสียนเฟยหลับตาลงช้าๆ หัวใจอันว้าวุ่นของนางกลับคืนสู่สถานการณ์อันสงบ
หมอหลวงได้กำชับเอาไว้แล้วว่านางไม่ควรจะโศกเศร้าหรือโมโหมากจนเกินไป มิเช่นนั้นร่างกายของนางก็คงจะทรุดลงอย่างแน่แท้
นางไม่ทันได้สวมมงกุฎนั้น ร่างกายก็กลับย่ำแย่เสียแล้ว หากเป็นเช่นนั้นนางจึงจะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยบัดนี้ก็ยังมีโอกาส
คอยดูเถิดว่าใครกันจะสามารถอยู่หัวเราะได้จนถึงตอนสุดท้าย
“เสด็จแม่…”
เมื่อได้ยินเซียงอ๋องฉีอ๋องร้องเรียก เสียนเฟยจึงลืมตาขึ้นแล้วจ้องมองไปยังใบหน้าของฉีอ๋องที่ดูอ่อนโยนยิ่งนัก
ความหวังของนางล้วนฝากฝังไว้ที่ตัวของบุตรชายคนนี้
เสียนเฟยกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “แม่ประเมินฮองเฮาต่ำเกินไป ว่ากันว่าหมาเห่าไม่กัด เดิมทีแม่ก็ไม่เห็นด้วย บัดนี้เมื่อถูกกัดเข้าอย่างแรงจึงได้รู้ว่าคำของคนโบราณนั้นเป็นจริง”
ฉีอ๋องอ้าปากค้าง เขาต้องการบอกเสด็จแม่ว่ามารู้ได้จนบัดนี้ก็สายไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือมารดาผู้ให้กำเนิดเขา จึงทำได้เพียงกลืนความคิดที่จะตำหนินั้นลงไปอย่างเงียบๆ
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ท่านว่าเสด็จพ่อคิดอย่างไรกับเจ้าเจ็ดกัน”
“คิดอย่างไรงั้นหรือ” เสียนเฟยเลิกคิ้วขึ้น แต่นางกลับรู้สึกได้ว่าการกระทำนี้ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงได้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “คงจะถูกฮองเฮาวางยาเข้าน่ะสิ คงไม่ใช่เพราะเห็นว่าเจ้าเจ็ดมีคุณสมบัติอันโดดเด่น แล้วจะให้เขาขึ้นเป็นองค์รัชทายาทหรอก”
“หากเป็นเช่นนั้นเล่า”
เสียนเฟยนิ่งเงียบ
ฉีอ๋องเช็ดไปที่หน้าของตนอย่างขมขื่น “เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ เจ้าเจ็ดไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นชาววังโดยสมบูรณ์แบบแม้แต่น้อย เมื่อคลอดออกมาก็ถูกส่งไปข้างนอกเนื่องจากว่าขัดชะตาเสด็จพ่อ แต่ดูเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้รับความสูญเสียใดๆ เลยจากเหตุการณ์เหล่านั้น ทั้งยังกลายมาเป็นครึ่งหนึ่งของทายาทสายตรง แต่ลูกที่พยายามอยู่ในทุกวันทุกวี่ ทุกคราที่คิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกหวาดกลัว อีกทั้งยังรู้สึกว่าเจ้าเจ็ด เป็นผู้ถูกเลือกหรือไม่…”
“ไร้สาระ!” เสียนเฟยตะคอกออกมาด้วยความเย็นชา ใบหน้าอันขาวซีดของนางปรากฏเป็นสีแดงเล็กน้อย
ฉีอ๋องเม้มริมฝีปากและไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
เสียนเฟยไม่เห็นด้วยกับคำเหล่านี้ของบุตรชาย “เรื่องนี้แม่แน่ใจได้ว่าเสด็จพ่อของเจ้าไม่มีความคิดเช่นนั้นต่อเจ้าเจ็ด”
ฉีอ๋องนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เงียบเสียจนเสียนเฟยต้องการจะสนทนาบางอย่างออกมา แต่เขากลับพึมพำเบาๆ ว่า “สถานการณ์บัดนี้กับเมื่อก่อนแตกต่างกันไป หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน คาดว่าเสด็จพ่อคงไม่มีความปรารถนาจะให้เจ้าเจ็ดเป็นโอรสของฮองเฮาอย่างแน่นอน”
“เจ้าหมายความว่า…”
ดวงตาของฉีอ๋องเย็นยะเยือกดุจดั่งน้ำแข็ง เขากล่าวออกมาทีละพยางค์อย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “การเลี้ยงเสือเป็นสิ่งต้องห้าม เสด็จแม่ท่านว่าอย่างไรเล่า”
ไม่ว่าทัศนคติของเสด็จแม่ที่มีต่อเจ้าเจ็ดจะเป็นเช่นไร แต่ถึงกระนั้นเสด็จแม่ก็ได้อุ้มท้องเจ้าเจ็ดและคลอดออกมา หากเขาต้องการจะฆ่าเจ้าเจ็ดเสีย ก็ควรจะดูความปรารถนาของเสด็จแม่ก่อน
เสียนเฟยเข้าใจความหมายในประโยคเมื่อครู่ของฉีอ๋อง เมื่อพบว่าท่าทางของเขาดูดุร้าย นางไม่เพียงแต่รู้สึกอึดอัดใจกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ชื่อเสียงของเจ้าสี่ในหมู่ขุนนางไม่เลวเลย แต่นี่ไม่ใช่ดาบสองคมหรอกหรือ ในบางครั้งมันอาจจะเข้ามามัดมือมัดเท้าของเจ้าสี่เอาไว้ ทำให้เขากระทำการใดไม่สะดวก
อาจเป็นการดีที่เจ้าสี่ถูกเจ้าเจ็ดบีบบังคับเช่นนี้
เสียนเฟยยิ้มขึ้นช้าๆ “เป็นจริงดังนั้น”
ฉีอ๋องก้มหน้าลงแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ลูกเพียงกลัวว่าจะทำให้แม่ต้องเสียใจ เช่นนั้นลูกคงจะกลายเป็นคนอกตัญญู”
“เสียใจเรื่องใดกันเล่า” เสียนเฟยหัวเราะด้วยความเยือกเย็น “เพียงแค่แม่ยังมีเจ้า คนอื่นจะเป็นหรือตายเช่นไร เหตุใดแม่ต้องเสียใจด้วย”
นับตั้งแต่นางรู้ว่าเจ้าเจ็ดได้กลายไปเป็นโอรสของฮองเฮา นางก็คิดว่านางไม่มีบุตรชายคนนี้อีกต่อไป
สิ่งใดก็ตามที่ขัดขวางเจ้าสี่ ล้วนกลายเป็นสิ่งกีดขวางชีวิตนาง
“หลี่ซื่อเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อสองแม่ลูกบรรลุข้อตกลงร่วมกันแล้ว เสียนเฟยจึงได้เอ่ยถามพระชายาฉีอ๋องขึ้น
ความรังเกียจปรากฏขึ้นในดวงตาของฉีอ๋อง น้ำเสียงของเขาดูไม่แยแสถึงที่สุด “ยังคงเป็นดังเดิม โชคดีที่บัดนี้นางไม่อาจออกไปไหนได้ จึงไม่จำเป็นต้องกลัวนางกล่าววาจาไร้สาระ”
เสียนเฟยนิ่งเงียบครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “จวนอ๋องของเจ้าไม่มีสตรีคอยดูแลจัดการ ช่างดูไม่ดีเอาเสียเลย”
ฉีอ๋องพยักหน้า “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้เรื่องราวต่างๆ วุ่นวายเหลือเกิน ทำให้ลูกเสียสมาธิไปไม่น้อย”
เสียนเฟยลูบไล้ไปยังเล็บยาวของตนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นว่า “เมื่อถึงเวลาอันควรให้นางลาโลกนี้ไปเพราะความเจ็บป่วยเถิด ตำแหน่งพระชายาฉีอ๋องจะให้คนบ้าคนหนึ่งมาทำหน้าที่นั้นได้อย่างไร”
ฉีอ๋องลังเลเล็กน้อย “แม้ว่าไม่จำเป็นจะต้องไว้อาลัยไว้ทุกข์ให้แก่ภรรยา แต่หากว่าหลี่ซื่อจากโลกนี้ไปด้วยอาการเจ็บป่วยจริง ลูกเองก็ไม่อาจกระโดดโลดเต้นได้ คาดว่าคงต้องตกอยู่ในอาการโศกเศร้าระยะเวลาหนึ่ง…”
“ไม่เป็นไร บัดนี้เสด็จพ่อของเจ้าสุขภาพแข็งแรงดียิ่งนัก คาดว่าคงไม่มีโอกาสนั้นง่ายๆ ช่วงนี้เจ้าจงใช้เวลาในการบำรุงร่างกายให้แข็งแรงทั้งจิตใจก็ด้วย สำหรับเจ้าเจ็ด ต่อให้บัดนี้เขาดูเย่อหยิ่งผยองก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ใด”
ฉีอ๋องพยักหน้าช้าๆ “เสด็จแม่วางใจเถิด ลูกจะจัดการกับหลี่ซื่อตามสถานการณ์”
ณ ตำหนักหย่างซิน จิ่งหมิงฮ่องเต้เบิกพระเนตรขึ้นแล้วเอ่ยถามพานไห่ “ฉีอ๋องเดินทางออกไปจากตำหนักของเสียนเฟยแล้วหรือ”
“เดินทางจากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วสู่อ๋องเล่า”
“ก็จากไปแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“หลู่อ๋องเล่า”
“ทูลฝ่าบาท หลู่อ๋องจากไปเป็นคนแรกพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้โน้มกายลงไป เขาไม่สนใจเสียงร้องของจี๋เสียงที่ดูรำคาญใจ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากอดแล้ววางไว้บนหน้าตัก เขาส่งเสียงอืมเบาๆ ในลำคอ