บทที่ 584 หยินหยางไม่ตัดสินใจ (3)
“สหายเต๋า เจ้าช่างน่าทึ่งจริงๆ วันนี้ ข้า ปรมาจารย์เต๋าเสวียนตูน้อย ได้ผ่านมาที่นี่ คนเหล่านี้ล้วนมาจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินของข้าเอง ขอสหายเต๋าได้โปรดให้ความเมตตาด้วยเถิด”
“ปรมาจารย์เต๋าน้อย?” คนผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น?”
หลี่ฉางโซ่วประสานมือคารวะให้และกล่าวว่า “เรามาจากสำนักเดียวกัน”
“เจ้ามีหลักฐานยืนยันใดหรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วหยิบป้ายหยกออกมาแล้วโยนมันออกไปง่ายๆ คนผู้นั้นชี้ด้วยนิ้วของเขาแล้วส่งป้ายหยกกลับไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็จ้องมองหลี่ฉางโซ่วที่อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าซับซ้อน
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
และ…
เอ๋?
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสับสนในทันที น้ำเสียงของเขา น้ำเสียง และดวงตาของอีกฝ่ายที่กำลังฉายแววหวั่นไหวนี้
เกิดอันใดขึ้น?
อนุสาวรีย์ความเที่ยงธรรมของจักรพรรดิแห่งสวรรค์ยังคงร้อนๆ อยู่ แล้วไยเขาถึงอยากสร้างข่าวเกี่ยวกับโลกบรรพกาลขึ้นมาอีกเรื่อง?!
บัดนั้นจินตนาการของหลี่ฉางโซ่วก็กำลังโลดแล่นเตลิดเปิดเปิงไปในขณะที่คนผู้นั้นขี่เมฆมาถึงแล้ว และนำเด็กสาวที่กลายร่างมาอยู่ในรูปปีศาจนกยูงลงมา
ในขณะนี้ผู้อาวุโสจากสำนักตู้เซียนที่ด้านบนเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วในที่สุดก็โค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่ว ทว่าโหย่วฉินเสวียนหย่ากลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ปรมาจารย์เต๋าน้อยแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน… ศิษย์พี่ฉางโช่วเป็นคนส่งข้อความเสียงมาให้ข้าไม่ใช่หรือ?
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของนาง
“มีปรมาจารย์อยู่ ดังนั้นอย่าได้กระทำการวู่วามอันใดในวันนี้ หากข้าจำไม่ผิด ปรมาจารย์ผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่ที่มีน้อยคนนักในโลก”
โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าเห็นด้วย
ดูเหมือนว่า คนผู้นั้นจะได้ยินเสียงของหลี่ฉางโซ่วแล้วคลี่ยิ้มออกมา
รอยยิ้มนั้นดูมีเสน่ห์ที่รัดรึงตรึงใจบางอย่าง มันเหมือนสตรีที่คลี่ยิ้มราวกับบุปผานับร้อยผลิบาน แต่ก็เป็นเฉกเช่นบุรุษอ่อนโยนที่แย้มยิ้มอย่างสง่างาม…มันทั้งขัดแย้งและกลมกลืนอย่างยิ่ง
และราวกับจะยืนยันในสิ่งที่หลี่ฉางโซ่วพูด ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าสายก็ส่องไปที่ข้างหลังคนๆ นั้น และแผ่พลังสะกดข่มที่ทรงพลังอย่างยิ่งออกมา
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์และพลังสะกดข่มหายไปในพริบตา แต่พวกมนุษย์เซียนเหล่านั้นล้วนกำลังตื่นกลัว ในขณะที่ผู้อาวุโสของสำนักตู้เซียนและโหย่วฉินเสวียนหย่าต่างก็หน้าซีด และหัวใจเต๋าของพวกเขาก็สั่นสะท้าน
คนผู้นั้นไม่ได้มองใครอื่น เขาเพียงจ้องมองไปที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วเท่านั้น ซึ่งยังคงความสูงจากพื้นสามร้อยจั้งและกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “เจ้าเดาได้ถูกต้อง ข้ามีนามว่าข่งเชวี่ยน เมื่อไม่นานมานี้ เลือดของหลานสาวของข้าเกิดบ้าคลั่งและหลานสาวของข้าก็เสียสติไป ข้าเองก็เพิ่งตื่นจากการเข้าปิดด่านและมาพบที่นี่ นางน่าจะกินมนุษย์ไปบ้างแล้ว จงบอกจำนวนมาให้ข้ารู้ ข้าจะไปช่วยคนบางคนก่อนแล้วค่อยมาพูดคุยกับเจ้าอีกครั้ง”
หลี่ฉางโซ่วมองไปที่ผู้อาวุโสของสำนักตู้เซียนซึ่งไม่กล้าพูด
โหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งร่อนร่างลงมาหยุดอยู่ข้างๆ หลี่ฉางโซ่วได้กล่าวว่า “การช่วยชีวิตคนและการปลิดชีพคนเป็นล้วนแตกต่างกัน”
“ในอดีต จิตใจของข้าบ้าคลั่งและข้าก็ได้กลืนกินมนุษย์นับแสน แล้วอย่างไรเล่า?” ข่งเชวี่ยนแค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา
“ต่อมา เมื่อปีศาจหลอมสมบัติเวทสังหารมนุษย์เวทเพื่อทำลายล้างเผ่ามนุษย์ ข้าก็เริ่มปกป้องมนุษย์นับล้านและชดใช้กรรม ในเมื่อบุญกรรมสามารถหักล้างกันได้ แล้วเหตุใดการฆ่าและการช่วยชีวิตผู้อื่นจึงหักล้างกันไม่ได้”
โหย่วฉินเสวียนหย่าก้าวออกไปข้างหน้าและต่อต้านพลังสะกดข่มที่ข่งเชวี่ยนแผ่พุ่งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และกล่าวออกมาด้วยเสียงหนักแน่นมั่นคงว่า “เจ้าช่วยชีวิตคนคนหนึ่งและฆ่าคนคนหนึ่งที่เป็นคนเดียวกันได้หรือ?”
ดวงตาดุจหงส์ของข่งเชวี่ยนหรี่ลงในขณะที่เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ชัดเจนว่าเป็นชะตาลิขิต มีวิธีการทุกประเภทที่พวกมันจะชดเชยซึ่งกันและกันได้”
“ผู้ที่ถูกกลืนกิน…”
“เฮ้ เสวียนหย่า!” หลี่ฉางโซ่วรีบยืนขึ้นและกล่าวแทรกเพื่อยับยั้งโหย่วฉินเสวียนหย่า
“พูดให้น้อยๆ ลงเถิด” ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างพูดทันที “ปีศาจตนนี้ก่อหายนะให้เหล่ามนุษย์และได้กินคนไปหลายสิบคนแล้ว”
“เหอะ!” ร่างของข่งเชวี่ยนเคลื่อนไหวแวบวาบแล้วหายไปในทันที และทิ้งหลานสาวของเขาซึ่งเป็นปีศาจนกยูงที่ทำร้ายคนอื่นเอาไว้ข้างหลัง
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงหวีดหวิวสองสามเสียงดังขึ้นในใต้หล้า และยังคงมีแสงกะพริบอยู่ในส่วนลึกของท้องฟ้ายามราตรี
หลังจากนั้นไม่นาน แสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งและแวบผ่านร่างหลี่ฉางโซ่ว แล้วทิ้งกรงเหล็ก ซึ่งมีมนุษย์ชายหญิงหลายร้อยคนอยู่ในกรงนั้นเอาไว้เบื้องหลัง…
ข่งเชวี่ยนยืนอยู่เหนือกรงเหล็กนั้นและมองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าและกล่าวอย่างสงบว่า “นี่คืออาหารเลือดที่พวกปิศาจจับได้ ข้าจะคืนกลับให้เป็นสิบเท่า”
โหย่วฉินเสวียนหย่าเม้มริมฝีปาก นางมีท่าทีดูไม่พอใจ
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “เสวียนหย่า เจ้ารับมือสหายเต๋าข่งเชวี่ยนได้หรือไม่”
“ไม่” โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวเบาๆ
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ข้าก็ไม่ เช่นนั้น ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้”
จากนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าก็โค้งคำนับให้ข่งเชวี่ยน แล้วยืนอยู่ข้างหลังหลี่ฉางโซ่วโดยไม่เอ่ยวาจาใดอีก
ข่งเชวี่ยนยิ้มอีกครั้งและกล่าวว่า “ปรมาจารย์เต๋าน้อย เจ้าก็เป็นคนที่น่าทึ่งมากเช่นกัน ว่าแต่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้า… พูดถึงข้าบ้างหรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วอดจะใตร่ครวญในใจไม่ได้ว่า หากเขาบอกความจริง แล้วเขาจะทำให้ตัวตนที่โหดเหี้ยมไร้ความปราณีซึ่งมี “สถานะคลุมเครือ” ของโลกบรรพกาล ขุ่นเคืองหรือไม่?
“ข้าไม่ได้พบเจอท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มานานแล้ว…”
สีหน้าของข่งเชวี่ยนบึ้งตึงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“แต่ข้าก็เคยได้ยินปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่พูดถึงเรื่องนี้ครั้งหรือสองครั้ง!”
ข่งเชวี่ยนพลันเปลี่ยนจากเมฆครึ้มเป็นฟ้าใส[1]ในพริบตา เขาหรี่ตาลงพลางยิ้มและกล่าวว่า “เขาพูดว่าอะไร?”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก
ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นบุรุษหรือสตรี?
แม้เขาจะไม่เข้าใจคำถามนั้น แต่เขาก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ จะ… น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“สหายเต๋า”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและกล่าวว่า “สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ของข้า โปรดอภัยที่ต้องถามมากความ แต่นามเต๋าของเจ้า ‘เชวี่ยน’ เขียนเป็น ‘เชวี่ยนเฉ่า[2]’ หรือ ‘เชวียนเกา’ ในถ้อยแถลง หรือไม่”
“ถามข้าว่าข้ามีคุณลักษณะหยินหรือหยางใช่หรือไม่ เพียงถามตรงๆ เท่านั้น เมื่อครู่นี้ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาและลักษณะท่าทางของเจ้าก็ไม่เลว”
ข่งเชวี่ยนแค่นเสียงกล่าวอย่างสงบว่า “ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าข้าเป็นหยินหรือหยาง”
ข่งเชวี่ยนหยุดชะงักชั่วคราวขณะนึกถึงบางสิ่ง แล้วกล่าวสบายๆ ว่า “หากเขาไม่หลบเลี่ยงข้าในตอนนั้น ข้าก็คงเลือกได้”
นั่นได้ผลหรือไม่?
ไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่เพื่อความปลอดภัย หลี่ฉางโซ่วก็ไม่กล้าพูดหรือถามอะไรมากเกินไป…
………………………………………………………………..
[1] เปลี่ยนอารมณ์จากที่อารมณ์ไม่ดีเป็นโล่งใจ สบายใจ
[2] เชวี่ยนเฉ่าฮวาหรือดอกลิลลี่ (ใช้ 萱) ซึ่งยังมีคนเรียกว่าบุปผาลืมทุกข์ ในที่นี้คือหลี่ฉางโซ่วถามเป็นนัยเพื่อให้รู้ว่าเป็นชายรักชายหรือไม่ ซึ่งเชวียนเกา’ ในถ้อยแถลง (ใช้ 宣) จะต่างกันและออกเสียงต่างกัน